ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 947 หนีไปก่อนดีหรือไม่?

 

 

 

หลี่ว์ซู่มองดูวิธีที่ทหารของกองทัพอู่เว่ยเรียนรู้วิธีการอ่านด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยแล้วถามจางเว่ยอวี่ว่า “พวกขุนนางใหญ่เหล่านี้ถูกปล้นชิงมากจนอดทนไม่ไหวอีก พวกเราทำเรื่องที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจมากมาย แต่พวกเขาก็ยังไม่มาโจมตีภูเขาราชันหลี่ว์อีกหรือ?”  

 

 

แม้จะค่อนข้างเครียดหากมีทหารนับหมื่นจากกองทัพขุนนางเข้ามาในภูเขา แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกค่อนข้างหงอยเหงาเพราะไม่มีรายได้…  

 

 

ตั้งแต่ยังเยาว์ หลี่ว์ซู่ก็เข้าใจความจริงว่าเขาต้องไม่นั่งเฉยโดยไม่ทำอะไรเลย…  

 

 

จางเว่ยอวี่ก็ค่อนข้างสับสนเช่นกัน “นี่มันไม่มีเหตุผล เมื่อหลิวอี้เจากลับมา เขายังคงกล่าวว่ากองทัพขุนนางอยู่ในช่องเขาเว่ยเป่ย ในช่วงสองวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่กังวลและยังไม่รีบเร่งที่จะกู้คืนเมืองหน้าด่านที่สูญเสียไปทั้งสามแห่ง หรือเป็นไปได้ไหมว่าจอมทัพสวรรค์ฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้ว?”  

 

 

จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็พูดขึ้นว่า “หากจอมทัพสวรรค์ฝึกฝนเสร็จแล้ว พวกเขาจะไม่รีบกู้คืนเมืองหน้าด่านทันทีหรือ? ฉันคิดว่ามันไม่จะน่าเป็นไปได้ ฉันเลยเดาว่า… พวกเขาจะกลัวฉันหรือเปล่า?”  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างๆ เขาพยักหน้าทันที “สำหรับเรื่องอย่างนี้ หากพวกเขากำลังต่อสู้กับกองทัพอู่เว่ย ถ้าหากพวกเขาโชคดี พวกเขาก็แค่ต้องเปลี่ยนทหารหลายนาย แต่หากโชคร้ายก็ต้องเปลี่ยนเป็นขุนนาง”  

 

 

หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อย่างชื่นชมแล้วกล่าวว่า “หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เธอสรุปได้ดีมาก!”  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มและกล่าวว่า “ก็แน่ล่ะสิ!”   

 

 

จางเว่ยอวี่มองดูทั้งสองพูดคุยกันอย่างไร้ความรู้สึก และไม่อยากวิเคราะห์อะไรเพิ่มเติมอีก…  

 

 

“ได้รับแต้มอารมณ์จากจางเว่ยอวี่ +199!”   

 

 

อันที่จริง กองทัพขุนนางต่างกลัวตัวตนของหลี่ว์ซู่ ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นเพียงอัจฉริยะเยาว์วัยที่ไร้พื้นฐานและพรสวรรค์ จริงๆ แล้วในจักรวาลหลี่ว์มีอัจฉริยะที่ไม่มีพรสวรรค์มากพอจนเสียชีวิตไปในท้ายที่สุดหรือไม่?   

 

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ก็มีข่าวมาจากเมืองหลวงว่า ตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงยอมรับว่า หลี่ว์ซู่เป็นสมาชิกของตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียง คำพูดของตระกูลหลี่ว์นั้นคลุมเครือมาก พวกเขาไม่ได้บอกว่าหลี่ว์ซู่เป็นญาติตระกูลสาขาหรือทายาทสายตรง ทำให้ทุกคนสับสน  

 

 

ทุกๆ สองสามทศวรรษ ตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงจะผลิตอัจฉริยะชั้นเยี่ยม แต่นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก  

 

 

ทุกคนล้วนรู้ดีว่าตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงนั้นสมถะและเรียบง่ายมาก และพวกเขาไม่ได้ทำการค้ากับใครนอกเมืองหลวงมากนัก แม้กิจการเหล่านั้นจะมีความสำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องหลักเช่นกัน  

 

 

คนรุ่นก่อนมักไม่ค่อยพูดเอ่ยถึง และในขณะเดียวกัน คนรุ่นหลังๆ มาก็ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลหลี่ว์ถึงทรงอำนาจมาก พวกเขารู้แค่ว่า นี่เป็นตระกูลมั่งคั่งที่พวกเขาไม่สามารถล่วงเกินได้  

 

 

ในเวลานี้ก็มีคนหนุ่มสาวหลายคนในเมืองหลวงไม่พอใจ “พวกเราทำได้แค่ต้องปล่อยให้เขาทำร้ายโดยไม่โต้กลับเหรอ? กองทัพขุนนางทางเหนือขี้ขลาดอย่างนั้นเลยเหรอ?”  

 

 

เหล่าอัจฉริยะในเมืองหลวงทนรับความอัปยศเช่นนี้ไม่ได้!   

 

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่ในตระกูลก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “กองทัพทั้งสี่ดินแดนล้วนไม่กล้ายั่วยุตระกูลหลี่ว์ แต่ในเมืองหลวงนี้ไม่สนใจ พวกแกเลือกตัดสินใจได้เองว่าจะทำอย่างไรตามแต่สถานการณ์”   

 

 

เหล่าอัจฉริยะล้วนเริงร่าที่เห็นว่าผู้ใหญ่ในตระกูลมีความเห็นเช่นนี้ นี่ย่อมหมายความว่า แม้ว่าตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงจะทรงพลังอำนาจ แต่ด้วยสถานะของพวกเขาในเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่ต้องไปกลัวเกรง!  

 

 

ดังนั้นเมื่อตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงกล่าวออกมา ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะพบกับคำอธิบายเกี่ยวกับการเจริญรุ่งเรืองขึ้นของกองทัพอู่เว่ย แต่คนหนุ่มสาวในเมืองหลวงก็ยังคงขุ่นเคืองใจ และบางคนก็เริ่มแอบวางแผนเดินทางไปยังดินแดนทางเหนืออย่างลับๆ  

 

 

และคนที่แอบวางแผนจะลักลอบเข้าไปยังดินแดนทางเหนือต่างก็เป็นพวกที่สูญเสียเงินครั้งใหญ่ในบ่อนพนัน พวกเขาล้วนไม่มีอะไรทำและค่อนข้างมีความสามารถ โดยปกติแล้วพวกเขาก็จะเป็นพวกดื้อด้านที่ถูกตามใจจนเสียคนในเมืองหลวง หลังจากที่ถูกหลอกแบบนี้ก็ทนความอัปยศอดสูเช่นนี้ไม่ได้  

 

 

กลุ่มอัจฉริยะสิบสองคนในเมืองหลวงพูดคุยและวางแผนกันถึงเรื่องนี้แล้ว และเมื่อถึงวันหยุดเรียน พวกเขาก็จะบอกกับบิดามารดาก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงไป  

 

 

แล้วจู่ๆ ก็มีคนพูดว่า “มีหลักสูตรที่เรียกว่า ‘การเดินทางพันลี้’ ในช่วงปิดเทอมนี้จะเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะได้ไปดินแดนทางเหนือ!”  

 

 

“นั่นสินะ!” อัจฉริยะคนหนึ่งยกเท้าวางลงบนเก้าอี้พร้อมกับแค่นเสียงเยาะเย้ย “ให้​เราได้​แสดง​ให้​เห็น​ว่า​เขา​จะ​ต้อง​ทนรับ​กับ​ผล​ที่​ร้ายแรงที่ตามมา​อย่าง​ไร​จาก​การ​วางแผน​แบบนี้​ ฉัน หลินอี้ จากบ้านหยกแดงคนนี้ ฉันสัญญาว่าฉันจะไปหานายในเดือนนี้ ตอนนี้ฉันไม่มีเงินเลย…”   

 

 

นี่จึงเป็นผลให้พวกเขาตั้งใจวางแผนที่จะไปดินแดนทางเหนือในอีกสองเดือนต่อมา  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่รู้เรื่องนี้ และหากเขารู้ เขาก็จะยินดีที่จะให้พวกเขาให้รีบมาโดยเร็ว และเขาจะช่วยให้อัจฉริยะเหล่านี้หายโกรธ… เขาไม่กังวลกับความจริงที่ว่าตอนนี้จะทำเงินได้ในหรือไม่?  

 

 

ขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังรู้สึกไม่สบายใจ หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ก็รู้สึกกังวลเช่นกัน เมื่อกลับไปที่ภูเขา พวกเขาต้องเรียนรู้การอ่านเขียน รวมถึงทำการบ้าน  

 

 

ว่ากันตามตรง สำหรับหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ แล้ว พวกเขาล้วนรู้สึกดีกว่าเมื่อได้ต่อสู้ร่วมกับผู้บัญชาการของพวกเขา…  

 

 

เดิมทีหลี่เฮยทั่นเป็นโจร และกองทัพอู่เว่ยเก่าก็เป็นทัพที่แตกสลาย ไม่ได้ดีไปกว่าเขามากนัก แม้ว่ากองทัพชิงไส้จะเป็นกองทัพที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็แพ้การต่อสู้หลายครั้ง  

 

 

ดังนั้นประสบการณ์ชีวิตในอดีตของพวกเขาจึงไม่ได้ตื่นเต้นเต็มไปด้วยความเบิกบานเท่าช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้  

 

 

ตั้งแต่เผชิญหน้ากับกองทัพเฮยอวี่ กองทัพอู่เว่ยไม่เคยพ่ายแพ้ และยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเอาชนะศัตรูจนแตกพ่ายได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในภูเขาขณะเดินผ่านถ้ำ และทหารทั้งหมดของกองทัพอู่เว่ยล้วนแต่รู้สึกตื่นเต้นเริงร่าอย่างมากที่ได้ต่อสู้ นี่คือความสุขของการต่อสู้ จนพวกเขาอุทานออกมาว่า ‘มันช่างยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้!’  

 

 

ทุกคนล้วนสนิทสนมกันเหมือนเป็นครอบครัว พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายร่วมรบร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขและผ่านศึกหนักหนาสาหัสมาด้วยกัน  

 

 

เวลานี้ ถึงแม้จะมีใครได้รับอนุญาตให้จากไป แต่พวกเขาก็จะไม่จากไป  

 

 

และหลี่ว์ซู่ก็คู่ควรที่จะเป็นผู้นำที่แท้จริงของกองทัพอู่เว่ย  

 

 

อย่างไรก็ตาม ผู้นำคนนี้ต้องการทรมานพวกเขาด้วยการบ้าน หลี่เฮยทั่นทรมานกับมันมากจนอยากแนะนำองค์ราชาให้ปล่อยทุกคนออกโจมตีและเอาชนะช่องเขาเว่ยเป่ย เพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว  

 

 

พวกเขาเต็มใจจะทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่จะทำให้พวกเขาไม่ต้องทำการบ้าน…  

 

 

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ จู่ๆ กองทัพขุนนางก็บุกโจมตีช่องเขาเว่ยเป่ย แต่พวกเขาไม่ได้มุ่งไปที่ภูเขาราชันหลี่ว์ แต่ไปที่เมืองอวิ๋นอาน เมืองก่วงเหลียว และเมืองหนานเกิงอย่างเร่งรีบไปตลอดทาง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรีบแข่งกับเวลาโดยไม่หยุด  

 

 

แต่เมื่อหน่วยสอดแนม หลิวอี้เจา ส่งข่าวกลับไปยังกองทัพ จางเว่ยอวี่ก็กล่าวยืนยันอย่างมั่นใจว่า “จอมทัพสวรรค์ฝึกฝนเสร็จสิ้นและออกมาแล้ว!”  

 

 

หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เหวินไจ้เฝ่ยเป็นคนอย่างไร? หากเขาอยากจะลงโทษกองทัพอู่เว่ยจริงๆ เกรงว่าพวกเราคงต้องหนีก่อน ไม่อย่างนั้น พวกเรามุ่งหน้าไปที่ดินแดนตะวันตกกันดีไหม?”  

 

 

จางเว่ยอวี่จ้องหลี่ว์ซู่ด้วยความงุนงง “นายไปก่อกวนให้กองทัพเฮยอวี่ในดินแดนตะวันตกโมโหแล้วและยังคิดจะมุ่งหน้าไปที่นั่นอีกหรือ? อย่าแม้แต่จะคิดเลย หากทหารของพวกเราทรยศ คนของจอมทัพสวรรค์จะต้องกวาดล้างกองทัพอู่เว่ยอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องชนะหรือแพ้ แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงของพวกเขา!”  

 

 

“ผมก็แค่พูดเฉยๆ” หลี่ว์ซู่คิดในใจ โชคดีที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น…   

 

 

“ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับจอมทัพสวรรค์เหวินไจ้เฝ่ย” จางเว่ยอวี่กล่าวออกมาทันที “ฉันยังมีความประทับใจที่ดีในตัวเขา ในบรรดาจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ เขาเป็นคนเดียวที่มุ่งมั่นฝึกฝนอย่างทุ่มเท และเขาไม่ใส่ใจพลังอำนาจและผลประโยชน์มากเกินไป ซึ่งหากเขาเป็นคนที่สนใจเรื่องการเมืองมากเป็นพิเศษ เย่เสี่ยวหมิงก็คงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการไม่ได้นานเช่นนี้ จอมทัพสวรรค์คงได้เห็นอุบายของเขาแล้ว เพียงแต่ไม่คิดจะสนใจเจ้ามดตัวนี้ให้รกสมองเท่านั้น”  

 

 

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรหนีไปก่อนดีหรือไม่?” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย  

 

 

ในขณะนั้น ก็มีเสียงเจือหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างหลังหลี่ว์ซู่ “นายจะหนีไปไหนล่ะ? ไม่ใช่ว่านายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่หรอกหรือ? แล้วทำไมถึงจะต้องหนีล่ะ?”  

 

 

หลี่ว์ซู่ตกใจมากและโจมตีคนที่อยู่ข้างหลังเขาด้วยกิ่งไม้ที่ถูกตัดออกมาตามสัญชาตญาณทันที แต่ก่อนที่กิ่งไม้ของเขาจะกระทบกับคนผู้นั้น คนผู้นั้นก็ชี้นิ้วไปที่กิ่งไม้ และกิ่งก้านต้นไม้ก็แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา  

 

 

ทางด้านหลัง หลี่ว์ซู่เห็นชายหนุ่มรูปงามในชุดพิธีการสีดำ เสื้อผ้าของเขาถูกประดับประดาไปด้วยลวดลายล้ำค่าสิบสองลาย มีลายมังกร ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ภูเขา ไก่ฟ้า จอกบูชา กอสาหร่าย ไฟ เมล็ดข้าว ขวาน และคันธนูสองคัน!  

 

 

ทันใดนั้น หัวใจของหลี่ว์ซู่ก็เย็นเยียบขึ้นมาฉับพลัน เขาเดาได้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใครกัน!  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset