ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 948 ท่านเหวิน

หลี่ว์ซู่ขนลุกด้วยความกลัวจนหนังศีรษะชายิบ โยนกิ่งไม้ที่แตกสลายในมือของเขาออกไป เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำลายกิ่งไม้ให้เป็นผุยผงโดยไม่ทำร้ายฝ่ามือของเขาได้อย่างไร  

 

 

ชายหนุ่มผู้สวมชุดพิธีการสีดำยืนตัวตรง และมีทีท่าผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าเขาจะผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี และด้วยรอยยิ้มนั้น ก็ทำให้การปรากฏตัวของเขาไม่ได้ดูแปลกแยกและกดดันให้ผู้คนตึงเครียด  

 

 

หลี่ว์ซู่ปัดเศษกิ่งไม้ออกจากฝ่ามือ แล้วแกล้งทำเป็นถามอย่างผ่อนคลายว่า “คุณเป็นใครหรือ?”  

 

 

“นี่ไม่รู้หรือว่าเราเป็นใคร เดาได้ไหม?” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ พร้อมล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อกว้างของเขา “เห็นเสื้อผ้าของเราหรือไม่? ไม่คิดว่าเสื้อผ้าชุดนี้ลึกลับหรือ? นอกจากนี้ เรายังเดินตามหลังนายโดยที่นายไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นฉันด้วยซ้ำ ดังนั้น…ลองเดาสิว่าเราเป็นใคร”  

 

 

หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเงียบๆ ชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “คุณนี่ขี้อวดจริงๆ ใช่ไหม?”   

 

 

ชายหนุ่มคนนั้นพูดไม่ออก “???”  

 

 

“ได้รับแต้มอารมณ์จากเหวินไจ้เฝ่ย +199!”   

 

 

แน่นอนว่า ความจริงแล้วหลี่ว์ซู่เดาไม่ผิด แท้จริงแล้วเขาคือ จอมทัพสวรรค์เหวินไจ้เฝ่ยซึ่งมาที่นี่ด้วยตนเอง  

 

 

เป็นเพียงว่า หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจว่าทำไมเหวินไจ้เฝ่ยจึงมาปรากฏตัวที่นี่? มาปรากฏตัวในภูเขาราชันหลี่ว์ทันทีที่ออกจากการฝ่าด่านฝึกฝน มันเหมาะสมกับตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างจอมทัพสวรรค์แล้วหรือ?  

 

 

ว่ากันตามตรงแล้ว หลี่ว์ซู่ต้องการเข้าไปในกระท่อมกระบี่อย่างเรียบง่ายและเมื่อเขาพบทางกลับบ้านก็จะจากไปอย่างเงียบๆ แต่แล้วทำไมเวลานี้เขายังได้เจอแม้กระทั่งจอมทัพสวรรค์…  

 

 

โชคดีที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอย่างนั้นออกไป ไม่อย่างนั้น จางเว่ยอวี่จะหักล้างมันทันที ไม่ว่าหลี่ว์ซู่จะทำตัวเรียบง่ายหรือไม่ เขาน่าจะรู้ดีที่สุด…  

 

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเหวินไจ้เฝ่ยจะไม่โกรธแต่อย่างใด เขายังคงยิ้มละไมแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้ว เราควรจะออกจากการปิดด่านในอีกสามเดือนหลังจากนี้ แต่เพราะกองทัพอู่เว่ยของนายจึงทำให้แผนเดิมของเราต้องวุ่นวาย แต่เราก็มีคำถามอยากจะถามนายว่า ทำไมกองทัพเฮยอวี่ถึงต้องถอยทัพเพราะกองทัพอู่เว่ย พวกนายมีผลงานมากมาย แล้วทำไมถึงยังอยากหนีไปเสียล่ะ?”  

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เหวินไจ้เฝ่ยก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นแล้วกล่าวว่า “หรือน่าจะถามว่า พวกนายจะหนีไปที่ไหนได้หรือ? แล้วก็ขอแนะนำตัวเองว่า เราคือ จอมทัพสวรรค์อุดร เหวินไจ้เฝ่ย แต่อันที่จริงแล้ว เราชอบชื่ออื่นมากกว่า”  

 

 

หลังจากนั้นเหวินไจ้เฝ่ยก็หันไปมองจางเว่ยอวี่แล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม?”  

 

 

จางเว่ยอวี่กล่าวตอบเป็นทางการอย่างเคร่งขรึม “สบายดี ท่านเหวิน?”   

