“กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ?”
เซี่ยฉิงกงผงะ ทำไมโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ไม่ตรวจเรื่องนี้
“อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คือ อาการที่เกิดจากการมีเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอต่อความต้องการของหัวใจ และนั่นอาจทำให้เกิดอาการหัวใจวายได้เฉียบพลัน”
เซี่ยฉิงกงถามคำถามที่ปกติสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยทุกคนต่างก็ต้องถามกันว่า
“แล้วจะสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่ ?”
ซูเฟยส่ายหน้า เอ่ยกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า
“นายหญิงน้อย ตอนนี้ยังไม่มีเทคนิคใด ๆ ในการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างรุนแรงให้หายขาดได้ ทำได้เพียงสามารถควบคุมและบรรเทาอาการ ทว่าโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดนี้ หากได้รับการควบคุมดูแลอย่างดี ก็จะไม่มีอันตรายถึงชีวิต”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เซี่ยฉิงกงก็พยักหน้า
“อืม ขอบคุณมากหมอซู”
“ด้วยความยินดี นายหญิงน้อย แต่ฉันเคยเห็นประวัติการรักษาของคุณป้าว่าก่อนหน้านี้เธอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษ ?”
“อืม..ใช่ วันนั้นเป็นวันรับปริญญาของรุ่นพี่ฉัน ขณะที่ฉันเพิ่งไปได้เพียงครึ่งทาง คุณแม่ก็โทรมาหา ท่านบอกว่ามีอาการอาเจียน ท้องเสีย เวียนหัว ฉันก็เลยต้องรีบกลับบ้าน เพื่อนำตัวท่านส่งโรงพยาบาล หมอวินิจฉัยว่า เป็นเพราะสารไนไตรท์ ไม่ก็อาหารเป็นพิษ คุณแม่ของฉันมักจะงก ท่านชอบทิ้งอาหารข้ามคืนเป็นวัน ๆ แล้วก็ยังเอากลับมากินอีก … “
อาหารค้างคืนบางมื้อโดยเฉพาะผักใบเขียวที่ค้างคืนไม่เพียงแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ หากแต่ยังผลิตไนไตรท์ได้จำนวนหนึ่งเลยทีเดียว
แม้ว่าพืชทุกชนิดอาจมีไนเตรตและไนไตรท์ ทว่าก็ไม่เป็นไรหากเข้าสู่ร่างกายแค่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม หากรับประทานในปริมาณที่ค่อนข้างมาก ก็อาจนำไปสู่ภาวะเมธฮีโมโกลบินนีเมีย (methemoglobinemia) หมายถึง ภาวะที่กระแสโลหิตมีระดับความเข้มข้นของเมธฮีโมโกลบิน มากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจน จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยฉิงกงก็กดขมับตนเองอย่างทำอะไรไม่ถูก
เซี่ยฉิวเจินเป็นเช่นนั้นเสมอ นับแต่เธอยังเด็ก ในเวลานั้นเซี่ยฉิงกง ไม่อาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเช่นนั้นได้ แต่ครั้นเซี่ยฉิงกงเติบใหญ่ขึ้น เธอก็พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินไปด้วยเรียนไปด้วย ส่วนหนึ่งก็เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวของเธอ
นอกจากนี้เซี่ยฉิงกงยังแนะนำอีกว่า เซี่ยฉิวเจินควรหยุดกินอาหารค้างคืนซึ่งไม่ถูกสุขอนามัย อีกทั้งไม่ปลอดภัย เพราะอาจก่อให้เกิดโรคบางอย่าง
หากแต่เซี่ยฉิวเจินไม่เต็มใจที่จะปรุงอาหารสดใหม่ทุกครั้ง เธอชอบซ่อนอาหารค้างคืนไว้ และแอบเอาออกมากินคนเดียวอย่างลับ ๆ
นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับเซี่ยฉิงกงเสมอมา
ทว่าตอนนี้ ไม่เป็นไรแล้ว เพราะนับจากนี้ไปเซี่ยฉิงกงจะไม่ปล่อยให้เซี่ยฉิวเจิน ต้องพบกับความยากลำบากเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว
“พอดีฉันได้ดูรายงานการตรวจเลือด และการตรวจน้ำเหลืองของคุณป้าในครั้งนั้น น่าที่จะเป็นเพราะอาหารเป็นพิษเรื้อรัง จากนี้ไปต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น สิ่งนี้อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ หากคุณเป็นมะเร็ง คุณจะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกเลย”
ในระหว่างรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับอาหารของเซี่ยฉิวเจิน เพียงแต่ซูเฟยกังวลว่า หลังจากการรักษาของเซี่ยฉิวเจินสิ้นสุดลง เมื่อเธอกลับบ้าน เธอก็จะกลับไปมีพฤติกรรมการกินเช่นเดิมอีก
“อืม”
เซี่ยฉิงกงซักถามซูเฟยเกี่ยวกับอาการของเซี่ยฉิวเจิน ส่วนเรื่องการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจตีบนั้น มีกำหนดจะดำเนินการหลังจากนี้ครึ่งเดือน
ด้านกำหนดพิธีหมั้นของเซี่ยฉิงกงนั้นจะมีขึ้นในวันที่ 18 ของเดือนนี้ เซี่ยฉิวเจินเลี้ยงดูเซี่ยฉิงกงมาตั้งแต่อายุยังน้อย เซี่ยฉิงกงจึงหวังว่า เซี่ยฉิวเจินจะได้เข้าร่วมในพิธีหมั้นของเธอ
เซี่ยฉิงกงย้อนกลับไปที่ห้องพักคนไข้ เธอเห็นเซี่ยฉิวเจินกำลังปอกแอปเปิ้ล
ทันทีที่เห็นเซี่ยฉิงกงกลับมา เซี่ยฉิวเจินก็ยิ้ม
“ฉิงกง มาสิ แม่กำลังจะหั่นแอปเปิ้ลให้หนูกินอยู่ทีเดียว”
เซี่ยฉิงกงรู้สึกคัดจมูก
“ค่ะ”
“แม่ วันที่ 18 เดือนนี้หนูก็จะเข้าพิธีหมั้นแล้ว หนูจะส่งคนมารับแม่ในตอนเช้านะ”
ครั้นเซี่ยฉิวเจินได้ยิน เธอถึงกับผงะไปชั่วขณะ มีดที่กำลังปอกแอปเปิ้ลพลันร่วงหล่นจากมือ
“เอ่อ ฉิงกง ตอนนี้หนูก็กลับบ้านสกุลเซี่ยแล้ว แม่ไปคงไม่เหมาะ จะทำให้หนูเสียหน้าได้ อย่าให้แม่ทำหนูอับอายเลย แค่หนูมีความสุขแม่ก็ดีใจแล้ว”
“แม่ วันหมั้นของหนู แม่จะไม่มาได้ไง ?”
“สุขภาพของแม่ไม่ค่อยดี … นอกจากนี้แม่ก็เคยเห็นว่าที่ลูกเขยแล้ว… แม่ไม่ไปดีกว่า …”
***จบตอน พิธีหมั้นวันที่ 18***