เป็นวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดตามปฏิทินของประเทศเซี่ย เป็นวันมงคล เหมาะสำหรับการเริ่มค้าขายหรือเดินทางไกล
อากาศยังสบาย และมีลมอ่อน ๆ พัดโชย
ในอี้ซานฝู แต่ละบ้านนำผ้าขาวที่ผูกไว้เพื่อไว้อาลัยให้หลิวเอี๋ยนลง และเปลี่ยนเป็นผ้าสีแดงเพื่อฉลองการรับตำแหน่งของเจ้าเมืองคนใหม่แทน
ฟางหยวนเลือกวันนี้จัดพิธีขึ้นรับตำแหน่ง
เมื่อหลายวันก่อน จอมยุทธ์และเจ้าสำนักจากทั่วทั้งอี้ซานฝูก็มาถึง ทำให้ที่นี่มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
เมื่อประตูของคฤหาสน์เจ้าเมืองเปิดออก แขกและผู้มาเยือนทั้งหลายก็หลั่งไหลเข้ามา
“เจ้ามณฑลเลี่ยหยางมาถึงแล้ว!”
“เจ้าสำนักห้าผีมาถึงแล้ว!”
“เจ้ามณฑลซางอีมาถึงแล้ว!”
…
ขณะที่รายชื่อถูกประกาศ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งในอี้ซานฝูก็รวมตัวกันอยู่ในห้องโถงหลัก
อวี้ซินโหลวและพวกใช้ความพยายามไปกับพิธีการนี้เป็นอย่างมาก ตั้งแต่รายละเอียดยิบย่อยในการต้อนรับแขกแต่ละคน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี แสดงถึงความสำคัญเป็นที่สุดของพิธีการ
“นายท่านขึ้นรับตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ!”
จากที่ไกล ๆ ฟางหยวนจับตามองเงียบ ๆ และที่ด้านหลังเขาก็คือจางชิงเฟิงที่พึมพำออกมา
“ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ!”
ฟางหยวนอยู่ในชุดผ้าไหมภูมิฐานสวมมงกุฎ เขาดูเป็นสุภาพบุรุษที่ดีงามและยังมีประกายของความมีอำนาจ
ในพิธีรับตำแหน่งของเขานี้ ทุกคนล้วนยินดี ไม่มีใครมีความคิดตรงข้าม
อย่างแรกเลย เป็นเพราะว่าทุกคนตระหนักถึงการบุกรุกเข้ามาของประเทศอู่ ไม่สำคัญว่าชายหนุ่มผู้นี้จะสามารถเพียงใด เขาก็พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
อย่างที่สอง การรับตำแหน่งของฟางหยวนนั้นเป็นทางการ
มีข้อตกลงระบุไว้อยู่แล้วว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐย่อมได้ขึ้นเป็นเจ้าเมือง
ตามความสามารถแล้ว ใครเล่าจะสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์และนักรบศักดิ์สิทธิ์ในตัวคนเดียวกันแบบฟางหยวนได้?
ในด้านของอิทธิพล เขาก็ได้รับความภักดีจากกองทัพอี้ซานฝูเรียบร้อยแล้ว และยังฐานที่มั่นเดิมของเขาในมณฑลชิงเหอ เมืองชิงเย่ พร้อมกับการสนับสนุนจากหนิวติ้งเทียนและเซียงจื่อหลงเมื่อทั้งคู่กลับมา ไม่มีใครสามารถแย่งตำแหน่งนี้กับเขาได้
เขามีความสามารถและทุกอย่าง ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะได้ขึ้นเป็นเจ้าเมือง
แน่นอนว่า การรับตำแหน่งย่อมมาพร้อมความรับผิดชอบ
“ได้เวลามงคลแล้ว!”
พร้อมกับพลุไฟ เสียงของเจ้าพิธีการก็ดังขึ้น
“ไปกันเถิด!”
ฟางหยวนหยิบเสื้อคลุมสีทองขึ้นมาคลุมร่างของเขาเอาไว้ พร้อมด้วยบรรยากาศแบบผู้มีอำนาจ เขาเดินเข้าไปในห้องโถงหลัก
“คารวะท่านเจ้าเมือง!”
แขกทั้งหมดทักทายเขาพร้อมรอยยิ้มเมื่อเขาเดินผ่านไป
ถ้าไม่เพราะการฝึกตนเป็นจ้าวแห่งความฝันและพลังเวทย์อันน่าตระหนกของเขา เขาคงจะไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของแขกเหล่านี้ได้
“สงสัย.. เกรงกลัว… หวาดกลัว… มีเพียงไม่กี่คนที่ภักดีอย่างแท้จริง!”
