บทที่ 33 อนิเมชั่นต้องห้าม -“ ราชอาณาจักรแห่งความฝัน”
ในฐานะภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกที่ผลิตโดยบริษัทอนิเมชั่น “ภูเขาเพลิง” เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆในหมู่บ้านมาก และปีศาจเงาเองก็มีความสุขเช่นกัน เพราะคนอื่นชอบผลงานของมัน มันแทบรอไม่ไหวที่จะเล่นหนังเรื่องต่อไป
อย่างไรก็ตามโจวหยูกลับเป็นคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้ เพราะจากมุมมองของโอตาคุที่จู้จี้จุกจิกแล้ว ถ้าอนิเมชั่นในอนาคตยังคงมีคุณภาพแบบนี้ สิ่งเดียวที่จะขายได้คือความรู้สึกคิดถึงเท่านั้น ซึ่งนี้มันแตกต่างจากอนิเมชั่นที่เขาจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
การเล่นแอนิเมชั่นแบบนี้ไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้ แม้ว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นคลาสสิคจะเป็นที่จดจำของผู้คนตลอดไป แต่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นก็ไม่ควรหยุดพัฒนาเช่นกัน นี้อาจเป็นสิ่งเดียวที่น่าเศร้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะในปัจจุบันถึงแม้ว่าจะมีคนในวงการอนิเมชั่นในประเทศจำนวนมากที่พยายามพัฒนาให้อนิเมชั่นของประเทศไปยังระดับใหม่ แต่จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่สามารถทำมันได้
ดังนั้นในครั้งนี้โจวหยูจึงได้คิดสร้างอนิเมชั่นระดับสองดาวขึ้นมา โดยที่เขาจะใช้ชื่อเรื่องว่า -“ ราชอาณาจักรแห่งความฝัน” พล็อตเรื่องเองนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาเคยเขียนเมื่อนานมาแล้ว เพราะเขาไม่สามารถนึกถึงงานอื่นใดที่เขาสามารถใช้ทดสอบอนิเมชั่นระดับสองดาวได้ดีกว่านี้ อย่างไรก็ตามเมื่อบริษัทอนิเมชั่นทำออกมาจริงๆ มันกับทำให้เขาเกือบเสียใจกับความคิดนี้ของเขา
เมื่อเขาเริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้เขายังอยู่ในโรงเรียนมัธยมเท่านั้น มันเป็นช่วงเวลาที่จินตนาการของเขาอยู่ในจุดสูงสุด ด้วยความฝันอันแสนหวานที่เขามี เขาจึงเริ่มเขียนเรื่องราวตามความฝันนั้นและเขายังอัพโหลดเรื่องนี้ลงบนโลกออนไลน์อีกด้วย แต่มาตอนนี้เมื่อเขามองย้อนกลับไปดูในสิ่งที่เขาทำในสมัยนั้น
‘พระเจ้า! มันช่างน่าอายจริงๆ!’
นวนิยายเรื่องนี้อธิบายถึงวัยรุ่นที่ชอบนอนหลับโดยบังเอิญ ก่อนเข้าไปในอาณาจักรแห่งความฝันที่เรียกว่า – หยวนเซียนเซียง
ในฐานะคนนอกมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะถูกไล่ล่าโดยเจ้าหน้าที่ของอาณาจักรแห่งความฝัน และนั้นทำให้เขาได้พบกับผู้คนหลากหลายประเภทในขณะที่เขากำลังหลบดี
บางคนก็ต้องการที่จะช่วยให้เขากลับสู่ความเป็นจริง ในขณะที่คนอื่นต้องการที่จะใช้เขาในการทำเรื่องชั่วร้าย แต่พล็อตเรื่องหลักก็ยังอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่โรแมนติกระหว่างชายหนุ่มจากโลกแห่งความเป็นจริงและหญิงสาวลึกลับของหยานเซียนเซียงจากโลกแห่งความฝัน.
