บทที่ 160 บำรุงร่างกายในวันหิมะตก

บทที่ 160 บำรุงร่างกายในวันหิมะตก
โดย

บทที่ 160 บำรุงร่างกายในวันหิมะตก

หลินชิงเหอไม่ได้ล้อเล่นที่บอกว่าเธอกลัวโจวชิงไป๋จะไม่ไปทำงาน เธอกลัวจริง ๆ นะ

ชายคนนี้เคยถูกฝึกอย่างเข้มงวดกวดขันในกองทัพมา กำลังกายของเขาย่อมไม่ธรรมดา

หลังจากที่เขากลับมา เขาก็ทำงานใช้แรงงานโดยไม่หยุด

เหนือกว่านั้น หลินชิงเหอยังกลัวว่าเขาจะสูญเสียกำลังวังชาและจบลงด้วยการบาดเจ็บถาวร เธอจึงพยายามอย่างเป็นที่สุดในการทำอาหารดี ๆ มาบำรุงเขา

นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่าต่อให้เขาทำงานมาตลอดทั้งวัน เขาก็ยังสบายดีและแข็งแรงมาก

ในระหว่างการเก็บตัวช่วงฤดูหนาว มันไม่มีทางใดที่เขาจะได้ปลดปล่อยพลังงานในร่างกาย แล้วใครจะเป็นคนที่เขาเล็งไว้ล่ะ?

หลินชิงเหอเบื่อที่จะรับศึกหนักจริง ๆ

ทุกเช้าที่เธอตื่นมาด้วยขาทั้งสองและเอวปวดระบม เธอก็หมายมั่นอยู่ในใจว่าจะให้เขากินต้าปิ่ง หรือขนมปังไม่ฟู และดื่มน้ำเย็น

แต่ทันทีที่อาหารมาตั้งบนโต๊ะ มันก็แสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่ได้ใจดำนัก การที่เธอนำของดีอะไรก็แล้วแต่มาไว้บนโต๊ะ ทำให้ชายคนนี้รู้สึกได้คืบจะเอาศอก

หลังปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวไปแล้ว มันก็เป็นการแบ่งเนื้อ

ในตอนที่มีการแบ่งเนื้อกันนั้น โจวชิงไป๋ก็ออกไปเก็บฟืนเหมือนกับปีก่อน ๆ

หลินชิงเหอไม่ได้พูดเล่นเกี่ยวกับฤดูหนาวนี้เลย เธอรู้สึกหนาวมากจริง ๆ ในเดือนนี้เธอถึงกับต้องหยิบโค้ทบุฝ้ายขึ้นมาใส่

เจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามเองก็ใส่เสื้อไหมพรมเหมือนกัน

แล้วหลินชิงเหอก็ถามเรื่องนี้กับท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว “คุณพ่อคุณแม่มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ พอใส่ไหมคะ? ถ้าไม่พอก็บอกฉันนะคะ”

“พออยู่ล่ะ คราวที่แล้วเธอเอาไหมพรมมาให้นี่ คุณพ่อกับฉันมีคนละหนึ่งตัวแล้ว มันอุ่นมากเลย” ท่านแม่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม

ต้องบอกว่าถึงแม้สะใภ้สี่จะเป็นนักจ่ายเงิน แต่เธอก็ดูแลพวกเขาดีมาก

ไหมพรมชั่งหนึ่งราคาเท่าไหร่ล่ะ? มันมากกว่า 20 หยวนเชียวนะ

มันแพงมากจนน่าตกใจ คนส่วนใหญ่ต่างลังเลที่จะซื้อมัน แต่ในปีที่แล้วสะใภ้สี่กลับซื้อมา 3 ชั่งให้พวกเขาได้นำไปถักเป็นเสื้อกันหนาว

แม้มันจะแพง แต่ต้องบอกว่าเสื้อกันหนาวตัวนี้อุ่นสบายมากจริง ๆ ยามได้สวมใส่

“ฉันคิดว่าพวกคุณยังขาดกางเกงไหมพรมอยู่นะคะ” หลินชิงเหอบอก

ฤดูหนาวช่างหนาวทารุณนัก มีทั้งอากาศเย็นยะเยือกกับพื้นที่มีแต่หิมะ ทุกวันจะต้องจุดเตียงเตาถึงสามรอบ ไม่อย่างนั้นมันก็อุ่นไม่พอ

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรจริง ๆ” ท่านแม่โจวปฏิเสธทันควัน

“ทำสองตัวเถอะค่ะคุณแม่ อย่ากังวลไปเลย บ้านฉันยังมีเงินพอจ่ายอยู่ค่ะ” หลินชิงเหอกระซิบ

ท่านแม่โจวคลี่ยิ้ม “แม่รู้ว่าเธอกตัญญู แต่เธอยังต้องเก็บเงินไว้ให้เด็ก ๆ บ้างนะ”