 

 

หลี่ว์ซู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ท่านเหวินหรือ? เรียกจอมทัพสวรรค์ว่า ‘ท่านเหวิน’ ไม่แปลกไปหน่อยหรือ  

 

 

เหวินไจ้เฝ่ยเห็นท่าทางงงงวยของหลี่ว์ซู่แล้วก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “นายไม่รู้ตัวตนของพวกเขาหรือ? หรือพอเดาได้ แต่ไม่กล้าพูดออกมา? ทำไมล่ะ? ยังมีอะไรที่นายไม่กล้าพูดอีก? ดูเหมือนว่านายก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดนี่ เพราะนายก็ยังร่วมมือกับบ่อนพนันในเมืองหลวงและทำกำไรได้ตั้งมาก”  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ แต่เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา…  

 

 

และในเวลานี้ จางเว่ยอวี่ก็กล่าวว่า “ท่านเหวินเป็นอาจารย์ผู้ฝึกของทหารมังกรจักรพรรดิ ดังนั้นพวกเราจึงเรียกเขาว่า ท่านเหวิน ด้วยความเคารพ”  

 

 

หลี่ว์ซู่แทบหายใจไม่ออก เขาเดาตัวตนของจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ในใจได้แล้ว หลิวอี้เจาไม่ได้ปิดบังอะไร เขาเพียงแค่จงใจไม่พูดถึงมันเท่านั้น  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ไม่คาดคิดว่าเหวินไจ้เฝ่ยจะเป็นอาจารย์ผู้ฝึกของทหารมังกรจักรพรรดิในตอนนั้น บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดกับราชันแห่งทวยเทพ ไม่เช่นนั้นเขาจะเป็นจอมทัพแห่งสวรรค์ได้อย่างไรกัน?  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ชั่วขณะนั้น จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็สงสัยขึ้นมาในทันใดว่า ทำไมราชันองค์เก่าจึงจัดวางให้ยอดฝีมืออย่างจางเว่ยอวี่และหลิวอี้เจาทั้งหมดอยู่ในดินแดนทางเหนือ?  

 

 

ตอนนี้สิ่งที่กวนใจหลี่ว์ซู่มากที่สุดก็คือ เพราะจางเว่ยอวี่มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขา ทำให้เหวินไจ้เฝ่ยจะเข้าใจผิดอะไรไปหรือไม่?   

 

 

แต่เขาก็ได้ยินเหวินไจ้เฝ่ยพูดกับจางเว่ยอวี่อย่างสนุกสนานว่า “ในที่สุดเจ้าเด็กเหลือขอบางคนก็ยินดีที่จะออกจากเมืองเถียนเกิ่งแล้ว ตอนแรกเราขอให้พวกนายออกจาก เมืองเถียนเกิ่งไปช่วยเรา แต่พวกนายก็บอกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะไม่ยอมจากไป แล้วเกิดเรื่องบ้าอะไรล่ะ ทำไมพวกนายถึงเปลี่ยนความคิดได้?”  

 

 

จางเว่ยอวี่ขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่าท่านทิ้งกองทัพเฮยอวี่ไว้ข้างหลังเพราะต้องการบีบให้พวกเราออกจากเมือง”  

 

 

เหวินไจ้เฝ่ยเลิกคิ้วขี้นแล้วกล่าวพลางหัวเราะ “ฮ่าฮ่า เราจะทำเรื่องไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?”  

 

 

ในเวลานั้น หลี่ว์ซู่มีลางสังหรณ์แรงมาก มีแนวโน้มว่าจางเว่ยอวี่อาจเดาได้ถูกต้อง! หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาระบุไม่ได้แน่ชัด  

 

 

เหวินไจ้เฝ่ยสะบัดชุดพิธีการสีดำของเขาและพูดกับจางเว่ยอวี่ว่า “เรามีทหารเพียงพอที่จะให้นายฝึกฝน แต่พวกนายยืนยันที่จะใช้กำลังของพวกนายเพื่อฝึกฝนกองทัพอู่เว่ย สำหรับกลุ่มโจรที่ได้รับการฝึกฝนตามมาตรฐานอย่างนี้นับว่าไม่เลวเลย”   

 

 

จางเว่ยอวี่กล่าวอย่างสงบว่า “ท่านเหวินเยี่ยมยอดในเรื่องการฝึกทหารอยู่แล้ว แล้วเหตุใดถึงจะให้พวกเราไปฝึกฝนพวกเขาเล่า ในเมื่อท่านก็ฝึกฝนด้วยตัวเองได้?”  

 

 

ดวงตาของเหวินไจ้เฝ่ยเบิกกว้างขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “เราเป็นจอมทัพสวรรค์แล้ว! นายยังอยากให้เราไปฝึกทหารอีกหรือ? เราทำไม่ได้แล้ว มันตะขิดตะขวงใจเกินไป!”  

 

 

จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก “…”  

 

 

“เจ้าหนุ่มคนนี้…” เหวินไจ้เฝ่ยมองดูหลี่ว์ซู่อย่างระมัดระวัง “เขาคือ… ?”  

 

 

“ไม่ใช่” จางเว่ยอวี่ส่ายศีรษะและประสานตากับเหวินไจ้เฝ่ย  

 

 

“เราก็ไม่คิดว่าเป็นเขาเหมือนกัน คนผู้นั้นย่อมมีอำนาจบารมีเหนือกว่า และเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่พวกนายทั้งคู่ได้พบกัน” เหวินไจ้เฝ่ยพยักหน้าพลางกล่าว  

 

 

จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่า แม้เหวินไจ้เฝ่ยจะเข้าปิดด่านฝึกฝน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกมากมาย และยิ่งกว่านั้น… ทำไมจอมทัพสวรรค์ถึงเย่อหยิ่งอวดดีนัก! นั่นคือสิ่งที่ชนชั้นสูงอย่างจอมทัพสวรรค์ควรทำอย่างนั้นหรือ?  

 

 

ว่ากันตามตรง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าจอมทัพสวรรค์ควรจะเป็นจอมวางแผนอย่างร้ายกาจ และมองการณ์ไกลอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงจุดนี้…เขาต้องคิดใหม่อีกครั้ง…  

 

 

เหวินไจ้เฝ่ยเหลือบมองหลี่ว์ซู่ราวกับเดาได้ทันทีว่าหลี่ว์ซู่กำลังคิดอะไรอยู่ และทันใดนั้นก็กล่าวออกมาว่า “บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อไขว่คว้าให้ได้ตำแหน่งนี้มา แน่นอนว่าพวกเขาคุ้นเคยกับการวางแผนทุกอย่าง แต่เรานั้นแตกต่าง เราใช้ทักษะที่แท้จริงของเราเพื่อมาถึงจุดนี้ นายรู้หรือไม่ว่าทักษะที่แท้จริงคืออะไร มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องไปต่อรองใดๆ กับคนอื่น”  

 

 

หลี่ว์ซู่พูดไม่ออกเป็นเวลานาน มันเหมาะดีแล้วจริงๆ ใช่ไหมที่คนอย่างเหวินไจ้เฝ่ยได้เป็นจอมทัพสวรรค์?  

 

 

หลี่ว์ซู่มองดูท่าทางนี้แล้วหัวเราะ เขาตัดสินใจที่จะไม่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นี้ “งั้นก็ลืมไปเถอะ ผมจะไม่หนี แต่ทำไมท่านจอมทัพสวรรค์จึงตามเรามาที่ภูเขาด้านนี้? เพื่อมาให้รางวัลพวกเราหรือ?”  

 

 

“ถูกต้อง” เหวินไจ้เฝ่ยพยักหน้า “มอบช่องเขาเว่ยเป่ย ช่องเขาหลีหยาง เมืองก่วงเหลียว เมืองหนานเกิง และเมืองอวิ๋นอานให้พวกนาย เป็นยังไงล่ะ?”  

 

 

หลี่ว์ซู่กล่าวตอบ “ไม่ต้อง ขอบคุณ”   

 

 

ปกป้องเมืองหน้าด่านห้าเมืองได้ด้วยคนเพียงห้าพันคนนะ? หลี่ว์ซู่ไม่ได้โง่พอที่จะทำเช่นนั้น  

 

 

กองทัพอู่เว่ยเองนั้นรวมพลกันด้วยความสามัคคีและมีความแข็งแกร่งมาก หากพวกเขาแยกจากกัน พวกเขาจะไม่ทรงพลังเท่านี้  

 

 

ในขณะนี้ มีคนสิบสองคนที่บินมาจากบนท้องฟ้าทางทิศเหนือ และหลี่ว์ซู่ก็เห็นว่าสีหน้าของเหวินไจ้เฝ่ยเย็นชาขึ้นอย่างกะทันหัน และน้ำเสียงและความเย่อหยิ่งทั้งหมดของเขาก็จริงจังชัดเจนขึ้นในทันที  

 

 

เขาเห็นคนทั้งสิบสองคนต่างคุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าเหวินไจ้เฝ่ยแล้วกล่าวว่า “ยินดีกับท่านจอมทัพด้วยที่ฝึกฝนสำเร็จออกจากการปิดด่านแล้ว”  

 

 

“หากเราไม่ออกจากการปิดด่านมา เราจะต้องเสียเมืองไปทั้งสิบเมืองจริงๆ หรือไม่?” เหวินไจ้เฝ่ยถามอย่างสงบ  

 

 

หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “บัดนี้พวกเราได้ยึดเมืองหน้าด่านส่วนใหญ่คืนมาได้แล้ว ขอท่านจอมทัพสวรรค์ได้โปรดให้โอกาสพวกเราอีกสักครั้งขอรับ”  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset