ตอนที่ 9 ทหาร
ก๊อก ๆ ๆ!
ขณะที่ไนเรลกำลังรับรู้ถึงความสามารถใหม่ของเขาอยู่ ก็มีคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน
“มีใครอยู่ไหม?” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นมา
ไนเรลลุกขึ้นและมองจากหน้าต่างเห็นหญฺงสาวอายุราว ๆ 30 ปียืนอยู่หน้าประตูด้านหลังมีกลุ่มคน 5 คนยืนอยู่ดูเหมือนพวกเขาจะบาดเจ็บและเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
“ต้องการอะไร?” ไนเรลถามออกไป
“มีคนอยู่ พวกเรามีคนอยู่!” เธอดูดีใจเป็นอย่างมากจึงหันไปบอกกับกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังจนลืมตอบคำถามของเขา
ไนเรลหันไปกระซิบกับดามิน “ไปดูประตูหลังไว้”
ดามินพยักหน้าและเดินไปดูประตู เขาสายหัวเป็นสัญญาณว่าไม่มีใคร
“คุณต้องการอะไร?” เขาทำซ้ำอีกครั้ง
คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นรีบตอบทันที “พวกเราต้องการอาหารกับน้ำสะอาด คุณพอที่จะแบ่งให้ได้หรือไม่? ไม่ต้องเยอะก็ได้?”
“เปิดประตู” เขาหันไปบอกกับดาลิธ
หลังจากที่ทั้ง6 คนเข้ามาในบ้านและนั่งตรงข้ามกลับไนเรลและคนอื่น ๆ จากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็เล่าว่า เธอชื่อ เอ็มมิเลีย พวกเธอหนีออกมาจากเมืองตอนนี้ เมืองทั้งหมดแทบจะปิดตายไปแล้วเธอให้อุโมงค์รถไฟเก่าที่ไม่มีทหารเฝ้าหนีออกมา
เขาจึงถามเธอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง
เอ็มมิเลียก็ร้องไห้ออกมาทันที เเม็คที่อยู่ด้านข้างก็พูดออกมา “ในวันแรกจู่ ๆ ก็มีคนป่วยไล่ฆ่าคนอื่น เชื้อมันแพร่ระบาดเร็วมาก มันเหมือนกับนรกทุกคนฆ่ากันเอง แม้แต่ตำรวจก็ยิงทุกคนที่ไม่ทำตามคำสั่ง พวกเขาบังคับให้พวกเรากลับเข้าไปในของตัวเอง”
“พอวันที่สอง แม้แต่ตำรวจก็ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ มันมีระเบิดเกิดขึ้นหลายแห่งทหารก็เข้ามาแต่พวกเขาช่วยเฉพาะบุคคลที่สำคัญออกไปเท่านั้น ทิ้งให้พวกเราคนธรรมดาตาย”
เอ็มมิเลียร้องไห้หนักกว่าเดิม
“คุณเป็นตำรวจ?” ไนเรลถามออกไปและมองไปที่ปืนที่อยู่ข้างเอวและตรา ถึงเขาจะไม่ใส่ชุดตำรวจแต่เขาก็พอจะเดาได้
แม็คพยักหน้า
“แขนคุณไปโดนอะไรมา ผมขอดูหน่อยได้หรือไม่?”
“ไปคุยข้างนอกกันเถอะ” แม็คกล่าวออกมา
ไนเรลพยักหน้าและบอกให้พวกนิเรียรออยู่ข้างใน
เมื่อออกมาข้างนอกแล้วแม็คก็หยิบบุหรี่ออกมาสูบ “เอาหน่อยไหม?”
แต่เมื่อเห็นว่าไนเรลไม่ตอบ แม็คก็เก็บบุหรี่แล้วก็พูดออกมา “คุณคงเป็นมนุษย์ชั้นสูงสินะ”
“คุณรู้อะไรอีก?” ไนเรลจ้องตาแม็คและถามเสียงเย็น ๆ
“ก็ไม่มาก เพียงแต่วันแรกที่ฝนหยุดตก ก็มีคำสั่งลงมาให้พวกตำรวจตามหาและรวบรวมคนที่มีคริสตัลอยู่บนหน้าผาก และพวกทหารก็คุ้มกันพาพวกเขาไปพร้อมกับพวกตระกูลชั้นสูง”
“พวกนั้นปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องตายเป็นจำนวนมาก!” แม็คทิ้งบุหรี่และก็เหยียบมัน “ผมรู้ว่าคุณน่าจะมีที่พักอื่นอยู่อีก พาพวกเข้าไปด้วยได้หรือไม่” แม็คพูดออกมาและเเกะผ้าพันแผลออกมาให้ไนเรลดู
“นี่มัน…โดนกันมานานแค่ไหนแล้ว?”
