หลี่ว์ซู่แกว่งกิ่งไม้ในมือและเดินออกไปจากถ้ำหินปูน เขาหันมาถามจางเว่ยอวี่ “อะไรอะ นายจะมาดูถูกกิ่งไม้ของฉันงั้นเหรอ อย่าได้ประมาทเชียวล่ะ อันนี้ใช้ฆ่าคนได้นะ”
จางเว่ยอวี่พูดไม่ออกเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้วิชาไม่เหมือนกัน แต่หลี่ว์ซู่ก็คล้ายกับคนคนนั้นตอนที่เขาโอ้อวดมากทีเดียว จางเว่ยอวี่ตอบกลับอย่างดูถูกว่า “ของที่ไม่ใช่อาวุธก็ไม่ใช่อาวุธอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายถึงใช้กิ่งไม้ทั้งๆ ที่นายก็มีอาวุธที่แท้จริงอยู่แล้ว!”
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง “นี่คิดจริงๆ เหรอว่าฉันไม่มีอาวุธอะไรเลย ฉันทิ้งอาวุธของฉันไว้ที่บ้านเกิดโน่น เดี๋ยวฉันก็จะกลับบ้านไปสักวันแหละ ว่าแต่เมื่อก่อนนายใช้อาวุธอะไรเหรอ กระบี่ หรือมีด หรือหอก”
หลี่ว์ซู่ถามคำถามง่ายๆ แต่เขาเห็นว่าจางเว่ยอวี่ใจลอยไปไหนไม่รู้แล้ว!
หลิวอี้เจากำลังสู้กับผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่บนท้องฟ้า การต่อสู้ของพวกเขาขยายวงกว้างและรุนแรง คลื่นพลังจากบนฟ้าถูกส่งลงมายังพื้นดิน จนกระทั่งต้นไม้ใหญ่ๆ ที่แข็งแรงก็เกือบจะโค่นลงได้
ทหารจากทัพเฮยอวี่และทัพอู่เว่ยมุ่งหน้าออกมาจากบริเวณนั้นเป็นการใหญ่ พวกเขาเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้มาก และพวกเขาก็ไม่อยากจะเจ็บตัวจากการโดนลูกหลงด้วย
หลิวอี้เจาได้เปรียบในการสู้กับผู้บัญชาการเฮยอวี่อยู่เสมอ เคล็ดวิชาที่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ามอบให้พวกเขาทำให้จางอวี่เว่ยนั้นไม่ใช้เคล็ดวิชาของครอบครัวอีกเลย และมันก็มีจุดแข็งในตัวเองอยู่
ระหว่างที่พวกเขาต่อสู้อยู่นั่นเอง ผู้บัญชาการก็ตระหนักได้ว่าเขาบินตามหลิวอี้เจาไม่ทันถึงแม้ว่าเขาจะใช้คลื่นพลังจิตวิญญาณมากแค่ไหนก็ตาม เพราะมีความแตกต่างของเคล็ดวิชาอยู่มาก
ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่หันหลังกลับและบินหนีไป ในขณะที่หลิวอี้เจากำลังบินตามไปอยู่นั้น ผู้บัญชาการก็สวนกลับมาโจมตีเขาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว มีตราประทับงูหลามขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ที่ด้านหลังของเขา จากนั้นก็มีหอกพุ่งเข้าใส่ตัวของหลิวอี้เจา
แต่หลิวอี้เจากลับไม่สะทกสะท้านและเขาก็ยิ้มตอบ
“ฉันก็คิดว่าแกจะหนีไปเสียอีก” หลิวอี้เจาพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็าบิดหอกในมือของเขา หอกที่ทำจากทองเล่มนั้นแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที เผยให้เห็นว่ามีกระบี่อีกเล่มซ่อนอยู่ในหอกนั้น!
ก่อนที่ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่จะได้เห็นกระบี่ให้ชัดๆ กระบี่นั้นถูกแยกออกและแบ่งออกเป็นเจ็ดชิ้นด้วยกัน! แต่ละชิ้นไม่ได้ด้วยเหมือนกระบี่เดิมอีกต่อไป ราวกับว่ามีคนมาออกแบบแต่และเล่มใหม่ และกระบี่เล่มนี้ก็คมมาก!
เมื่อบัญชาการทัพเฮยอวี่เห็นแบบนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังหลุดออกจากร่าง “เทียนเซี่ยเฉา! นี่มันเป็นอาวุธที่เรียกว่าได้เป็นกระแสน้ำของโลกเลยนี่! พวกขุนนางทำลายไปนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังมาอยู่ในมือแกได้!”
ในขณะเดียวกันนั้นที่ถ้ำหินปูน จางเว่ยอวี่ก็หันไปมองหลี่ว์ซู่แล้วยิ้มออกมา “นี่นายกำลังทดสอบฉันอยู่ใช่ไหม แต่ไม่ต้องมากอะไรหรอกนะ ถ้าเรารู้ว่าเมื่อก่อนเราใช้อาวุธอะไรมา เราก็คงจะรู้ตัวตนของกันและกันเป็นแน่”
จางเว่ยอวี่พูดไว้อย่างชัดเจน เมื่อหลี่ว์ซู่รู้ตัวตนของพวกเขาและเอาเรื่องมาปะติดปะต่อได้แล้ว พวกเขาก็จะต้องลงเรือลำเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม
“เฮ้อ ชักเริ่มไม่อยากรู้ขึ้นมาแล้วล่ะสิ” หลี่ว์ซู่โบกกิ่งไม้ในมือและเดินหนีไป
ทันใดนั้นจางเว่ยอวี่ก็พูดขึ้นมา “อาวุธของเราเรียกว่าเทียนเซี่ยเฉาหรือกระแสน้ำของโลก เป็นกระบี่ที่ราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนมอบให้พวกเรา!”
“ก็เพิ่งบอกไปว่าไม่อยากรู้อยู่หยกๆ “หลี่ว์ซู่มองหน้าจางเว่ยอวี่อย่างไร้อารมณ์
“แต่ละโลกในเทียนเซี่ยเฉาจะแบ่งออกเป็นเจ็ดส่วนด้วยกัน แต่ละชิ้นส่วนนั้นเป็นวัตถุเวทมนตร์ที่มีค่ามาก” จางเว่ยอวี่ยิ้ม “ทีนี้นายก็น่าจะรู้ตัวตนของเราแล้วนะ”
หลี่ว์ซู่มองสีหน้าฉงนของจางเว่ยอวี่ เขาเงียบไป “นี่นายเป็นใครกันแน่เนี่ย!”
หลู่ว์ซู่รู้สึกงุนงง ทำไมจางเว่ยอวี่ถึงทำเหมือนว่าหลี่ว์ซู่จะต้องรู้ตัวตนของเขาในทันทีเมื่อพูดชื่ออาวุธ ‘เทียนเซี่ยเฉา’ ออกมาล่ะ หลี่ว์ซู่จะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ!
[ได้รับแต้มจากจางเว่ยอวี่ +199]
“ทำไมจะต้องเรียกนี่ว่ากระแสน้ำของโลกด้วยล่ะ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย
จางเว่ยอวี่ค่อยๆ ปรับลมหายใจของเขาอย่างยากลำบาก เมื่อเขามองหลี่ว์ซู่ดีๆ อีกครั้งก็พบว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ ด้วย หลี่ว์ซู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จางเว่ยอวี่สับสนมาก นี่หลี่ว์ซู่มาจากโลกไหนกันแน่เนี่ย!
ถึงแม้ว่าจางเว่ยอวี่จะเป็นทหารจักรพรรดิมาก่อน ก็มีแต่ปรมาจารย์หุ่นเชิดเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของดาวโลก เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงไม่เคยได้ยินอาวุธที่แสนจะโด่งดังอย่างเทียนเซี่ยเฉา
เขาสูดหายใจเข้าลึก “ก็เพราะว่าตอนที่ใช้เทียนเซี่ยเฉานั้นมันจะแตกออกเป็นส่วนๆ เหมือนกระแสที่ปกคลุมโลกอย่างไรล่ะ… มันเอาไว้ฆ่าระดับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ด้วยนะ!”
หลี่ว์ซู่คิดตาม “เยี่ยมไปเลย”
จางเว่ยอวี่รู้สึกว่าคำชมของหลี่ว์ซู่ไม่ได้ทำให้เขาดีใจเลย ทำไมไม่รู้อะไรบ้างเลยนะ!
หลี่ว์ซู่หันหลังและเดินออกไปอย่างสบายๆ เขาโบกกิ่งไม้พร้อมหันหลังให้จางเว่ยอวี่ “เอาล่ะ เข้าใจแล้วว่าพวกนายเก่งกันจริงๆ ”
“เดี๋ยวสิ รอก่อน! ขอพูดต่อว่าเมื่อก่อนเราเก่งมากขนาดไหนก่อนสิ… กลับมานะ!” จางเว่ยอวี่รู้สึกไม่พอใจมาก ทำไมเขาจะต้องกลั้นอารมณ์โกรธทุกครั้งที่เขาพูดกับชายหนุ่มคนนี้ด้วยนะ!
[ได้รับแต้มจากจางเว่ยอวี่ +699]
ทัพเฮยอวี่กำลังคิดว่าจะรับมือกับทัพอู่เว่ยที่เข้ามาซุ่มโจมตีได้อย่างไร เพราะพวกเขาจะมาเสี่ยงโดนโจมตีทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ได้ ทันใดนั้นก็มีกลุ้มทัพเฮยอวี่เดินเข้าไปในป่าเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง ทหารที่ทำตัวดูลึกลับพวกนั้นมีรอยสีขาวอยู่บนหน้าด้วย เขาเห็นว่าพวกศัตรูทาสีขาวบนหน้า พวกเขาก็เลยทาสีขาวบนหน้าเพื่อหลอกล่อศัตรู
ทุกคนคิดว่าวิธีนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่พวกเขาไม่มีวิธีอื่นๆ ใช้กันแล้ว พวกเขาจะต้องลองทุกอย่างที่พอจะใช้ได้
ตกดึกคืนนั้นกลุ่มทหารจากทัพเฮยอวี่ที่ยังไม่เคยโดนโจมตีก็ใช้เวลาหาก้อนหินที่มีสีคล้ายกับรอยสีขาวนั้นอยู่นาน จากนั้นพวกเขาก็บดหินให้เป็นผงและทาไปบนหน้า
ไม่นานหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ก็ถือมีดผู่เตาวิ่งพุ่งออกมาจากถ้ำ
เมื่อทัพเฮยอวี่เห็นหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ พวกเขาก็ตกตะลึง “ทำไมพวกแกไม่มีรอยสีขาวบนหน้าล่ะ!”
หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ มองหน้ากัน เขาเงียบไปสักครูแล้วตอบว่า “เราลืมน่ะ…”
ทัพเฮยอวี่พูดไม่ออกกันเลย ลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ในสงครามเนี่ยนะ! ใครเป็นคนสั่งการพวกแกเนี่ย! เราเสียเวลาหาสีขาวมาทาหน้ากันตั้งนาน แล้วพวกแกก็ลืมกันง่ายๆ เลย
ทัพเฮยอวี่โกรธเล็กน้อย “แล้วตอนสู้พวกแกก็ประมาทกันแบบนี้น่ะเหรอ”
ก็จริงอย่างที่มันว่า พวกเขาประมาท แต่แล้วยังไงล่ะ
หลี่เฮยทั่นได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจขึ้นมา “แกจะมาตั้งคำถามพวกเราเรื่องรอยสีขาวนี่จริงๆ นะเหรอ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ของเรายังไม่สนใจเลย แล้วแกจะมาสนใจทำไม พี่น้องทั้งหลาย ฆ่ามันเลย!”
แล้วทัพเฮยอวี่กลุ่มนั้นก็ตายกันหมด
ตั้งแต่ทัพอู่เว่ยรู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าทัพอื่นๆ พวกเขาก็ยิ่งทำตัวดุร้ายกันมากขึ้น…
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากทางทิศตะวันตก พวกเขาตัดสินใจไปที่ทิศทางนั้นทันที แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงเขาก็เห็นหลี่ว์ซู่ถือกิ่งไม้ไว้ในมือ เขาโดยทัพเฮยอวี่ล้อมไว้ แต่เขาดูใจเย็นและไม่สะทกสะท้าน
พลังกระบี่ของเขาก่อตัวขึ้นมา และพลังนั้นก็สามารถทำลายป่าและทัพเฮยอวี่ได้จนหมด