จิตใจของเขาเย็นเยียบแต่เขาก็รักษาสีหน้ายินดีเอาไว้
เสียงฝีเท้าของเขาเงียบลงเมื่อเขาเดินขึ้นไปบนบัลลังก์ ที่ด้านข้างด้านหนึ่ง จางชิงเฟิงมีสีหน้าจริงจัง ขณะถือถาดที่มีผนึกสีดำวางเอาไว้ มันคือผนึกอี้ซานฝู
อันที่จริง ปลายทางทุกอย่างล้วนถูกผูกเข้าด้วยกัน ก็ด้วยพิธีการนี้
“ท่านเจ้าเมือง ได้โปรดรับผนึกอี้ซานฝูเอาไว้!”
ขณะที่เสียงกลองดังมาให้ได้ยิน จางชิงเฟิงก็คุกเข่าลงส่งผนึกให้เขา
“อืม!”
ฟางหยวนถือผนึกเอาไว้ในมือและเดินขึ้นไปนั่งบนที่นั่งตำแหน่งเจ้าเมือง เขานั่งลงและมีท่าทางสงบ
“ท่านเจ้าเมืองรับตำแหน่งแล้ว ทุกคนคารวะ!”
ขณะที่เจ้าพิธีการพูดออกมา แม้แต่คนใต้บัญชาที่เจ้าแผนการที่สุดก็ยังต้องทำตามคนหมู่มาก คุกเข่าลงและคารวะสามครั้งด้วยความเคารพ
‘คือเป็นความพึงพอใจของบุรุษส่วนมากสินะ!’
เห็นคนจำนวนมากคุกเข่าลงต่อหน้าเขา ฟางหยวนรู้สึกราวกับว่าเขาครอบครองพลังอันมหาศาลไว้ แต่เขาปัดมันทิ้งไปอย่างง่าย ๆ
ฟางหยวนก็คือฟางหยวน เขาสามารถรู้ตนตื่นจากภวังค์ใด ๆ ได้อย่างง่ายดายหลังจากการฝึกฝนในความฝันมานับไม่ถ้วน
เพียงแค่คิดเขาก็เข้าใจได้ชัดเจน
ไม่ว่าเขาจะขึ้นครองเมืองชิงเย่หรือว่าควบคุมทั้งอี้ซานฝู มันก็เป็นแค่การรับมือกับผู้อื่น
เมื่อถึงเวลาต้องยอมวางมือ เขาก็ทำได้โดยง่าย ไม่ยึดติดกับพลังอำนาจแม้แต่นิดเดียว
“ชีวิตก็เหมือนหมากรุก และผู้อื่นแต่ละคนก็เหมือนตัวหมาก ในฐานะเจ้าเมือง ข้าจำต้องเล่นหมากกระดานนี้กับประเทศรอบ ๆ ให้ดี!”
ด้วยความคิดนี้ ฟางหยวนรู้สึกเหมือนจะตีความการฝึกตนเป็นเจ้าแห่งความฝันของตนได้ลึกซึ้งมากขึ้น
ประสบการณ์ในโลกแห่งความของเขานั้นเป็นของปลอมอย่างที่สุด แต่ว่ามันก็มีส่วนช่วยอย่างมากในด้านโอกาสการฝึกฝนจิตใจของเขาในโลกความจริง
ขณะที่เขายังรักษาท่าทางสงบเอาไว้ เสียงดังฟังชัดเจนก็ก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
“ทุกคน ลุกขึ้นเถิด… ในฐานะเจ้าเมืองคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่ง พวกเรายังมีงานการคั่งค้างอยู่อีกมากมาย และข้าหวังว่าทุกคนจะร่วมมือกัน!”
ทุกคนลุกขึ้นยืนและมองหน้ากัน และเห็นเจ้าเมืองที่ยังอายุน้อยและสง่างาม ทุกคนก็รู้สึกสะดุ้งในใจ
“ราชทูตจากประเทศอู่มาถึงแล้ว!”
ในตอนนี้เอง ประตูด้านนอกก็สะเทือน และความลังเลในน้ำเสียงของเจ้าพิธีการก็สามารถฟังออกได้
“ท่านเจ้าเมือง?”
หนิวติ้งเทียนก้าวออกมา
เขาเป็นคนหยาบกระด้างและได้สาบานตนภักดีต่อฟางหยวนหลังจากได้รู้แผนการของหลิวเอี๋ยนตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่
ฟางหยวนใช้งานแต่เฉพาะผู้ที่เขาเชื่อถือ ให้ได้รับหน้าที่สำคัญ
เช่นเดียวกับเซียงจื่อหลง ที่ยังอยู่ในช่วงพักฟื้นจากการบาดเจ็บ
หนิวติ้งเทียนรู้สึกว่าราชทูตนั้นเป็นศัตรู “ท่านต้องการให้ข้าไล่เขาออกไปหรือไม่?”
“วันนี้เป็นวันมงคล และแขกทุกท่านย่อมนับเป็นแขก เชิญเขาเข้ามา!”
ฟางหยวนส่ายหน้าและสั่งลงไป
ไม่นานหลังจากนั้น ชายร่างผอมในชุดสีน้ำตาลที่ดูคล้ายเป็นนักพรตก็เดินเข้ามา จับจ้องฟางหยวนเขม็ง
“ข้าคือซวนเชิง และข้ามาที่นี่เพื่อยินดีกับการรับตำแหน่งของท่านเจ้าเมืองในนามของประเทศอู่!”
นักพรตชราซวนเชิงประสานหมัดแต่ดูปราศจากความเคารพและพูดต่อ “ข้านำทองหนึ่งร้อยตำลึง หยกหรูอี้หนึ่งคู่ และราชสาสน์มาด้วย!”
“ราชสาสน์?”
ฟางหยวนถอนหายใจ “เขียนว่าอย่างไร?”
ซวนเชิงลูบเคราของตนเองตามยาว ดูไม่สนใจว่าตนกำลังอยู่ในพื้นที่ของศัตรู ดูเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ราชสาสน์ลงนามโดยราชครูของประเทศเซี่ย ระบุว่าบัดนี้ พื้นที่ทั้งอี้ซานฝูอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอู่!”
“อะไรนะ?”
ด้วยข่าวนี้ ทั้งห้องโถงก็ตกตะลึง
แม้ว่าเขาจะได้ยินข่าวว่าประเทศเซี่ยยอมแบ่งดินแดนให้ประเทศอู่ เขาก็ไม่ได้คิดว่าคนเหล่านั้นจะบ้าคลั่งถึงขนาดยอมยกทั้งรัฐให้ประเทศข้างเคียง!
เกิดเสียงพึมพำวุ่นวายขึ้นในห้องโถง
“เงียบ!”
ฟางหยวนยังดูสงบขณะยกมือขวาขึ้น
“!”
พลังรุนแรงแผ่ออกไปทั่วทั้งห้องโถง ราวกับลำคอของทุกคนถูกกอบกุมเอาไว้ และความวุ่นวายก็หยุดลง
หลายคนที่เห็นภาพนี้ก็มีเหงื่อเย็น ๆ ไหลโทรมกาย
ความหวาดกลัวในตัวเจ้าเมืองคนใหม่นี้ไม่น้อยเลยเมื่อเทียบกับหลิวเอี๋ยน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
“…ตามราชสาสน์แล้ว บัดนี้อี้ซานฝูนับเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอู่ และตำแหน่งเจ้าเมืองของท่านก็ต้องได้รับการรับรองจากประเทศของเราและออกเป็นคำสั่งลงมาจึงจะนับได้ว่าเป็นทางการ!”
ซวนเชิงยังพล่ามต่อ “ราชาของประเทศของข้าชื่นชมผู้มีพรสวรรค์ ถ้าท่านเตรียมของขวัญใหญ่โตสักชิ้นให้และตามข้าไปพบราชาของประเทศของข้า จะยังมีใครกล้าคว้าตำแหน่งนี้ไปจากท่านได้กัน?”
เขาพยายามกระตุ้นฟางหยวน และแม้แต่หนิวติ้งเทียนก็เริ่มไม่ชอบใจ
ซวนเชิงรออย่างอดทนและคาดหวัง
‘เมื่อฟางหยวนตกลง เขาก็เท่ากับยอมรับและอี้ซานฝูก็จะล่มสลายไปแม้จะไม่ถูกรุกราน… ต่อให้เขาตัดสินใจไม่ได้ ถ้าเขาเต็มใจเข้าร่วมกับประเทศอู่ เขาก็จะตกลงในกับดักของพวกเรา และผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังคงดีมากเช่นกัน!’
ขณะที่เขาคิดถึงความเป็นไปได้ ซวนเชิงก็มองฟางหยวน ดวงตาของเขาเปล่งประกายสว่างวูบ
‘เอ๋? นักพรตชราผู้นี้มีจิตใจประสงค์ร้ายและยังพยายามทำให้แก่นวิญญาณข้าสับสน?’
ขณะที่เขาสบตากับซวนเชิง เขาก็สัมผัสได้ว่าจิตเหนือสำนึกของเขาถูกกระแทก และเกือบจะตอบตกลงไปโดยไม่รู้ตัว
แต่เขาคือใครกัน?
เมื่อพลังธาตุความฝันของเขาเคลื่อนไหว เขาก็หลุดออกจากภวังค์และโมโหมาก “เหอเหอ… ผู้ใดจะไปสนใจราชสาสน์จากประเทศเซี่ยกัน?”
“อะไรนะ?”
สีหน้าของซวนเชิงเปลี่ยนไป “ชายหนุ่มผู้นี้ยังอายุน้อยและครอบครองพลังเวทย์ระดับสูง เขาหลุดออกจากเนตรหกวิญญาณของข้าได้อย่างไร… ศัตรูแข็งแกร่ง! ถ้าเขายังพัฒนาต่อไป เขาจะกลายเป็นศัตรูอันร้ายกาจของประเทศอู่!”
ถึงตอนนี้เขาก็รู้สึกได้ว่าคอของตนแข็งเกร็ง เขาไม่สามารถหลบสายตาของฟางหยวนได้ ราวกับได้กลายเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิดไป ไม่สามารถขยับตัวได้ “เวทย์สะท้อนกลับ!”
แม้ว่าเนตรหกวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าเป้าหมายของเขาร้ายกาจกว่าตัวเขาเอง ก็จะเกิดเวทย์สะท้อนกลับ และการสะท้อนกลับนี้อาจจะฆ่าเขาได้
ฟางหยวนไม่ได้ให้ความสนใจใดกับซวนเชิง “ประเทศอู่บ้าคลั่งนัก! ราชาของประเทศอู่ก็ละโมบและเหี้ยมโหด เจ้าเมืองคนก่อนตายตกในมือพวกเจ้าและตอนนี้เจ้ายังพยายามโน้มน้าวข้า?”
“อี้ซานฝูของข้าสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง เหตุใดจึงต้องให้คนนอกพยายามกดข่มเราเอาไว้? ส่วนราชาของประเทศเซี่ย การยอมละทิ้งดินแดนของตนนั้นเป็นการกระทำอันน่าละอายและไร้ซึ่งคุณธรรม ข้าจะสอบถามเขาเป็นการส่วนตัวในครั้งหน้า!”
“อ๊าก!”
เมื่อเขาพูดจบ นักพรตชราซวนเชิงก็กระอักเลือดออกมา
และไม่เพียงแค่นั้น
เขายกมือขึ้นปิดตาขณะร้องโหยหวน ตอนที่เขายืนขึ้น ลูกตาคู่หนึ่งก็หลุดออกมา เหลือไว้เพียงกระบอกตากลวง ๆ ที่เต็มไปด้วยเลือด ก่อให้เกิดความกลัวกับทุกผู้คนที่มองเห็นเขา
“ดี… ดี…”
นักพรตชราซวนเชิงหน้าซีดเผือดขณะเขาหัวเราะ “ข้ามันตาไร้แววและสมควรเป็นเช่นนี้แล้ว! แต่ท่านเจ้าเมือง อย่าได้มั่นใจเกินไป… ราชาของประเทศอู่ของข้านั้นเตรียมกองทัพทหารหนึ่งแสนนายเอาไว้ที่ชายแดนรัฐของท่าน รอคำสั่งบุกเข้ามา เมื่อคำสั่งถูกถ่ายทอดไป รัฐเล็ก ๆ ของท่านก็จะเหลือเพียงเถ้าถ่าน!”
นี่เป็นคำพูดข่มขู่ครั้งใหญ่ และหลายคนที่ได้ยินก็ตระหนกแทบตาย
“ท่านเจ้าเมือง… ผู้ใดจะรู้ว่า…”
หนิวติ้งเทียนเองก็ตกใจกับคำพูดนั่น และแทบพูดอะไรออกมาไม่ได้เมื่อมองไปที่ฟางหยวน
เขารู้ว่านักพรตชราผู้นี้มีความสามารถสูงส่ง และเทียบได้กับนักรบศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีเขาก็กังวลว่าฟางหยวนจะเสียเปรียบ
แต่ดูสิ เพียงแค่เหลือบมองเขา กระทั่งดวงตาของเขายังหลุดออกมา?
กระบวนท่าน่ากลัวนี้ยังแข็งแกร่งกว่าคาถาเวทย์ของหลิวเอี๋ยนเสียอีก
“ดีมาก เช่นนั้นก็นำคำของข้ากลับไปให้ราชาของเจ้า!”
เผชิญหน้ากับคำข่มขู่ ฟางหยวนหัวเราะ “บอกเขา ข้าจะรอเขามาและตายตกลงที่นี่!”