“สักสองชั่วโมงตอนพาพวกเขาหนีออกมาจากเมือง” แม็คตอบและพันแผลกลับไป
“นั้นคงไม่ได้ ผมไม่สามารถดูแลพวกเขาได้” ไนเรลรีบปฏิเสธทันที ถึงเขาจะชื่นชมแม็คที่เสียสละตนเองเพื่อช่วยคนอื่น แต่ตัวเขาคงทำไม่ได้
คนพวกนี้จะต้องเป็นตัวปัญหาอย่างแน่นอน พวกที่เป็นภาระ ทำไมเขาต้องหาปัญหามาใส่ตัวเองทั้งที่ตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอด
อีกอย่างไนเรลเชื่อว่าไม่ได้มีแค่พวกแม็คและเอ็มมิเลียที่หนีรอดออกมาได้ เขาต้องรับดูแลทุกคนได้
แม็คกำลังจะขอร้องแต่ก็ถูกไนเรลขัดก่อน “แต่ผมสามารถแนะนำได้ว่าต้องไปที่ไหน”
“ที่ไหน” แม็ครีบถามทันที
“ค่ายลี้ภัยห่างไป 100 กิโลเมตร ทางใต้” ไนเรลกล่าวค่ายลี้ภัยที่จริงแล้วมันมีอยู่จำนวนมาก เมื่อรัฐบาลไม่สามารถควบคุมอะไรได้เขาก็สั่งอพยพคนสำคัญไปที่นั่นทันที
“แต่มันจะถูกประกาศทางในช่องสัญญาณฉุกเฉินใน 3 วันหลังเกิดเหตุการณ์ซอมบี้ก็คือวันนี้ แต่คุณคงไม่ได้อยู่เห็นมัน” ไนเรลกล่าวเสร็จก็เดินไปเรียกพวกนิเรียที่กำลังสอบถามเหตุการณ์ต่างๆรวมถึงเรื่องโรงเรียนและครอบครัวของพวกเขาเผื่อจะมีใครรู้จัก แต่ก็ได้แต่ความผิดหวังออกมา
“ไปกันเถอะ” ไนเรลกล่าว เขายังไม่ได้บอกอีกสิ่งกลับแม็คนนั้นก็คือที่ไหนมีคนมากที่นั่นก็จะดึงดูดซอมบี้จำนวนมหาศาลเข้าไปก็เหมือนกับที่พวกมันชอบเดินมาที่บ้านพักของเขาในช่วงสามวันมานี้
เขาหันไปบอกกับแม็ค “ลาก่อน”
ไนเรลรู้สึกเคารพแม็ค แต่เคารพก็ส่วนเคารพ เขาไม่ได้สนใจว่าใครจะอยู่หรือใครจะตาย
เขาสนอย่างเดียว คือจะพาน้องสาวและครอบครัวของตัวเองให้มีชีวิตรอดและไม่ซ้ำรอยกลับอดีตต่อไปได้อย่างไร
“โชคดีคะพี่สาวเอ็มมิเลีย” นิเรียและดาลิธกล่าวลาเอ็มมิเลียและเดินตามไนเรลไป
แม็คมองไนเรลเด็กหนุ่มอายุ 20 ปี ที่เป็นมนุษย์ชั้นสูงและรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าตัวเองโกรธไนเรลที่ไม่ยอมช่วยคนพวกนี้หรือโกรธที่ตัวเขาที่ไม่ได้เป็นมนุษย์ชั้นสูงกันแน่ บางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง
เมื่อนึงถึงคําปฏิญาณที่จะป้องและพิทักษ์ประชาชน นั้นจึงำให้เขาขัดคำสั่งและช่วยคนพวกนี้หนีออกมา
“ดูเหมือนว่าหน้าที่ข้าจะจบลงแล้ว” แม็คได้แต่พูดพึมพำจากนั้นก็บอกกับคนในกลุ่มของเขาว่าให้มุ่งหน้าไปทางใต้ที่นั้นมีที่ลี้ภัยอยู่และเขาก็สอนวิธีใช้ปืนให้กลับเอ็มมิเลียจากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน
……………………………………
ปัง!
ไนเรลเดินออกมาได้สักพักก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาจากด้านหลังเขาส่ายหัวและเดินต่อไป “กลับกันเถอะก่อนที่จะเย็น”
“คะ” นิเรียเดินมาจับมือของไนเรลไว้ เธอเห็นที่พี่ชายและแม็คพูดกัน ด้วยความสามารถของเธอ เธอสามารถเดาได้ว่าพวกเขาพูดอะไรกันจากการอ่านปากและท่าทีการขอร้องของแม็ค
การที่ต้องรับผิดชอบชีวิตใครนั้นมันคือภาระที่หนักหนามาก
ทั้ง4 คนเดินกลับมาที่บ้านพักใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงมันเริ่มเย็นแล้ว เมื่อเข้าใกล้บ้านพัก เขาเห็นรอยรถหลายคันบนทาง
“มีคนมาที่นี่” ไนเรลกล่าวและรีบวิ่งไปที่บ้านพักด้วยความกังวล ทั้งอาหารและของอยู่ที่บ้านพักหลังนั้นทั้งหมด
เมื่อไปถึงเขาก็เห็นรถฮัมวีเกือบ 10 คันจอดอยู่หน้าบ้าน มันมีร่องรอยการต่อสู้มาอย่างโชกเลือด ด้านหน้ามีทหารสองคนยืนเฝ้าประตู
“หยุด!” ทหารยามทั้งสองคนบอกให้พวกเขาหยุดพร้อมกับยกปืนขึ้นมาจ่อไว้ที่ไนเรลและทั้ง 3 คน
“ที่นี่คือบ้านของผม” ไนเรลกล่าวอย่างสุภาพ เขายังไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด ถ้าเจรจาได้เขาก็อยากจะเจรจา
ทหารทั้งสองคนดูเหมือนจะปรึกษากันสักพักทหารยามก็เดินไปตามหัวหน้าของเขา
ทหารที่ดูน่ากลัวเดินออกมา
“สวัสดีผมจ่าสิบเอกลุค เรียกผมว่าจ่าลุคก็ได้ พวกคุณคือเจ้าของบ้างั้นก็เชิญเข้ามาคุยกันด้านในก่อน แต่ว่าผมต้องขอปลดอาวุธของพวกคุณเพื่อความปลอดภัย” จ่าลุคกล่าวออกมาสีหน้าของเขายังคงดุดัน มองกดดันไปที่ไนเรล ราวกลับจากข่มเขาเพื่อให้ตัวเองดูเหนือกว่า
แต่ดูเหมือนว่าจ่าลุคจะตัดสินใจผิดพลาดที่กล้ามาข่มไนเรล
ไนเรลมองไปในตาของลุค สายตาที่เย็นชา จ่าลุคแค่สบตาของไนเรลก็เหมือนกับได้มองเห็นปีศาจที่ฆ่าสิ่งมีชีวตมามากมาย ฆ่ามนุษย์มานับไม่ถ้วน
สัญชาตญาณของจ่าลุคบอกว่าให้หนีไป ทันใดนั้นจ่าลุคก็ถึงกลับถอยหลัง
“จ่าเป็นอะไรไป?” ทันใดนั้นเสียงของทหารที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ดังขึ้น เขาจึงหลุดออกมาจากความกลัวในจิตใจนั้นได้
เขาได้แต่คิดในใจ ‘เด็กนี่เป็นใคร ความรู้สึกเมื่อกี้ไม่ได้คิดไปเองแน่ ใช่พวกหน่วยรบพิเศษที่ทางรัฐบาลส่งมาหรือไม่ ไม่น่าใช่ เด็กนี่แค่ 20 กว่า ๆ เท่านั้น สัตว์ประหลาด’
“ไม่มีอะไร” จ่าลุคหันไปกล่าวกับทหารคนนั้น
ถึงเขาจะเกิดควากลัวต่อไนเรลเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้แสดงความอ่อนน้อมมากนัก เพราะในนี้ยังมีกำลังทหารกว่า 30 นาย ที่สำคัญยังมีพวกนั้นอยู่ มนุษย์ชั้นสูง
“เข้าไปคุยกันข้างในก่อน” จ่าลุคกล่าวออกมา เขาไม่ได้เรียกร้องให้ไนเรลปลดอาวุธอีก
ประตูเปิดออกไนเรลและพวกก็เดินเข้าไป นิเรียดูตื่นตัวตลอดเธอจับไปที่ปืนลูกโม่ข้าวเอวทั้งสองกระบอกของเธอ
ดามินก็จับไปที่มีดสั้น เช่นกันแต่เขาจับเพราะความกลัว ถึงอย่างไรทหารกับประชาชนธรรมดาก็ต่างกันเกินไป
ส่วนดาลิธเธอก็ดูกลัวๆ เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้นเนื่องจากพี่ชายและพ่อของเธอก็เป็นทหารเช่นกัน เธอจึงรู้สึกไม่กลัวมากนักสิ่งที่เธอกลัวไม่สิเคารพคงเป็นไนเรลมากกว่า
เมื่อเดินมาถึงในห้องนั่งเล่นก็มีคนจำนวน 10 กว่าคนอยู่ ทุกคนนั้นมองไปที่ไนเรลและพวกที่เดินเข้ามาราวกับว่าเหนือกว่า
ไมน่าและคารอนยืนอยู่ด้านข้าง คารอนมีรอยช้ำที่ปากคลายกลับโดนต่อย ไนเรลมองไปที่มันและรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ถึงอย่างไรคารอนก็เป็นคนของเขา
“ผู้กอง นี่คือคนที่บอกว่าเป็นเจ้าของบ้าน” จ่าลุคทำความเคารพ และแนะนำไนเรล
“เจ้าคือเจ้าของบ้านนี้เหรอ” ผู้กองอีธานมองไปไนเรล
“ใช่!” ไนเรลนั่งลงอย่างไม่สนใจใครเพราะอย่างไรที่นี่ก็เป็นที่พักของเขา
ผู้กองอีธานมองไปดูก็รู้ว่าเด็กนี่ไม่ง่ายอย่างที่เห็น เขาเป็นผู้กองที่อายุ 40 ปีแล้ว แต่ท่าทีที่ไนเรลแสดงออกมันราวกับว่าเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุ 20 แต่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา
“เอาละ”
แต่ยังไม่ทันที่ผู้กองอีธานจะพูดไนเรลก็พูดตัดบทเข้ามาทันที “พวกคุณต้องการอะไร? พักกี่วัน?”
เป็นการเปลี่ยนสถานะจากผู้ถูกถามเป็นผู้ถามทันที มันคือกลยุทธ์พื้นฐานในการควบคุมการเจรจา
ผู้กองอีธานได้แต่ประหลาดใจแต่เขาก็ยังตอบ
“พวกเราแค่ผ่านมาและจะขอพักสัก 1 คืน แล้วเดินทางต่อแต่เราจะเอา…”
แต่ดอนก็พูดขัดขึ้นมาอีก “พวกคุณพักหนึ่งคืนได้ แต่ผมอยากรู้ว่าใครเป็นคนเปิดประตูให้เข้ามา”
“คือ…” ผู้กองอีธานเริ่มรู้สึกโกรธที่ถูกปั่นประสาทและไนเรลก็ไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
ปัง!
ผู้กองอีธานทุบไปที่โต๊ะอย่างแรง “นั้นไม่สำคัญที่ ข้าจะบอกเจ้านะเด็กน้อย! เราขอยึดบ้านหลังนี้ตามคำสั่งของกฎอัยการศึกที่ประกาศใช้!”
“และจะเอาเสบียงและอาหารไป! ส่วนอาวุธที่ผิดกฎหมายเช่นกระสุนและปืนพวกนั้นก็จะถูกยึด! โปรดส่งมาด้วยเพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สินและชีวิตของประชาชน!”
“ฮ่าๆ ๆ” ไนเรลได้ยินดังนั้นก็ถึงกลับหัวเราะลั่นออกมาทันที
เขาล้วงปืนลูกโม่ทังสแตนออกมาและจ่อไปที่หัวของผู้กองอีธาน
“หยุด!”
“หยุด! แกจะทำอะไร?”
“ว่างอาวุธลงเดี่ยวนี้!”
ทหารที่อยู่ในห้องตะโกนออกมาและกำลังจะยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่ไนเรล
แต่พวกเขาช้าไป นิเรียที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ชักปืนด้วยความชำนาญออกมาและจ่อไปหาทหารและจ่าลุคอย่างเร็ว ก่อนที่พวกนั้นจะได้ทันยกปืนขึ้นมา
“อย่าขยับ” นิเรียกล่าว
ทหารภายในห้องมองไปที่เด็กสาวน้อยอายุ 14 พวกเขาลังเลทันทีไม่รู้ว่าสาวน้อยจะยิงพวกเขาจริง ๆ หรือไม่ถ้าพวกเขาขยับ ไม่มีใครกล้าเสี่ยง เมื่อมองไปที่ลูกโม่ทังสแตน ขนาด 500 แม็กนั่ม 2 กระบอกคู่นั้น
บรรยากาศภายในห้องกลายเป็นตึงเครียดทันที
ไนเรลมองไปที่ผู้กองอีธานและกล่าว “ถ้าผมยิงคุณ คุณจะตายไหม?”