เรื่องราวแสนโรแมนติกบริสุทธิ์และเรียบง่ายที่ไม่มีใครสนใจอ่านได้ถูกฝังลึกลงไปในโฟลเดอร์คอมพิวเตอร์ของเขาเป็นเวลานานมาก เขาไม่ได้คาดหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะปรากฏต่อหน้าเขาในรูปแบบของอนิเมชั่น
แต่เมื่อเขาคิดว่าอาจจะมีใครบางคนที่เคยเห็นมันโดยบังเอิญ มันก็ทำให้โจวหยูต้องการขุดรูบนพื้นและฝังหัวของเขาไว้ข้างใน
‘นอกจากนี้การนำเสนอภาพยนตร์แอนิเมชั่นสุดโรแมนติกให้กับเด็กๆ?’ เขากำลังคิดบ้าอะไรอยู่กัน? ถ้าเขาทำมันจริงๆพ่อแม่ของเด็กๆเหล่านั้นอาจจะปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูบ้านของเขาพร้อมกับไม้กวาด ก่อนที่พวกเขาจะถามเขาเพื่อจุดประสงค์ว่าทำไมถึงเล่นอนิเมชั่นแบบนั้น
ดังนั้นอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงไม่ได้ถูกดึงออกมาในรูปแบบม้วนฟิล์ม มันมีเพียงข้อมูลดิจิทัลที่สามารถถ่ายโอนไปยังคอมพิวเตอร์ของเขาได้เท่านั้น และเขาก็ได้วางแผนที่จะดูเรื่องนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากที่เขาตรวจสอบคุณภาพของอนิเมชั่นระดับสองดาวเสร็จแล้ว เขาสาบานได้ว่าเขาจะไม่แตะอนิเมชั่นเรื่องนี้อีกเลย
ภาพยนตร์อนิเมชั่นระดับสองดาว ได้มาถึงระดับการผลิตของภาพยนตร์การ์ตูนญี่ปุ่นยุค 90 แล้ว คุณภาพของมันคล้ายกับการ์ตูน “เด็กเห็นผี” มาก
แน่นอนถ้าเป็นซีรีย์การ์ตูนอนิเมชั่นมันคงไม่ถึงระดับนี้อย่างแน่นอน คุณภาพของมันอาจจะเหมือนกับโดราเอมอนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นคุณภาพแบบนั้นก็ยังน่าดูอยู่
แน่นอนว่าคุณภาพที่นี่พูดถึงก็คือคุณภาพกราฟิกเท่านั้น ไม่ใช่คุณภาพของเนื้อเรื่องแต่อย่างใด คุณภาพของเนื้อเรื่องมันยังคงเป็นอะไรที่น่าอายจนทำให้โจวหยูต้องการลบภาพยนตร์อนิเมชันนี้โดยเร็วที่สุด
มันเป็นความอัปยศอย่างแท้จริงที่จะเปลี่ยนนวนิยายของเขาให้กลายเป็นอนิเมชั่นแบบนี้
เพียงไม่กี่นาทีในการดูอนิเมชั่นนี้ มันก็ทำให้โจวหยูอยากจะกระโดดตึกตายจริงๆ คุณภาพของการทำซ้ำอนิเมชั่นของนวนิยายนั้นสูงเกินไป จิตวิญญาณของงานทั้งหมดนั้นได้ดำเนินไปอย่างซื่อสัตย์ตลอดทั้งเรื่อง จนถึงจุดสิ้นจบของเรื่อง และนั้นทำให้เขาเกือบจะไม่ต้องการดูมัน
แต่ในที่สุดเขาก็ทำใจจนดูมันจนจบจนได้ และมันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าความรักคลาสสิคระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝันนั้นไม่ใช้เรื่องที่มีความสุขมากนัก แต่มันก็ยังถือว่าเป็นการจบที่สมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตามในขณะที่ตัวเอกผู้ชายและตัวเอกผู้นำหญิงต่างก็จับมือกันในตอนท้ายของโลกแห่งความฝัน และทำการบอกลากันและกัน มันถือได้ว่าเป็นฉากซิมโฟนีโศกนาฏกรรมที่เหมือนเทพ ในขณะนั้นระดับอารมณ์รวมของโจวหยูก็ได้มาถึงจุดสูงสุด พร้อมกับเพลงประกอบที่ดีมากเป็นแบล็คกราว มันยิ่งทำให้ผู้ชมมีอารมณ์รวมมากอยิ่งขึ้น
เมื่อโจวหยูดูจบ เขาถึงกับเดินออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะพยายามหายใจเข้าลึกๆ และกลับไปที่ห้องของเขาอีกครั้ง
พูดตามความซื่อสัตย์จริง กราฟิกของภาพยนตร์ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่มันก็มากเกินพอที่จะทำลายอมิเมชั่นในประเทศได้ทั้งหมด เอฟเฟกต์เสียงของภาพยนตร์เองก็ถือว่าเป็นตำนานเลยก็ว่าได้ สิ่งเดียวที่ขาดหายไปคือเรื่องราวที่ดี ตราบใดที่เขามีเรื่องราวที่ดี มันก็ไม่ใช้ยากที่จะสร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมา
จากสิ่งนี้ทำให้โจวหยูยิ่งมองไปที่อนิเมชั่นระดับสามดาวด้วยความคาดหวังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันโจวหยูก็สังเกตเห็นว่าเขามีปัญหาใหญ่ขึ้นมาแล้ว ในตอนนี้เขามีเหรียญโมไม่เพียงพอ
