“ฉันไม่มีเงินจริง ๆ ชิวเต๋อ นี่แกอยากให้ฉันตายไว ๆ ใช่มั้ย ? นี่ฉิงกงก็เพิ่งกลับไปบ้านสกุลเซี่ย ไม่ดีหรอกที่จะไปขอเงินมาให้แกมาก ๆ แบบนั้นน่ะ”
ภายในห้องมีเสียงสั่นเครืออย่างคนที่ไม่รู้จะทำเช่นไรดีจากแม่บุญธรรมของเธอ..เซี่ยฉิวเจิน
“แล้วพี่ไม่มีเงินบ้างเลยหรือ ? พี่ไม่มีเงิน แต่นังเด็กฉิงกงนั่นต้องมีเงิน พี่ก็แค่ขอเธอมาให้ฉัน ตกลงมั้ย ? พี่สาว อย่างไรเสียฉันก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของพี่ พี่จะใจดำทนดูดายไม่สนใจความทะเยอทะยานของน้องชายที่มีมาตลอดชีวิตได้งั้นรึ ? ทุกอย่างคือความฝันของฉัน แต่ถ้าฉันไม่มีเงินทุน ทุกอย่างมิกลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่าเปล่าประโยชน์หรอกรึ ?”
สุ้มเสียงนี้จะไม่ให้เซี่ยฉิงกงคุ้นเคยได้อย่างไร ? ก็มันเป็นเสียงของน้องชายแม่บุญธรรมของเธอ.. เซี่ยชิวเต๋อ
พูดถึงเซี่ยชิวเต๋อแล้ว เซี่ยฉิงกงก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง แม้ว่าเขาจะมีฐานะเป็นน้าชายของเธอ ทว่าเขากลับไม่ต่างจากสัตว์นรก
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตระกูลเซี่ยให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว ดังนั้นพวกเขาจึงรัก และตามใจลูกชายคนนี้ทุกเรื่อง ทั้งยังให้ทุกสิ่งที่ลูกชายคนนี้ต้องการเสมอ ขณะที่เซี่ยฉิวเจิน ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวกลับได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากคนรับใช้นับตั้งแต่เด็กราวอยู่กันคนละโลก
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก่อนที่พ่อของเซี่ยฉิวเจินจะเสียชีวิต เขามีอาการป่วยเรื้อรังมาเป็นเวลานานแล้ว สุขภาพของเขาไม่ค่อยดีนัก เซี่ยฉิวเจิน จึงต้องคอยดูแลเขานับตั้งแต่เขาตื่นนอน
ครั้นกลางดึกคืนหนึ่งอาการป่วยของเขาทรุดหนัก กระทั่งต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล กลับไม่สามารถโทรติดต่อเซี่ยชิวเต๋อได้ เหมือนเซี่ยชิวเต๋อแสร้งทำเป็นตายไปแล้วอย่างนั้นแหละ
ไม่ต้องพูดถึงเวลาจ่ายค่ารักษาพยาบาลเลย
และเซี่ยชิวเต๋อคนนี้ก็ยังทำตัวเป็นปลวกแทะบ้าน ไม่ได้มีคุณธรรม จริยธรรมให้สมกับชื่อของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว เขาก็ปฏิเสธที่จะไปโรงเรียน เขาเอาแต่ขลุกอยู่กับบ้าน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าขันเป็นที่สุดก็คือ คนที่เธอต้องเรียกว่าตาคนนั้นกลับทิ้งมรดกซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีพื้นที่มากกว่า 80 ตารางวา พร้อมด้วยเงินฝากหลายหมื่นหยวนไว้ให้กับเซี่ยชิวเต๋อลูกชายคนเล็กของเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิต
ส่วนแม่บุญธรรมของเธอ เซี่ยฉิวเจิน กลับไม่ได้รับอะไรแม้แต่หยวนเดียว นอกจากนี้เซี่ยชิวเต๋อยังอ้างว่า เซี่ยลี่ลี่ลูกสาวตัวน้อยของเขาที่กำลังโต และเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมต้องการห้องส่วนตัว เพื่อทบทวนบทเรียน ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เซี่ยฉิวเจินพาเธอ และน้องสาวของเธอ เซี่ยว่านอิง ออกจากบ้านหลังนั้นไปเช่าบ้านอยู่เอง
ตอนนั้น เซี่ยฉิงกงเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว และชีวิตในมหาวิทยาลัย ก็ทำให้เธอมีเวลาทำงานพาร์ทไทม์หารายได้มาจุนเจือครอบครัว ดังนั้นเธอจึงขอให้แม่ออกจากสถานที่เฮงซวยเช่นนั้นไปเช่าบ้านอยู่กันเองในทันที
แม้ว่าชีวิตจะลำบากขึ้น หากแต่เธอก็มีความสุขมากขึ้น เธอไม่ต้องเผชิญหน้ากับตาแก่หน้าปรุราวกับผิวส้มของเซี่ยชิวเต๋อตลอดทั้งวัน
ยังมีการถกเถียงกันอยู่ข้างในห้อง
มู่เฉินฮ่าวรู้สึกได้ถึงความผันผวนทางอารมณ์ของเซี่ยฉิงกง เขาจับมือเล็ก ๆ ของเซี่ยฉิงกงไว้โดยไม่รู้ตัว
เซี่ยฉิงกงก้าวไปข้างหน้า เธอผลักประตูให้เปิดออก
“ปัง”
เสียงทะเลาะในห้องหยุดลงทันที เซี่ยชิวเต๋อหันหน้าไปมองประตู แล้วเขาก็เห็นเซี่ยฉิงกง ข้างกายเซี่ยฉิงกงคือชายหนุ่มรูปหล่อที่แลดูมีฐานะ
ชั่วขณะนั้นรอยยิ้มอันน่าสยดสยองก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“โอ้..ที่แท้ก็หลานสาวนี่เอง ฉิงกงมานี่สิ ให้น้าดูหนูหน่อย น้าไม่ได้เจอหนูนานหลายปีแล้ว”
เซี่ยฉิงกงมองเซี่ยชิวเต๋อ จากนั้นเธอก็แสดงท่าทีไม่สนใจเขา เธอเดินไปที่เตียงของเซี่ยฉิวเจิน
เซี่ยฉิวเจินอาการไม่ดีนัก เพราะความโกรธที่มีต่อเซี่ยชิวเต๋อ หน้าอกของเธอจึงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรงและถี่ ดูเหมือนเธอจะรู้สึกไม่ค่อยสบาย
เซี่ยฉิงกงยื่นมือออกไปลูบหลังของเซี่ยฉิวเจิน เพื่อช่วยให้แม่ของเธอผ่อนลมหายใจเข้าออกช้า ๆ
“แม่ รู้สึกยังไงบ้างคะ ?”
“ฉิงกง แม่ไม่เป็นไร”
***จบตอน ปลวกแทะบ้าน***