ห่าธนูกระหน่ำฉับพลันมากทำให้หลี่ว์ซู่ต้องหนีอย่างกะทันหัน ซุนจ้งหยางที่เพิ่งมั่นใจว่าหลี่ว์ซู่จะไม่หนี แต่เขาก็พุ่งปรี่หนีไปเสียแล้ว
แต่หากพวกเขาอยากหนี ก็แค่หนีไปสิ แล้วเหตุไฉนถึงต้องเอารถม้าไปด้วยล่ะ?
อันที่จริง ห่าธนูครั้งนี้ไม่ได้คุกคามอะไรพวกเขามาก อย่างน้อยๆ ยอดฝีมือระดับสองหรือสูงกว่านั้นก็จะไม่มีวันตายด้วยการโจมตีเช่นนี้ ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเชื่อว่าแม้เวลานี้พวกเขาจะยังไม่เป็นไร แต่การเดินทางต่อไปข้างหน้าจะยากมาก หากม้าและรถม้าของพวกเขาถูกทำลายไป
ต้องรู้ว่าเวลานี้ หลี่ว์ซู่กำลังสร้างสมพลังกระบี่ของเขาอยู่ในรถม้าทุกวัน และหากไม่มีรถม้า เขาย่อมจะต้องเดิน แล้วเมื่อถึงเวลานั้น นับประสาอะไรกับปัญหายุ่งยาก เพราะที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ มันจะทำให้ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของเขานั้นต้องล่าช้าไป
ไม่เพียงแต่ซุนจ้งหยางจะไม่ได้คาดหวังว่าหลี่ว์ซู่จะทำเช่นนี้ แต่แม้กระทั่งเหล่าทาสที่ซุ่มโจมตีอยู่ในระยะไกลก็ไม่คาดคิดเช่นกัน…
และทันใดนั้นก็มีคนกระซิบด้วยความสงสัยว่า “มีอะไรที่สำคัญเป็นพิเศษอย่างมากในรถม้าหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็เป็นไปได้ ไม่ต้องห่วง แต่คิดถึงงานของพวกเราก่อน เจ้านายของเราบอกว่าพวกเราต้องฆ่าอัจฉริยะของเมืองหลวงทั้งสิบสองคนเท่านั้น แค่พวกมันก็ยากที่จะรับมือได้แล้ว” ใครบางคนกล่าวเสียงเย็น “เราต้องจับตาดูเป้าหมายของเราเอาไว้”
คนกลุ่มนี้เป็นมืออาชีพมาก พวกเขาได้สังหารบรรดายอดฝีมือมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้
มีผู้คนจากกองคาราวานการค้าตายท่ามกลางห่าธนู แต่ผู้ที่เสียชีวิตเหล่านั้นล้วนเป็นทาสของหัวหน้ากองคาราวาน ส่วนซุนจ้งหยางและพวกของเขานั้นต่างก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ
หัวหน้ากองคาราวานก็เจ็บปวดเช่นกัน เมื่อทาสของเขาตาย เขาก็ทำได้แค่ทิ้งสินค้าที่เหลือของเขาไปตามถนนเท่านั้น แต่หัวหน้ากองคาราวานก็ยังมีความหวังอีกอย่างในใจ เพราะตระกูลซุนไม่เคยปฏิบัติต่อคนของเขาอย่างเลวร้าย ซึ่งหากเป็นเพราะการที่ซุนจ้งหยางอยู่ในกองคาราวานแล้วทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อกองคาราวานของเขา ตระกูลซุนก็ย่อมจะชดเชยให้เขาเป็นสองเท่าในอนาคตอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าตระกูลซุนจะใจดีแต่อย่างใด แต่ทุกคนเข้าใจว่า ด้วยวิธีนี้จะทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเต็มใจที่จะเสียสละชีวิตเพื่อตระกูลซุนในอนาคต
ดังนั้นในตอนนี้จึงมีสองสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ประการแรก ซุนจ้งหยางจะต้องมีชีวิตอยู่ และประการที่สองคือ ตัวเขาเองก็จะต้องมีชีวิตอยู่
พ่อค้าย่อมให้ความสำคัญกับคุณค่าของวัตถุเหนือความชอบธรรม ดังนั้นเมื่อหัวหน้ากองคาราวานเห็นทาสของเขาตายเพราะห่าธนูอยู่รอบๆ ตัวเขา เขาจึงไม่โศกเศร้ามากนัก และก็ไม่ใช่ว่าทาสทั้งหมดของเขาจะเสียชีวิต พวกเขาครึ่งหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ แต่ม้าและรถม้าของเขาส่วนใหญ่คงต้องถูกทิ้งเอาไว้
ทว่าหัวหน้ากองคาราวานรู้สึกสับสนเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับมาพร้อมรถม้าและม้าอีกครั้ง “พวกเขาจะมาเพื่อต่อสู้หรือ?”
เมื่อเห็นว่าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังไม่ได้หยุดม้าและรถม้าในมือของพวกเขาลง บางทีหากหัวหน้ากองคาราวานบอกว่าพวกเขาจะมาที่นี่ พวกเขาก็อาจจะหนีอีกครั้ง…
แน่นอนว่าซุนจ้งหยางไม่ยอมให้ปล่อยพวกเขาไปเช่นนั้น เขากล่าวอย่างเย็นชาว “แทนที่จะรอให้พวกมันโจมตีเรา เราควรจัดการพวกมันทั้งหมดให้เด็ดขาดสิ้นซากเสียที”
หัวหน้ากองคาราวานตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดแล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นบุตรของตระกูลซุน ขออย่าได้ไปเผชิญหน้าต่อสู้กับพวกเขาโดยตรงเลย! หากท่านเป็นอะไรไปกระผมคงชดใช้ไม่ไหวแน่”
อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกนั้น หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าซุนจ้งหยางเป็นคนหยิ่งผยองจองหองและก้าวร้าวเพราะเชื่อว่าตนเองทรงพลังและไร้เทียมทานในโลกนี้ด้วยเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง แต่เมื่อเขาสังเกตดูท่าทีของซุนจ้งหยางอย่างละเอียดแล้ว เขาก็พบว่า ชายหนุ่มคนนี้ยังคงสงบและดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าใจร้อนมุทะลุแต่อย่างใด
หลี่ว์ซู่เข้าใจในทันใดว่าซุนจ้งหยางผู้นี้ไม่ได้หุนหันพลันแล่น และในอีกด้านหนึ่งนั้น เขาก็เข้าใจว่าหากศัตรูอยู่ในที่มืดในขณะที่พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง ก็ย่อมจะไร้ประโยชน์ที่จะหลบซ่อนต่อไป และทางที่ดีที่สุดก็คือ ควรเริ่มลงมือโจมตีในยามที่พวกเขาแข็งแกร่งที่สุด
หากพวกเขาอ่อนแอก็คงไม่มีประโยชน์ แต่ด้วยพวกเขามีสี่ยอดฝีมือระดับหนึ่งและอีกแปดยอดฝีมือระดับสอง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดก็ย่อมไม่มีใครกล้าที่จะดูแคลนความแข็งแกร่งเช่นนี้ของพวกเขา
ซุนจ้งหยางหยิบกระบี่ยาวสีแดงเจิดจ้าออกมาจากคลังไร้รูปแล้วถือมันเอาไว้ในขณะที่ส่งเสียงร้องตะโกนออกมาว่า “ไปฆ่าพวกมันกับฉัน จงสู้อย่างระมัดระวัง”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เห็นว่าหลี่ว์ซู่วางม้าของเขาไว้ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเตรียมที่จะตามไปกับพวกเขา
ซุนจ้งหยางผงะแข็งค้างอยู่นานก่อนจะถามว่า “นายจะทำอะไรน่ะ?”
“ฉันก็จะปกป้องนายไงล่ะ” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว “ไม่ต้องห่วงนะ นายต้องได้จ่ายเงินให้ฉันแน่ ที่ผ่านมา ฉันก็เคยทำงานสำเร็จมาแล้ว ฉันมีคุณสมบัติระดับมืออาชีพ”
“ลืมมันไปเถอะ นายไม่ต้องไป มันอันตรายเกินไป” ซุนจ้งหยางส่ายศีรษะ แม้เขาจะไม่พอใจหลี่ว์ซู่และอยากทิ้งเขาไว้ที่นี่ หากพวกเขาตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เขาก็ไม่ต้องการให้เรื่องไปเกี่ยวข้องกับหลี่ว์ซู่ เขาจึงปฏิเสธไม่ให้หลี่ว์ซู่ไปกับเขา
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าในเมื่อเขาได้รับเงิน เขาก็ต้องทำหน้าที่ให้เสร็จสมบูรณ์ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของเขาจะยืนยงคงมั่นได้อย่างไรเล่า?
ในขณะนั้น จู่ๆ โม่เสี่ยวหยาก็ถามขึ้นทันทีว่า “แล้วอาวุธของนายอยู่ที่ไหนล่ะ? นายไม่มีอาวุธเลยหรือไง?”
หลี่ว์ซู่เหลือบมองไปรอบๆ และสามารถหากิ่งไม้ได้พบตามต้องการ แต่ซุนจ้งหยางคงต้องเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยที่ว่าสามารถใช้กิ่งไม้ฆ่าศัตรูของเขามาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเปิดเผยตัวเองด้วยลักษณะที่ชัดเจนเช่นนั้น หลี่ว์ซู่จึงต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อปิดบังตัวตนของเขา
ดังนั้นหลี่ว์ซู่ก็มองไปที่หัวหน้ากองคาราวานการค้าแล้วกล่าวทวงบุญคุณเพื่อแลกอาวุธ “ฉันช่วยชีวิตนายเอาไว้”
จากนั้นเขาก็จับจ้องมองหัวหน้ากองคาราวานการค้าอยู่เป็นเวลานาน
“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ +666!”
ในคราแรกนั้นหัวหน้ากองคาราวานการค้าต้องการแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขารู้สึกว่าตราบใดที่เขาแสดงท่าปฏิเสธแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ก็จะยอมแพ้ไป แต่เขาประเมินหลี่ว์ซู่ต่ำไป
หัวหน้ากองคาราวานจึงถึงกับพูดไม่ออกนอกจากกล่าวตอบว่า “ฉันก็ไม่มีอาวุธเหมือนกัน”
“ฉันได้ช่วยชีวิตนายเอาไว้” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างสงบอีกครั้งก่อนจะจ้องมองต่อไป
“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ +666!”
แต่ก่อนที่หัวหน้ากองคาราวานจะหยิบเอาอาวุธออกมา ซุนจ้งหยางก็รอไม่ไหวอีกต่อไป หากเขารอจนกว่าหลี่ว์ซู่จะได้รับอาวุธ ศัตรูก็คงจะหนีไปแล้ว
แม้ซุนจ้งหยางจะไม่พอใจและดูถูกหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่ก็ถูกเขาลากมาให้ส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ
ซุนจ้งหยางเป็นถึงอัจฉริยะของเมืองหลวง และเขาก็ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นเขาจึงยังคงอยากให้หลี่ว์ซู่อยู่ที่นี่ “นาย…”
“ก็ได้ ฉันจะอยู่” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างสงบ
ซุนจ้งหยางเงียบงัน “…”
“ได้แต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง +888!”
คราวนี้ซุนจ้งหยางไม่พูดอะไรอีก และนำเหล่าอัจฉริยะของเมืองหลวงตรงไปยังทิศทางที่มาของห่าธนู ในขณะที่หลี่ว์ซู่นั่งลงและกินบะหมี่โซบะของเขาต่อไปอย่างสบาย และเขาก็ยังเงยหน้าขึ้นถามหัวหน้ากองคาราวานอีกว่า “ยังมีบะหมี่อีกไหม?”
“อ้อ มี มี มีสิ” หัวหน้ากองคาราวานรีบกล่าวพร้อมกับฝืนยิ้มอย่างขมขื่น เจ้าเด็กคนนี้น่าจะเป็นคนที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาตลอดหลายปีมานี้แล้ว…
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถือชามบะหมี่แล้วถามหลี่ว์ซู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เราจะไม่ไปช่วยพวกเขาจริงเหรอ?”
หลี่ว์ซู่กล่าวตอบเสียงไม่ชัดเจนนักขณะกินบะหมี่ว่า “เราต้องไปช่วยพวกเขา ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่ให้เงินแน่ๆ แต่ปัญหาก็คือ คราวนี้อีกฝ่ายจะต้องมีกลยุทธ์อื่นแฝงอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เราต้องสังเกตดูสถานการณ์ให้แน่ชัดก่อนจะกระทำการใดๆ หากเราเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้โดยไม่ได้ทำเงินอะไร มันก็จะไม่คุ้มค่า”
และโม่เสี่ยวหยาก็มองไปที่หลี่ว์ซู่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยันก่อนจะจากไป ราวกับว่าหลี่ว์ซู่กลายเป็นเจ้าตัวร้ายที่มีแต่ความละโมบและขี้ขลาด
แล้วการต่อสู้ระหว่างอัจฉริยะของเมืองหลวงกับเหล่าทาสที่ได้รับการว่าจ้างมาก็ดำเนินไปตลอดทั้งคืนในระยะทางที่ห่างไกลออกไป
ในขณะที่หลี่ว์ซู่ใช้เวลาฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของตัวเองท่ามกลางเสียงสู้รบดังสนั่นหวั่นไหว โดยที่เขายังคงไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด