ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 14 : เจ้าจงใจเข้าข้างมันนี่!

ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แสงอาทิตย์สาดส่องทั่วทั้งบริเวณ ภายในบริเวณของตำหนักยุทธ์ เด็กหนุ่มผู้แต่งตัวเบาบางนั่งสมาธิในขณะที่ต้อนรับแสงแรกของอาทิตย์สีม่วง ที่นั่นมีเพียงผู้เดียวที่ได้เห็นแสงอาทิตย์สีม่วง ปราณได้ซึมซับเข้าไปยังร่างกายทำให้เขามีความสง่าผ่าเผยอย่างมาก

แค่เพียงอาบแสงอาทิตย์สีม่วงเล็กน้อยก็เพียงพอจะผลักดันการฝึกฝนวิทยายุทธ์ เพื่อขึ้นไปยังขั้นสูงสุดของระดับพื้นฐานขั้นหกอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ราวกับจะทะลุไปยังขั้นเจ็ด

อย่างไรเสีย เหนือการควบคุมของเด็กหนุ่มผู้มีเก้าดวงดาวสถิต พลังงานเหล่านี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขายังคงอยู่ขั้นหก จะมีผู้เยาว์จากระดับพื้นฐานคนใดบ้างที่จะสามารถดูดซับแสงอาทิตย์สีม่วงได้เช่นเซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้?

เศษพลังงานสีม่วงพวกนี้จะคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพียงแสงแรกจากดวงอาทิตย์เท่านั้นที่จะสามารถดูดซับมันได้ หลังจากเซี่ยงเส้าหยุนดูดซับสำเร็จ เขายืดตัวแล้วลุกขึ้น ราวไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้จะไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ช่างน่าตกใจที่ในตอนนี้มีพลังงานเอ่อล้น

“ดูเหมือนว่าเราจะต้องฝึกหนักนับจากนี้” เซี่ยงเส้าหยุนกระซิบขณะที่กำลังยืนขึ้นพร้อมยืดเอว

หลังจากผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง เซี่ยงเส้าหยุนมุ่งหน้าไปยังสวนชั้นนอกเพื่อฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาจะต้องไปที่นั่นให้ตรงเวลาและฝึกฝนให้ครบตามที่กำหนดไว้

หากเซี่ยงเส้าหยุนต้องการแข็งแกร่งขึ้น การฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกายและการสร้างรากฐานให้ดีเป็นสิ่งสำคัญ ในเวลานี้เซี่ยงเส้าหยุนได้มาถึงสวนชั้นนอกแล้ว มีเหล่าศิษย์ชั้นนอกมากมายอยู่ที่นี่เช่นกัน

เซี่ยงเส้าหยุนพบว่าเหล่าศิษย์มองตนแปลก ๆ และถอยห่างราวกับตัวเขานั้นเป็นโรคระบาด ไม่มีผู้ใดกล้ายืนใกล้ ๆ เขาด้วยซ้ำ ภายในใจของเซี่ยงเส้าหยุนนั้นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

“ลูกพี่ โอ้ ลูกพี่ เหตุใดท่านถึงยังไม่ไปพบอาวุโสจื่ออีกเล่า?! ท่านจะต้องประสบพบกับปัญหาใหญ่แน่นอน!” มีเสียงดังขึ้นใกล้กับเซี่ยงเส้าหยุน

เมื่อหันหัวกลับไปมอง เซี่ยงเส้าหยุนก็ได้พบกับเซี่ยหลิวฮุย ซึ่งเคยพูดคุยด้วยก่อนหน้านี้

“มีเหตุด่วนอันใดถึงขนาดที่จะให้ข้าไปพบกับศิษย์พี่ด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนถาม

“เจ้าไม่เพียงแต่สร้างความขุ่นเคืองแก่อู่หมิงเหลียงแต่ยังได้ทุบตีคนของเขาด้วย! นั่นยังไม่พอสำหรับเจ้าอีกหรือ?” เซี่ยหลิวหุยตอบกลับด้วยความโกรธ

“นี่มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เจ้าจะหวาดกลัวอะไรเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนถาม ไม่มีผู้ใดทราบว่าอู่หมิงเหลียงนั้นจะเป็นเพียงก้าวแรกในชีวิต ไม่คู่ควรแก่การเป็นคู่แข่งเสียด้วยซ้ำ

ขณะนี้เองที่เสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งดังจากใกล้เคียง “ฮ่า ฮ่า ช่างพูดจาใหญ่โตเสียจริง! ดูเหมือนว่าชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในสิบอันดับของสวนชั้นนอกแห่งนี้จะเทียบไม่ได้เลยกับอัจฉริยะผู้ไม่ได้กินอะไรเลยเมื่อวาน!”

เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนและเซี่ยหลิวฮุยหันไปยังต้นเสียง พวกเขาพบกับอู่หมิงเหลียงเดินตรงมายังพวกเขาพร้อมคนอีกสองสามคน

“บ้าเอ้ย อู่หมิงเหลียงเห็นข้าอยู่กับเจ้าที่นี่! คงถึงจุดจบของข้าเป็นแน่!” เซี่ยหลิวฮุยกล่าวขณะค่อย ๆ ก้าวออกไปช้า ๆ

“นี่เจ้ากลัวอะไรกัน? คุณชายผู้นี้จะดูแลเจ้านับจากนี้เอง” เซี่ยงเส้าหยุนตอบอย่างมั่นใจ

“ดูแลตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ” เซี่ยหลิวฮุยตอบกลับอย่างไร้ซึ่งความภักดีใด ๆ ก่อนที่จะวิ่งหนีไป

“เจ้าช่างมีความกล้านัก! ที่ถึงกับกล้าไปทุบตีโกวจื่อและผู้อื่น! ข้าขอสะสางหนี้แค้นนั้นกับเจ้าเอง!” อู่หมิงเหลียงเผยความอหังการตะโกนใส่หน้าเซี่ยงเส้าหยุน

“เหอะ หากเจ้ามีความสามารถก็จงเข้ามา! คุณชายผู้นี้ไม่กลัวคนอย่างเจ้าหรอก!”เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับด้วยความมั่นใจเช่นเดียวกัน มิได้เป็นดั่งเมื่อวานอีกต่อไปเมื่อได้สัมผัสกับศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดและวิทยายุทธ์ที่ฝึกฝนมา แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีระดับสูงกว่าตนเฉกเช่นอู่หมิงเหลียง เซี่ยงเส้าหยุนก็จะสู้ไม่ถอยเช่นกัน

ผู้ใดกันที่กลัวความพ่ายแพ้? เขาจะไม่มีวันถอยหลังกลับแน่นอน!

“ดูเหมือนเจ้าจะมีความสามารถอยู่บ้าง! อย่างไรเสียเจ้าทำลายกฎของตำหนักยุทธ์ เจ้าจะต้องถูกลงโทษเหมือนกับเจ้าพวกนั้น!” อู่หมิงเหลียงหัวเราะอย่างเย็นชา

ไม่นานนักผู้ดูแลเหล่าศิษย์ชั้นนอกท่านหนึ่งได้เดินตรงเข้ามา

“เซี่ยงเส้าหยุนคือใครกัน?” ผู้ดูแลตำหนักตะโกน

เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับในทันทีโดยปราศจากความอืดอาด “เซี่ยงเส้าหยุนอยู่ที่นี่!”

“เจ้าทราบถึงความผิดของตนหรือไม่?” ผู้ดูแลตำหนักถามย้ำอีกครั้ง

“ข้าไม่รู้” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับในทันที

ผู้ดูแลตำหนักเดาะลิ้นอย่างเย็นชาพร้อมกล่าว “เหอะ ดูเหมือนเจ้าจะเป็นคนเขลา! เจ้าได้ทุบตีเจ้าพวกนี้โดยปราศจากซึ่งเหตุผลงั้นรึ?

“ผู้ดูแลหลิงเฉิน เป็นเช่นนั้นแน่นอน! โกวจื่อและคนอื่นยังนอนไม่ได้สติ จะมีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาจะสามารถฝึกฝนได้อีกทีเมื่อไหร่กัน!” อู่หมิงเหลียงตอบอย่างเหมาะเจาะ

“เซี่ยงเส้าหยุน! เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม?!” ผู้ดูแลหลิงเฉินถามด้วยความโกรธ

“พวกนั้นขอให้ขอทุบตีเอง ไม่ใช่ว่าข้าควรจะทำตามความปรารถนาเล็กน้อยเหล่านั้นหรือ?” เซี่ยงเส้าหยุนถามกลับด้วยความสัตย์จริง

“ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่สำนึกผิดนะ! เจ้าได้ทำลายกฎระเบียบของตำหนักยุทธ์และกำลังจะถูกลงโทษ ไปยังหอคอยแห่งขีดจำกัดและอยู่ในห้องแรกเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง! นี่คือบทลงโทษของเจ้าที่ไม่ยอมสำนึกผิด” หลิงเฉินตะคอกใส่

“เข้าใจแล้วขอรับ” ดวงตาของเซี่ยงเส้าหยุนเป็นประกายชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่านี่จะเป็นบทลงโทษสำหรับตน ในขณะที่สังเกตเห็นผู้ดูแลหลิงเฉินขยิบตาให้กับเขาซึ่งอยู่ห่างไกล ต่างจากท่าทีที่เข้มงวดก่อนหน้านี้

เขาจงใจเข้าข้างเซี่ยงเส้าหยุน! ผู้ดูแลหลิงเฉินเป็นคนเดียวกับที่นำพาเซี่ยงเส้าหยุนไปยังหอคอยแห่งขีดจำกัดเมื่อวันก่อน เขาตระหนักดีว่าเซี่ยงเส้าหยุนออกมาได้อย่างไรโดยไร้อาการบาดเจ็บหลังจากอยู่ในนั้นหนึ่งชั่วโมง ถ้านี่มิได้จงใจเข้าข้างเซี่ยงเส้าหยุน จะเป็นอะไรได้อีกเล่า?

อย่างไรก็ตาม เมื่อบทลงโทษนี้ดกระทบถึงหูเหล่าศิษย์ชั้นนอก ใบหน้าของพวกเขาเริ่มซีด ห้องแรกเป็นห้องที่มีแรงโนมถ่วงหนักถึงห้าร้อยกิโลกรัม! แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นหกหรือเจ็ดก็เป็นเรื่องยากที่จะอยู่ที่นั้นเพียงครึ่งชั่วโมง แต่นี่มันหนึ่งชั่วโมงเต็ม!

“บะ-บทลงโทษนี้มันหนักเกินไปหรือเปล่า? นี่เขาจะฆ่าเจ้านั่นงั้นหรือ?”

“นี่มันยังไม่ชัดเจนอีกรึ? เคยมีคนจากขั้นเจ็ดเข้าไปด้านใน นานที่สุดที่จะทนอยู่ด้านในนั้นเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น! ตามที่ข้าเข้าใจนะ ผู้เดียวที่สามารถทนอยู่ในนั้นถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มได้ในระดับพื้นฐาน คือศิษย์พี่หญิงกงฉินหยิน! อย่างไรก็ตามเธอเป็นเพียงระดับพื้นฐานขั้นเจ็ดในตอนนั้น แต่เซี่ยงเส้าหยุนยังเป็นนเพียงแค่ขั้นสาม! ข้าเกรงว่าเขาจะตายทันทีที่ก้าวเข้าไป!”

“เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ดูแลหลิงเฉินจะร่วมมือกับอู่หมิงเหลียง? พวกเขาไม่ได้สนใจท่านขุนนางอัสนีสีม่วงเลยหรือ?

“ช่างน่าเสียดายนัก อัจฉริยะผู้ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างกำลังจะจากไปเช่นนี้!”

แม้แต่อู่หมิงเหลียงก็ไม่คาดคิดว่าท่านผู้ดูแลจะเข้มงวดถึงเพียงนี้! เขากลั้นหัวเราะและเผชิญหน้ากับหลิงเฉิน “เหอะ เหอะ! ข้าหวังว่าเจ้าจะสนุกกับการลงโทษเล็กน้อยนี่!”

ในสายตาของเขา เซี่ยงเส้าหยุนเป็นเพียงคนตายที่เดินได้แล้วในตอนนี้

“ช่างยอดเยี่ยม! อู่หมิงเหลียง ข้าขอท้าทายเจ้า!” เซี่ยงเส้าหยุนทำท่าราวกับว่าตนกำลังโกรธ

อู่หมิงเหลียงยังคงหัวเราะพร้อมตอบอย่างประชดประชัน “เจ้ายังมีหน้ามาท้าทายข้าอีกงั้นรึ”

“หากข้าไม่ตายในวันนี้ ข้าและเจ้าจะมาประลองกันหลังจากนี้ไปอีกเจ็ดวันในลานประลอง!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับราวกับว่าเขาเป็นวีรบุรุษที่กำลังจะไปตายในสนามรบ

“ฮ่า ฮ่า ดี! ข้ายอมรับการท้าทายของเข้า! หากเจ้ารอดจากหอคอยแห่งขีดจำกัดได้ เจ้าและข้าจะมาประลองกันในอีกเจ็ดวันข้างหน้า!” อู่หมิงเหลียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

ผู้ฝึกยุทธ์อยู่ระดับพื้นฐานขั้นสามอันต่ำต้อยต้องการท้าทายกับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่จุดสูงสุดของระดับพื้นฐานขั้นเก้างั้นรึ? นี่มันราวกับเขาขอให้ไปฆ่าตัวเอง!

“ในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจอย่างที่สุดที่เคยคิดจะกลั่นแกล้งคุณชายผู้นี้!” หลังจากจำภาพของอู่หมิงเหลียงอย่างมั่นใจแล้ว เซี่ยงเส้าหยุนก็หันมุ่งหน้าไปยังหอคอยแห่งขีดจำกัด

การเข้าไปยังห้องแรกของหอคอยแห่งขีดจำกัดจะเป็นการลงโทษหรือไม่กัน? สำหรับเซี่ยงเส้าหยุนนั้นราวกับได้รับการฝึกแบบทั่วไปเท่านั้นเอง!

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset