“เขาหล่อจริงๆ” หญิงสาวอีกคนหนึ่งกล่าวกับโม่เสี่ยวหยา เธอรู้สึกลืมไม่ลงเมื่อนึกถึงรูปร่างหน้าตาของหลี่ว์ซู่ “แต่อย่าได้คิดพัฒนาความรู้สึกกับเขานะ คนธรรมดาต่างชื่นชมเรื่องราวความรักของหญิงสาวผู้มั่งคั่งและชายหนุ่มที่ยากจน แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องโง่เง่ามากทีเดียว ในเมืองหลวงก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย เธอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วหรือยังล่ะ?
บัณฑิตที่ศึกษาโคลงกวีขององค์ราชาได้เพียงสองหรือสามวันก็เริ่มล่อลวงหญิงสาวจากตระกูลหลิน แล้วเกิดอะไรขึ้นในตอนจบ?
บัณฑิตคนนั้นจมน้ำตายในแม่น้ำหลงอิ๋น และหญิงสาวคนนั้นก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับขุนนางทางตะวันออก ขุนนางผู้นั้นแก่มากแล้ว และภรรยาของเขาก็ตายไปหลายคนแล้วด้วย!”
“เธอกำลังพูดเรื่องเหลวไหลอะไรเนี่ย?”
โม่เสี่ยวหยากลอกตา “ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้น หล่อก็ว่าหล่อสิ เกี่ยวอะไรกับภูมิหลังตระกูลของเราล่ะ?”
อันที่จริงแล้วโม่เสี่ยวหยาไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนัก แนวความคิดเกี่ยวกับชั้นเรียนในประวัติศาสตร์ของจักรวาลหลี่ว์นั้นเป็นเหมือนเลือดที่ไหลผ่านร่างกายของพวกเขา มันได้ลงลึกไปถึงกระดูกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาแล้ว
นอกจากนี้ พวกเธอและหลี่ว์ซู่ยังถูกลิขิตให้เป็นคนที่มาจากสองโลกที่แตกต่างกันซึ่งจะไม่มีวันได้มาปฏิสัมพันธ์กันอีกต่อไปหลังจากที่การเดินทางครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว แม้ซุนจ้งหยางจะกล่าวว่าพวกเธอไม่ควรไปบังคับผู้อื่นให้รักษาศีลธรรมหรือหยุดการกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมด้วยความคิดเห็นของตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อโม่เสี่ยวหยาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงว่าชายหนุ่มคนนี้ทรยศคนอื่นเพียงเพื่อเงิน
นี่เป็นเรื่องทางศีลธรรมซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าอีกฝ่ายจะดูดีหรือไม่
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้าไปในรถม้าและกระซิบพูดคุยกัน หลี่ว์ซู่กล่าวว่า “ตอนนี้อย่างน้อยๆ ต้องนิ่งเอาไว้ก่อน หากปล่อยให้พวกเขาไปเมืองหนานเกิง พวกเขาก็อาจทำลายธุรกิจของเราจนพัง หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นไม่สามารถเอาชนะพวกลูกหลานชนชั้นสูงกลุ่มนี้ได้”
“อันที่จริง เราอาจจะชนะก็ได้นะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กล่าวอย่างสงบ “พวกเขาเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งสี่คนก็จริง แต่ไม่ว่าจะต่อสู้ร่วมกันอย่างไร พวกเขาก็ยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มากเท่ากับพวกเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อาจจะลอบโจมตีในขณะที่พวกเขาไม่ทันระวังตัว ส่วนที่เหลือย่อมจะพอรับมือได้ง่ายขึ้น และแน่นอนว่า ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถคุกคามอะไรได้มาก เพราะพวกเขาก็ยังเป็นเพียงนักศึกษาและดูเหมือนว่าจะไม่มีจิตใจชั่วร้าย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ฉลาดเท่าไหร่จึงโดนนายหลอกเอาได้ง่ายๆ”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึง ปรากฏว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้คิดหาวิธีจัดการกับคนเหล่านี้ไว้แล้ว แต่เขาก็ยังคิดเกี่ยวกับมัน แม้ว่าพวกเขาจะมีเจตนาร้าย และหลี่ว์ซู่จะต้องลำบากหากตกไปอยู่ในมือของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากหากต้องสังหารพวกเขาแบบนั้น
“พวกเราฆ่าพวกเขาไม่ได้ พวกเรากำลังจะไปที่เมืองหลวง หากฆ่าพวกเขา พวกเราก็ต้องจัดการตระกูลของพวกเขาเหล่านี้ต่อไปด้วย” หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดในสิ่งที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดและรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง “ทักษะการหลอกลวงผู้คนของฉันดีมากทีเดียวนะ พูดจริงเก้าส่วนพูดเท็จหนึ่งส่วน ใครฟังก็ต้องบอกว่าช่างน่าเชื่อถืออะไรอย่างนี้!”
“แล้วยังไงล่ะ?” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามอย่างเย็นชา?”
“”ฉันหลอกคนโดยใช้ความสามารถของฉัน แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกว่าพวกเขาไม่ฉลาดล่ะ?” หลี่ว์ซู่กล่าวถาม
“เหอะๆ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หัวเราะเสียงเย็น
“ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเราจะได้รับรางวัลใดๆ หรือไม่ หากพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเราในเมืองหลวง…” หลี่ว์ซู่กล่าวพลางถอนหายใจด้วยความหนักใจ “ทำไมศัตรูยอดฝีมือระดับหนึ่งเหล่านี้ถึงปรากฏตัวออกมา? แล้วในเมืองหลวงจะยิ่งเลวร้ายขนาดไหนกันนี่?”
หลี่ว์ซู่คาดเดาเหตุการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น เขาคิดว่ากลุ่มนักพนันนับไม่ถ้วนจะรายล้อมเขาเพื่อแก้แค้นและเรียกร้องค่าชดเชย และนอกจากนี้ พวกเขาทั้งหมดยังเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งที่สามารถเหินบินได้…
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดถึงมันแล้ว หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าไม่ควรคิดเกินจริงเช่นนั้น เพราะจางเว่ยอวี่ได้กล่าวถึงจำนวนรวมของยอดฝีมือระดับหนึ่งในจักรวาลหลี่ว์ ดังนั้นลูกหลานชนชั้นสูงเหล่านี้ก็น่าจะเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นในบรรดารุ่นเยาว์ของเมืองหลวง
“เราต้องใช้เวลาฝึกฝนให้เกิดประโยชน์ต่อไป” หลี่ว์ซู่กล่าว “และเมื่อถึงเวลา พวกเราก็จะมีพลังพอที่จะขอรางวัลจากพวกเขา”
หลี่ว์ซู่เริ่มฝึกฝนและเสริมสร้างพลังกระบี่ของเขาทันทีขณะที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลอกตา คนอื่นอาจจะคิดว่าหลี่ว์ซู่พูดเล่น เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังต้องการรางวัลหลังจากการที่หลอกคนอื่นได้ เป็นไปได้ไหมล่ะ?
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นรู้ดีว่าหลี่ว์ซู่ยังอยากที่จะได้รางวัลของเขาจริงๆ
ถึงแม้คนเหล่านี้จะเข้าร่วมเดินทางกับกองคาราวานการค้าแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับใครเลย หัวหน้ากองคาราวานมักจะเตรียมของเล็กๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาระหว่างมื้ออาหาร และยามเมื่อไม่มีอะไรทำ พวกเขาก็จะร่วมวงสนทนากันโดยไม่สนใจคนอื่นๆ รอบข้าง และบางครั้งพวกเขาก็ใช้เวลาฝึกฝนเช่นกัน
ชั้นเรียนในจักรวาลหลี่ว์ดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติซึ่งกลุ่มต่างๆ จะไม่รวมเข้าด้วยกันกับกลุ่มอื่น
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจอย่างไม่สบายใจ แม้เขาจะรู้สึกว่า อัจฉริยะเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาด้วย แต่พวกเขาก็ยังคงฝึกฝนอย่างหนักมาก และจะเป็นการดีที่สุดที่ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เขากังวลว่าพวกเขาจะมาพูดคุยกับเขาระหว่างการเดินทางและอาจส่งผลต่อเรื่องตัวตนของเขา เพราะหากเขายิ่งพูดมาก ก็มีโอกาสที่จะเผยความลับของเขามากขึ้น
แต่บางครั้งหลี่ว์ซู่ก็ฟังการสนทนาของบรรดาเด็กสูงศักดิ์เหล่านี้อย่างเงียบๆ ซึ่งได้ช่วยให้เขาเข้าใจโลกนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ซุนจ้งหยางกล่าวว่า จริงๆ แล้ว ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยนั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง…
และตัวอย่างเช่น โม่เสี่ยวหยากล่าวว่าชายหนุ่มในรถม้าที่อยู่ทางด้านหลังนั้นช่างหล่อเหลามากจริงๆ
หลี่ว์ซู่คิดว่าพวกเขาพูดถูก
และแน่นอนว่ายังมีข้อมูลที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีก ตัวอย่างเช่น เมื่อสามเดือนก่อน มีผู้เข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่มาถึงเมืองหลวงด้วยหวังว่าจะได้เตรียมการล่วงหน้าได้ก่อน
พวกเขาเป็นทหารชั้นยอดที่มีภูมิหลังจากตระกูลธรรมดา และเนื่องจากพวกเขาไม่มีภูมิหลังตระกูลที่ดี พวกเขาจึงทำได้เพียงต้องฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีลูกหลานของขุนนางบางคนในเมืองหลวงที่วางแผนจะกลับมาโดยผ่านการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ พวกเขาเหล่านี้มีโอกาสเข้าร่วมกองทัพและฝึกฝนที่นั่นเพื่อที่จะได้รับการเสนอชื่อจากกองทัพในการเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่
ขณะที่ฟังไปเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่ก็มีความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับการคัดเลือกครั้งนี้ มีจำนวนผู้เข้าร่วมคัดเลือกทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคน และจำนวนยอดฝีมือระดับหนึ่งราวเจ็ดหรือแปดคน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้เยี่ยมยอดที่สุดในแต่ละกองทัพ
ดังนั้นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่ก็น่าจะมีเพียงราวเจ็ดหรือแปดคนเท่านั้นจึงทำให้ หลี่ว์ซู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะคนเจ็ดถึงแปดคนในคราวเดียวได้หรือไม่หลังจากที่ก้าวขึ้นสู่ยอดฝีมือระดับหนึ่ง…
คนอื่นคิดหาวิธีว่าจะกำจัดผู้คนให้มากขึ้นได้อย่างไร แต่หลี่ว์ซู่คิดยิ่งกว่านั้น ความไม่แน่นอนของการทดสอบรอบที่สองทำให้เขานึกถึงวิธีที่จะกำจัดผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ทั้งหมด…
ชั่วขณะนั้นซุนจ้งหยางเหลือบมองไปยังรถม้าที่หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ และมีท่าทีสงสัย “พี่น้องคู่นี้ค่อนข้างแปลก รู้ไหมว่านอกจากเวลาอาหารแล้ว ก็แทบจะไม่มีใครได้เห็นชายหนุ่มคนนั้นเลย? เขากำลังฝึกฝนกันอยู่เหรอ?”
“ฝึกฝนหรือ?” มีบางคนหัวเราะพลางกล่าวออกมาว่า “แล้วยังไงล่ะ? อาจจะไม่มีวิธีการฝึกฝนในทั่วทั้งเมืองหนานเกิงที่จะทำให้สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งได้ซึ่งต่อให้พวกเขาฝึกฝนอย่างหนัก ก็ยังจะไร้ประโยชน์”
ซุนจ้งหยางยิ้มและส่ายศีรษะ เขารู้สึกว่าเขาคิดมากเกินไป กล่าวกันตามตรงแล้ว ก่อนการฝึกฝน ทุกคนจะรู้สึกว่าพวกเขาสามารถรักษาความสันโดษและฝึกฝนได้เป็นอย่างดี แต่ความมุ่งมั่นนี้กลับลดน้อยถอยลงหลังจากที่พวกเขาได้ประสบกับความน่าเบื่อของการฝึกฝนมา…
โดยทั่วไปแล้วกองคาราวานการค้าจะหยุดหลายครั้งในระหว่างทาง เพราะเดิมทีพวกเขาจะต้องหยุดและอยู่พักในแต่ละเมืองเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวันเพื่อแลกเปลี่ยนสิ้นค้าอาหาร แต่เมื่อซุนจ้งหยางและพรรคพวกของเขาเดินทางมาด้วย หัวหน้ากองคาราวานจึงมุ่งหน้าตรงไปทางเหนือด้วยความเร็วเต็มที่ พวกเขาหยุดเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะไปถึงเมืองซีตู
ไม่ใช่ว่าหัวหน้ากองคาราวานจะต้องการขายสินค้า แต่ซุนจ้งหยางและคนอื่นๆ ต้องการไปที่เมืองซีตู พวกเขาได้ยินมาว่ามีตลาดค้าทาสอยู่ที่นี่ และทาสที่ดีที่สุดในดินแดนทางเหนือทั้งหมดจะถูกส่งมาขายที่นี่ ซุนจ้งหยางและพรรคพวกคนอื่นๆ ของเขาจึงสนใจ และที่เมืองแห่งนี้ก็มีการแข่งขันทาส