“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์จะมาจมปลักกับมันหรอกนะ” ถังหนิงปลอบ
“ฉันเข้าใจค่ะ…แต่…ฉันไม่อยากเห็นลู่เช่อต้องเจ็บปวดขนาดนี้เลย” เธอว่าขึ้นพร้อมนัยน์ตาที่เริ่มแดงก่ำ
“ความจริงแล้วสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้สายเกินแก้หรอกนะ หลงเจี่ยของฉันอาจจะเป็นคนโผงผาง แต่เธอก็ไม่ได้โง่สักหน่อยใช่ไหม”
หลงเจี่ยมองถังหนิงอย่างสิ้นหวัง “แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะคะ”
“หลังจากฟังเรื่องทั้งหมด พ่อของลู่เช่อเองก็ดูมีเหตุผลดีนะ บางทีเธออาจลองกู้สถานการณ์เพื่อลู่เช่อได้บ้างนะ”
“แต่ว่าเขาอาจจะไม่อยากจะเจอฉันก็ได้นะคะ”
“นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องทุ่มเทยังไงล่ะ หลงเจี่ย จำไว้นะว่าความรักจากครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ถ้ามันถูกเอามาใช้อย่างไม่ระวัง คนนอกอาจพอเข้าใจถึงขีดจำกัดได้ แต่อาจจะไม่ใช่กับคนในครอบครัวหรอก
“พอเป็นเรื่องของความสัมพันธ์อย่างนี้ เธอจะสู้หรือฉวยโอกาสก็ได้ แต่เธอก็ต้องระวังตัวไว้ เพราะเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดเป็นเพราะคนที่เธอใส่ใจตกเป็นคนกลาง แล้วเธอก็เป็นห่วงเขา!
“ยังไงครอบครัวเองก็มีข้อดีของมันนะ คนในครอบครัวโกรธกันได้ไม่นานหรอก เพราะพอต้องเผชิญหน้ากับคนที่ห่วงใย การสงบศึกกันก็เป็นเรื่องง่ายๆ ต่อให้จะเคยมีท่าทีแปลกๆ ต่อกันก็ตามเถอะ”
มีครอบครัวไหนไม่เคยมีช่วงเวลาคับขันบ้างล่ะ
“ฉันจะให้เวลาเธอพักจะได้แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงได้แต่มาทำงานแบบเหม่อๆ อย่างนี้แน่”
หลงเจี่ยพยักหน้ารับ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นแผลในใจของเธอ การเห็นลู่เช่อต้องเจ็บปวดจึงทำให้เธอต้องทุกข์ใจไปด้วย
หากแต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่ได้คาดคิดคือการที่พบว่าคุณพ่อลู่ได้หย่าขาดกับคุณนายลู่แล้ว
หลงเจี่ยคิดว่าครั้งนี้เธอคงจะถูกต่อว่าเมื่อไปพบหน้ากับคุณพ่อลู่ ทว่าเขาไม่ได้ไม่พอใจเธอแม้แต่น้อย แต่น้อย แต่กลับหาร้านกาแฟก่อนเข้ามานั่งด้านในด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“คุณพ่อคะ…”
“ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเธอสองคนหรอก แล้วลู่เช่อ
สบายดีหรือเปล่า”
หลงเจี่ยส่ายหน้า “เมื่อคืนหลังจากที่เขากลับบ้านมา เขาก็ร้องไห้นิดหน่อยแล้วก็ขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานอยู่นานเลยค่ะ”
“ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นหรอกนะ แต่…ฉันว่าฉันคงต้องเป็นคนที่รับผิดชอบมากที่สุด ถ้าฉันรู้ว่าความคิดของภรรยาฉันจะงี่เง่าขนาดนี้ ฉันคงจะอธิบายให้เธอฟังก่อนหน้านี้แล้วเรื่องก็คงไม่มาถึงขั้นนี้หรอก
“แต่มันไม่ใช่ปัญหาของพวกเธอหรอก มันแนเรื่องระหว่างเราสองคน
“ต่อไปนี้ฉันหวังว่าเธอกับลู่เช่อจะมีชีวิตที่สงบสุขนะ ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงแล้วล่ะ”
“แต่คุณพ่อ…”
คุณพ่อลู่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มผ่อนคลายอย่างรู้ว่าหลงเจี่ยเป็นห่วงเขาจากใจจริง “เราทั้งคู่ต่างก็ใช้ชีวิตมากว่าครึ่งชีวิตแล้วนะ เธอคิดว่าเราจะไม่รู้จักดูแลตัวเองหรือยังไง ฉันเองก็เข้าวัยเกษียณแล้ว แค่อยากใช้เวลาที่เหลือไปกับการปลูกหญ้าแล้วก็ตัดแต่งดอกไม้เท่านั้นแหละ
“ถ้าเธอสองคนยังเห็นว่าฉันเป็นพ่อก็พาเจ้าหลานสาวตัวน้อยของฉันมาเยี่ยมเป็นครั้งคราวแล้วกันนะ ฉันไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้แล้วล่ะ”
“เรายังนับถือคุณอยู่นะคะ ต้องนับถืออยู่แล้วล่ะค่ะ”
หลังจากนั้นคุณพ่อลู่จึงต่อสายหาลู่เช่อ พ่อลูกเปิดใจคุยกันหมดเปลือกและพูดกันจนไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนไปได้
“พ่อครับ ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้าเมื่อไหร่พ่อไม่ถือก็ย้ายเข้ามาอยู่กับเราแล้วใช้เวลากับหลานสาวนะครับ”
“ตอนนี้เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ฉันคงต้องขอเวลาอยู่กับตัวเองสักหน่อย เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ”
คุณพ่อลู่บอกปัดคำชวนของลู่เช่อ
หากแต่ลู่เช่อก็รู้สึกดีขึ้นมาก
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง การยุติความสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอ อีกทั้งเธอยังมีครอบครัวอีกฝั่งให้พึ่งพา ลู่เช่อจึงไม่ได้เป็นห่วงเธอ
หากแต่ในจังหวะที่ลู่เช่อกำลังจะวางสาย คุณพ่อลู่พลันพูดรั้งเขาไว้ “เสี่ยวมั่นมาหาฉัน ดูเหมือนเธอจะเป็นห่วงแกมากและรู้ว่าแกรู้สึกไม่ดีเท่าไร เธอไม่ยอมแพ้ต่อให้จะรู้ว่าฉันอาจจะนึกโทษเธอด้วย ตอนนี้เธอตั้งท้องอยู่ แกก็ดูแลเธอให้ดีๆ ด้วยล่ะ”
“โอเคครับ พ่อ”
ลู่เช่อสามารถปล่อยวางภาระที่อยู่บนบ่าได้ เขาคงต้องขอบคุณหลงเจี่ยเสียแล้ว
…
บ่ายวันนั้นอันจื่อเฮ่ามาถึงไฮแอทรีเจนซี ในที่สุดเขาก็หาเวลาดู มดราชินี ได้และมาที่นี่เพื่อมาบอกความเห็นของเขาหลังจากดูจบ
“ถึงผมจะไม่อยากจะเชื่อ แต่เทคนิคพิเศษถือว่าทำได้ไม่เลวเลยนะครับ คุณฝึกฝนทีมงานมามีฝีมือจริงๆ เส้นเรื่องอาจจะอ่อนไปสักนิด แต่ประธานโม่กับโคโค่ลีก็แสดงได้ดีมาก ผมเลยถือว่าเป็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ อีกอย่างดนตรีประกอบที่น่าลุ้นระทึกก็ทำให้ตัวหนังดูสมบูรณ์แบบเลยล่ะ ถึงเทคนิคการถ่ายทำของผมจะไม่ดีเท่าเฉียวเซิน แต่ผมก็บอกได้เต็มปากว่าคุณได้สร้าง มดราชินี ฉบับสมบูรณ์แบบได้น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ครับ”
“ถ้าอยากจะชมเธอก็บอกไปตรงๆ เลยสิคะ ไม่ต้องทำเป็นพูดเหมือนมืออาชีพหรอกค่ะ” หลงเจี่ยว่าเข้าให้
ถังหนิงระเบิดหัวเราะออกมา ตั้งแต่ปัญหาของเธอจบลงไป หลงเจี่ยก็กลับมาเป็นคนที่เสียงดังและโผงผาง
“ไม่สิคะ เราช่วยกันทำมันให้เสร็จสมบูรณ์ต่างหากค่ะ!”
“แล้วต่อจากนี้คุณวางแผนจะทำยังไงล่ะ”
“ฉันทำตัวอย่างหนังเปิดตัวไว้เสร็จแล้วล่ะค่ะ กำลังจะเริ่มปล่อยออกไปครั้งแรกแล้ว จากนั้นค่อยเอาออกทดลองฉายดูว่ามีอะไรต้องแก้ไขหรือเปล่า” ถังหนิงตอบ “การทดลองฉายครั้งนี้จะเน้นไปที่คนในกลุ่มเฉพาะ เช่นพวกนักวิจารณ์ภาพยนตร์และคอหนังไซไฟน่ะค่ะ”
“อ๋อ ถ้าคุณอยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกได้เลยนะ” อันจื่อเฮ่าตอบ
“ช่วงนี้ซิงเหยียนเป็นยังไงบ้างล่ะคะ”
พอพูดถึงยัยตัวแสบ อันจื่อเฮ่าก็ได้แต่ไหวไหล่ก่อนว่าขึ้นอย่างเอือมระอา “ผมวางแผนปูทางในต่างชาติไว้ให้เธอน่ะ แต่เธอก็ยืนกรานว่ายังไม่ค่อยมีดาราผู้หญิงสายบู๊ในจีน เธอเลยอยากพยายามในงานแสดงอยู่ แต่เธอกลับไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองเป็นเด็กสาวแล้วทำตัวแข็งกระด้างขนาดนั้นจะดูแย่แค่ไหน รวมถึงเรื่องที่เป็นน้องสาวของโม่ถิงด้วย!”
“คุณเองก็ดื้อด้านเกินกว่าจะยอมรับว่าเป็นห่วงว่าเธอจะบาดเจ็บนี่” ถังหนิงเอ่ย “คุณก็รู้ว่าซิงเหยียนพูดถูกใช่ไหมคะ ในจีนก็ขาดแคลนดาราผู้หญิงสายบู๊จริงๆ นั่นแหละ”
“เรามีการใช้เทคนิคพิเศษแล้วนะ…”
“แต่มันก็ยังต่างกับผลงานที่ได้จากคนจริงๆ มากนะ”
อันจื่อเฮ่าลูบคอตัวเองอย่างลำบากใจ
“จื่อเฮ่า ฉันไม่สนใจว่าคุณจะทำอะไรหรอกนะ แต่โม่ถิงยกซิงเหยียนให้คุณแล้ว คุณต้องทำให้เธอมีความสุขและปลอดภัยสิ”
“ผมเข้าใจน่า ตอนนี้คุณสวมบทพี่สะใภ้อยู่หรือยังไง”
พวกเขาคุยกันต่อราวกับว่าเรื่องวุ่นวายทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว ทว่าถังหนิงไม่รู้ว่าภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดกำลังปะทุขึ้นในสมาคมแฟนๆ ของเธอ
ในขณะที่พวกเขากำลังจะทดลองฉายภาพยนตร์ ถังหนิงตัดสินใจปล่อยภาพบางส่วนให้แฟนๆ ได้ชม นอกจากจะเป็นการปลอบใจพวกเขาหลังจากความไม่สบายใจที่ได้รับก่อนหน้านี้ ยังรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญหลายคนในหมู่แฟนๆ ที่สามารถให้ความเห็นกลับมาได้บ้าง
แน่นอนว่าต่อให้เธอไม่ได้เชิญชวนแฟนๆ ของเธอ เธอก็ยังบอกให้พวกเขารู้เรื่องนี้ในคืนก่อนวันปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์เปิดตัวเพื่อพวกเขาจะได้ช่วยเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จัก