แต่เดิมเขาเก็บเหรียญไว้ประมาณ 4,000 เหรียญในหนึ่งเดือน แต่หลังจากที่ใช้ในการสร้างบริษัทแอนิเมชั่นและหลังจากผลิตภาพยนตร์การ์ตูนถึงสองเรื่อง ในตอนนี้เขาก็เหลือเหรียญโมน้อยกว่า 250 เหรียญ
มันจึงทำให้เขาไม่เต็มใจที่จะต้องหยุดแผนการสร้างภาพยนตร์ระดับสามดาวเอาไว้ก่อน เขาจำเป็นที่จะต้องรอจนกว่าวิกฤตเศรษฐกิจนี้จะผ่านพ้นไป
…………………………
เหรียญโมของเขากำลังอยู่ในช่วงวิกฤติในตอนนี้ แต่ในชีวิตจริงเขาเริ่มทำเงินได้แล้วหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนของการโฆษณาสงครามของชาวบ้านลู่หัวในที่สุดก็เริ่มขาย
จางเฟิงเป็นกังวลอย่างมากในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เพราะการขายเกมในครั้งนี้มันมีความสำคัญกับอาชีพของเขาโดยตรง อย่างไรก็ตามโจวหยูก็เหมือนเป็นคนนอก มันราวกับว่าเกมนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลย ไม่เพียงแต่เขาไม่ได้ตรวจสอบประสิทธิภาพการขายของเกมออนไลน์เท่านั้น เขายังไม่ได้เข้าสู่พอร์ทัลเกมด้วยซ้ำ
ทุกเกมต่างก็มีวัฏจักรในการพัฒนา ไม่ว่าบริษัทเกมจะพัฒนาเกมได้เร็วแค่ไหน เขาก็จะไม่อัปโหลดเกมทั้งหมดพร้อมกัน นอกจากนี้มันไร้สาระเกินไปที่จะสร้างเกมทุกสัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงต้องระวัง
ในอนาคตเกมส่วนใหญ่ที่ผลิตโดยบริษัทเกมจะถูกสงวนไว้สำหรับตัวเองเท่านั้น หากเขารู้สึกว่าคุณภาพของเกมดีพอแล้ว เขาถึงจะพิจารณาปล่อยเกมสู่สาธารณะต่อไป
นอกจากนี้เขายังต้องการดูประสิทธิภาพของอนิเมชั่นมากกว่า เขาจะสามารถประหยัดได้ประมาณ 1,000 เหรียญโมต่อสัปดาห์ถ้าเขาหยุดสร้างเกม แต่เขาจำเป็นต้องจัดสรรเหรียญมากที่สุดให้กับโปรดักชั่นของอนิเมชั่นและเกม เขายังต้องการที่จะซื้อสตูดิโอสำหรับมังงะเช่นกัน
ในตอนนี้โยดาฮิโระโทะกามิตัวปลอมเองก็ได้ปล่อยบทการ์ตูนมาเกือบครึ่งปีแล้ว และนั้นทำให้ไอดี “ ลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขัง” ของเขาได้กลายเป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนทั้งรักเขาและเกลียดเขาไปพร้อมๆกัน
หลังจากที่บริษัทต้นสังกัดได้ทำการปรับเปลี่ยนพล็อตเรื่องของฮันเตอร์เสร็จแล้ว มันก็ทำให้เหล่าแฟนๆฮันเตอร์ตกใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะนี้อาจจะหมายความว่าพวกเขาจะได้อ่านเรื่องนี้ในเรื่องราวที่แตกต่างกันนั้นเอง
เมื่อเหล่าแฟนๆนักล่าได้รับรู้เรื่องนี้ พวกเขาถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นทันที อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนพล็อตเรื่องในครั้งนี้มันก็อาจจะทำให้ตัวละครที่เคยตายไปก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งมันอาจจะทำให้เหล่าแฟนๆสับสนก็ได้
และนี้ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มออกจากกันเป็นสองกลุ่มทันที
ซึ่งก็มีคนอย่างโจวหยูที่ชอบทั้งสองเรื่องราวเช่นกัน อย่างไรก็ตามมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกหัวรุนแรงบางคนที่อ่านเฉพาะต้นฉบับเท่านั้น ซึ่งนี้เองก็มักจะเป็นประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายยกขึ้นมาโต้เถียงกันบ่อยครั้ง
บางครั้งโจวหยูยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังคง @ เขาซ้ำๆและกล่าวโทษเขาสำหรับการลอกเลียนแบบมังงะนี้
แน่นอนโจวหยูทำเพียงแค่เพิกเฉยต่อคนเหล่านั้นทั้งหมด และในขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังคงถกเถียงกันอยู่ การ์ตูนฮันเตอร์อย่างเป็นทางการก็ได้หยุดลงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพียงการพูดนอกเรื่องเท่านั้น หลังจากโจวหยูมีเวลาว่างจากการลงบทของฮันเตอร์แล้ว เขาก็ยังได้ยังเว็บไซต์สำหรับการแบ่งปันวิดีโอ ก่อนที่เขาจะลงทะเบียนบัญชีที่ชื่อว่า“ นักลัทธิเต๋าที่นิยมเครื่องบิน” แล้วอัพโหลดแอนิเมชัน -“ ภูเขาเพลิง” ลงไป