“คุณแม่ยังกังวลเรื่องที่เจ้าใหญ่จะไม่มีเงินแต่งภรรยาในอนาคตอยู่เหรอคะ?” หลินชิงเหอมองนางอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินดังนี้

“เตรียมไว้ก่อนก็ดีน่ะ” ท่านแม่โจวตอบ

“อย่าบอกนะคะว่าคุณแม่กับคุณพ่อกำลังช่วยเก็บเงินสินสอดให้กับเด็ก ๆ อยู่?” หลินชิงเหอเอ่ย

ท่านแม่โจวทำเพียงยิ้มและไม่พูดอะไร

หลินชิงเหอรู้สึกซาบซึ้งใจแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี

สะใภ้รองเอาแต่พูดว่าสองสามีภรรยาชราลำเอียงรักครอบครัวของเธอมากกว่า ซึ่งหลินชิงเหอไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ จนถึงตอนนี้

แต่ตอนนี้มันทำให้หลินชิงเหอที่ไม่ใช่คนรู้สึกอ่อนไหวอะไรนัก รู้สึกซึ้งใจขึ้นมาได้

“คุณแม่คะ ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมากค่ะที่คุณแม่กับคุณพ่อเป็นห่วงเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ แต่ฉันต้องบอกความจริงกับคุณแม่นะคะว่าฉันวางแผนส่งลูก ๆ เรียนมหาวิทยาลัย พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลกับการแต่งงานในอนาคตของพวกเขาหรอกค่ะ” หลินชิงเหอพูด

“เรื่องนี้ฉันได้ยินคุณพ่อพูดแล้วล่ะ แต่ฉันแค่เป็นห่วงว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันจะยากไหมน่ะสิ” ท่านแม่โจวตอบเสียงเบา

อย่าพูดถึงสิ่งที่ยังมองไม่เห็นข้างนอกบ้านเลย เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องตลกหากคนอื่นมาได้ยินเข้า พวกเขาคงไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้หากสอบไม่ผ่าน

“มีฉันอยู่แล้วทำไมต้องกลัวว่าจะสอบไม่ผ่านด้วยล่ะคะ? ฉันไม่ได้อวดเก่งนะคะคุณแม่ หากไม่ใช่เพราะฉันมีชื่อเสียงในหมู่บ้านว่าเป็นหญิงขี้เกียจ ฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารได้โดยตรงนะคะ” หลินชิงเหอบอก

ท่านแม่โจวไม่ได้ดูถูกเธอแต่อย่างใด นางตอบพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “เธอเป็นคนขยันที่จะดูแลครอบครัวนะ”

“คุณแม่ไม่จำเป็นต้องปลอบฉันหรอกค่ะ เรื่องนี้ฉันรู้ดีแล้ว” หลินชิงเหอเอ่ย

เธอแค่พูดไปอย่างนั้นแหละ หลินชิงเหอไม่คิดว่าตัวเธอขี้เกียจหรอก บางทีเธออาจเป็นคนขึ้เกียจในสายตาของคนยุคนี้

แต่คำพูดนั้นก็ยังคงอยู่ ในที่ของเธอ เธอไม่ใช่คนขี้เกียจเลย ทั้งบ้านสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบแถมมีอาหารสามมื้อตั้งบนโต๊ะตรงเวลาเป๊ะ มันตรรกะอะไรกันที่หาว่าเธอเป็นคนขี้เกียจ?

“คุณแม่คะ บอกคุณพ่อเถอะค่ะว่าไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งงานของเด็กชายสามคนนี้ บางทีต่อให้พวกเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ผ่าน แต่เงินบำนาญที่ชิงไป๋ได้มาจากกองทัพก็มีถึง 1,500 หยวนแล้วค่ะ” หลินชิงเหอลดเสียงลงในตอนท้ายประโยค

“1,500 ?” ดวงตาของท่านแม่โจวเบิกกว้าง

นางเดาว่าลูกชายของนางจะได้รับเงินบำนาญมาก้อนหนึ่ง แต่จำนวนของมันน่าจะอยู่ราว ๆ 500 หยวน ไม่คิดเลยว่ามันจะมีมากถึง 1,500 หยวน?

“คุณแม่อย่ามองว่าฉันฟุ่มเฟือยเลยค่ะ ยังมีเหลืออีก 1,300 หยวน ถ้าเราให้เงินสินสอดกับพวกเขาก็ถือว่ายิ่งกว่าพอเสียอีก คุณพ่อกับคุณแม่ควรเก็บเงินไว้ใช่จ่ายในยามจำเป็นนะคะ” หลินชิงเหอโน้มน้าว

“ฉันไม่รู้เลยว่าเธอยังมีเงินเหลือเยอะขนาดนี้” ท่านแม่โจวตอบด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นใจ

“คุณแม่รู้เรื่องที่ฉันขายอาหารแล้ว?” หลินชิงเหอยักคิ้วข้างหนึ่ง

ท่านแม่โจวกระแอมไอแห้งและกระซิบ “อย่าให้ใครได้ยินนะ”

“ฉันบอกแค่คุณแม่คนเดียวค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยและพูดต่อ “ฉันจะซื้อไหมพรมขนสัตว์ให้คุณพ่อกับคุณแม่นะคะ จะได้เอาไปถักเป็นกางเกงขนสัตว์ได้ อย่าหาว่าฉันฟุ่มเฟือยเลยค่ะ ฉันให้แค่พวกคุณสองคนเท่านั้น ตอนนี้ฉันไม่สนใจอะไรกับสองคนนั้นจากตระกูลหลินแล้ว”

ได้ยินประโยคสุดท้ายแล้ว ท่านแม่โจวก็อยากจะหัวเราะ

ในอดีตสะใภ้สี่ทุ่มเททั้งใจให้กับครอบครัวทางแม่ แต่กลุ่มหมาป่าตาขาวตระกูลหลินนั่นก็เลวนัก พวกเขาทำร้ายจิตใจของเธออย่างไม่มีชิ้นดีและทำให้เธอตาสว่างเห็นว่าครอบครัวสามีรักใคร่เธอ

ตอนนี้การปรนนิบัติดี ๆ ทั้งหลายถูกย้ายจากตระกูลหลินมาสู่คู่สามีภรรยาชราอย่างพวกเขาแทน

สะใภ้สี่คนนี้ช่างรักแรงเกลียดแรงเสียจริง

แต่ท่านแม่โจวก็ให้เงินไปซื้อไหมพรมมาถักกางเกงขนสัตว์

นางจะปล่อยให้สะใภ้สี่จ่ายเพื่อคู่สามีภรรยาชราอย่างพวกเขาฝ่ายเดียวได้อย่างไรกันล่ะ?

หลินชิงเหอเห็นว่านางยังคงยืนกรานที่จะให้ เธอก็ไม่ปฏิเสธ หญิงสาวไม่อาจขัดคนในยุคนี้ได้

ปีนี้เธอจะต้องซื้อไหมพรมมาถักเป็นกางเกงขนสัตว์ให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว ส่วนคนอื่น ๆ ก็ซื้อกันเอง

เธอกับเด็ก ๆ มีกันแล้วคนละตัว ก่อนหน้านี้เธออยากถักให้โจวชิงไป๋สักตัว แต่เขาไม่ต้องการมันเพราะไม่คุ้นที่จะใส่

เธอถักเสื้อกันหนาวให้เขาสองตัว แล้วก็ยังมีโค้ทบุฝ้ายตัวใหญ่ ดังนั้นชายที่เปี่ยมด้วยพลังหยางคนนี้จึงไม่รู้สึกหนาวเหน็บแต่อย่างใด

พลังหยางของโจวชิงไป๋เห็นได้ชัดเจนในตอนกลางคืน การนอนกับเขาเหมือนกับได้นอนกอดเตาผิงเลยทีเดียว

หลินชิงเหอพูดถูกเกี่ยวกับปีนี้ในเรื่องที่มันมีหิมะตกก่อนฤดู โจวชิงไป๋ใช้เวลารวบรวมไม้ฟืนแค่ 7 วัน บวกกับฟางข้าวสาลีและอื่น ๆ เข้าไปด้วยแล้วก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้

แต่ปีนี้มีหิมะตกก่อนฤดูเร็วมาก

ถึงจะเป็นอย่างนั้น คนรุ่นเก่ากลับยินดีอย่างมาก

หากเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าวสาลีฤดูหนาวจะฟื้นตัวดี

หลินชิงเหอเก็บสะสมขิงไว้เป็นจำนวนมากสำหรับครอบครัวของเธอในฤดูหนาวนี้

พวกเขาดื่มน้ำขิง หรือไม่ก็ต้มน้ำใส่ขิงไว้แช่ทำความสะอาดเท้า

หลินชิงเหอให้การดูแลครอบครัวใหญ่เป็นอย่างดี และไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่าท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็ได้รับความสะดวกสบายนี้ด้วยเช่นกัน

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตอนนี้รู้สึกสงสารแม่ พ่อไม่อ่อนโยนเลยค่ะ กินแม่ทุกวันเลย ๕๕๕

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกถึงไอเย็นเยือกแผ่ออกมาเลยค่ะ ในความเห็นของผู้แปล การมีหิมะมันก็น่าตื่นเต้นอยู่หรอก แต่ถ้าต้องอยู่กับมันนาน ๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกันค่ะ

ช่วงนี้อากาศบ้านเราก็เย็นลงเหมือนกัน ขอให้ผู้อ่านมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset