ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 963 ภัยพิบัตินองเลือด

หัวหน้ากองคาราวานรู้สึกกังวลอย่างมากเมื่อเห็นประกายไฟเจิดจ้าบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน   

 

 

เขาห่วงว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขาจะเกิดปัญหา และเขาจะต้องแบกรับผลที่ตามมาจากตระกูลซุนซึ่งเขาไม่สามารถรับผิดชอบมันได้  

 

 

ในเวลานี้ เขารู้สึกอิจฉาหลี่ว์ซู่อยู่เล็กน้อยขณะที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟได้ ในขณะที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังปกป้องหลี่ว์ซู่อยู่อย่างเงียบๆ  

 

 

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป การต่อสู้อันยาวนานนี้แสดงให้เห็นว่าพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน   

 

 

และนั่นคือสิ่งที่หัวหน้ากองคาราวานกังวล เมื่อสามวันก่อน เขาบอกซุนจ้งหยางว่า เขาหวังว่าจะให้ยอดฝีมือของตระกูลซุนช่วยเข้ามาจัดการได้ แต่ซุนจ้งหยางลังเลอยู่เป็นเวลานานและไม่เห็นด้วย  

 

 

มีความขัดแย้งภายในอย่างท่วมท้นระหว่างเหล่าตระกูลชนชั้นสูง เหล่าทายาทสายตรงย่อมมีฐานะที่เหนือกว่าพวกลูกหลานตระกูลสาขา และบรรดาลูกหลานตระกูลสาขาจะอิจฉาทายาทสายตรงอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าทายาทสายตรงนั้นไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายอะไรเลย  

 

 

บรรพบุรุษของตระกูลซุนยังคงชีพอยู่และตำแหน่งผู้นำตระกูลก็เป็นที่ปรารถนาของทุกผู้คนอยู่เสมอ สำหรับในจักรวาลหลี่ว์นั้น ตราบใดที่ทรงพลังแข็งแกร่ง ก็จะได้รับความเคารพนับถือโดยไม่คำนึงถึงลำดับอาวุโส!  

 

 

แม้ซุนจ้งหยางจะไม่มีโอกาสได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูล แต่บิดาของเขาเป็นผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่งซึ่งหากเขาต้องขอให้ยอดฝีมือของตระกูลมาช่วยเขาเพียงเพราะการทดสอบง่ายๆ เฉกเช่นในสำนักศึกษาเช่นนี้ เขาย่อมจะต้องถูกคนอื่นๆ ในตระกูลหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน  

 

 

หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ ซุนจ้งหยางก็ย่อมจะทำให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม หากมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลของเขาเกิดขึ้น ไม่ว่าเขาจะได้รับการเอาใจมากมายเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่สามารถก่อปัญหาขึ้นมาได้  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะขอความช่วยเหลือจากเหล่ายอดฝีมือ แต่ซุนจ้งหยางก็แทบจะไม่สามารถยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจะมาช่วยเขาหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากมีใครบางคนในตระกูลซุนเป็นไส้ศึกล่ะ?  

 

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นั้นไม่รุนแรงอย่างที่เขาคิด เพราะโม่เสี่ยวหยาได้ติดต่อกับตระกูลโม่แล้ว ในขณะที่ซุนจ้งหยางไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากตระกูลซุนของเขาได้ และตระกูลโม่ก็ไม่ได้กังวลใดๆ ในเรื่องนี้  

 

 

บางทีเหล่ายอดฝีมือของตระกูลโม่กำลังอยู่ระหว่างเดินทางแล้ว แต่จะต้องใช้เวลาอีกสักระยะก่อนที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่  

 

 

ทันใดนั้น ดวงตาของหัวหน้ากองคาราวานก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อเขามองไปที่หลี่ว์ซู่และพบว่าเมื่อหลี่ว์ซู่ฝึกฝนพลังกระบี่และขยับกระบี่อย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็ยังสามารถเขยื้อนได้แม้กระทั่งกองไฟเช่นกัน  

 

 

เปลวไฟของกองไฟนั้นลุกโชนวูบวาบเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งไปกว่านั้น ก็ดูเหมือนว่าหัวหน้ากองคาราวานจะได้เห็นกระบี่โปร่งแสงในกองไฟที่เต็มไปด้วยพลังกระบี่มหาศาล!  

 

 

แม้ว่าหัวหน้ากองคาราวานจะมีพลังเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับสอง แต่เขาก็ยังไปไม่ถึงขั้นสูงสุด ในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาไม่ได้ผลักดันตัวเองเข้าไปสู่การต่อสู้ เพราะเขารู้ดีว่าเขามีเพียงขอบเขตพลัง แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขายังไม่ดีพอ  

 

 

มันก็เหมือนการเล่นเกมอย่างหนึ่งซึ่งถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ซุนจ้งหยางนั้นเชี่ยวชาญในด้านการต่อสู้ในขณะที่หัวหน้ากองคาราวานนั้นเชี่ยวชาญในการสร้างชีวิตของเขา…  

 

 

ซุนจ้งหยางและพวกของเขาจำเป็นต้องขัดเกลาทักษะการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในขณะที่หัวหน้ากองคาราวานนั้นง่วนอยู่กับการหาเงิน แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องปกติมากในจักรวาลหลี่ว์ แต่บัดนี้การฝึกฝนทุกอย่างไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในด้านการต่อสู้อีกต่อไป  

 

 

กองไฟยังคงลุกโชนโชติช่วงอยู่และหัวหน้ากองคาราวานก็ชื่นชมในความสามารถของหลี่ว์ซู่ที่ยังคงสามารถรักษาอารมณ์สงบเพื่อฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ เขามักจะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่สามารถระบุเหตุผลได้ว่าเพราะเหตุใด  

 

 

และเขายังค้นพบด้วยว่า สวีมู่จวินยังคอยเฝ้าปกป้องหลี่ว์ซู่อย่างเงียบๆ เหมือนกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายหลี่ว์ซู่  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานเดินทางจากทางใต้ไปเหนือ เขาต้องดูแลซุนจ้งหยางและพวกของเขา ดังนั้นในตอนแรกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องของหลี่ว์ซู่มากนัก แต่บัดนี้ จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารู้ดีว่า สวีมู่จวินอาจมีปัญหา และเขารู้ได้จากท่าทางที่สงบของเธอว่าหญิงสาวคนนี้ก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน  

 

 

รูปโฉมงดงาม ความสามารถหลากหลาย และเป็นยอดฝีมือ แต่ทำไมถึงสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่ได้อย่างรวดเร็วนัก?   

 

 

ดังนั้นหัวหน้ากองคาราวานจึงคิดว่าหากเขาเดาไม่ผิด สวีมู่จวินจะต้องได้รับการมอบหมายจากคนที่อยู่เบื้องหลังเธอให้เข้าหาหลี่ว์ซู่ด้วยจุดประสงค์บางอย่างและแม้กระทั่งคอยปกป้องหลี่ว์ซู่ แล้วภูมิหลังของคนที่อยู่เบื้องหลังในการผลักดันให้สวีมู่จวินดำเนินการเช่นนี้จะเป็นอย่างไรเล่า?  

 

 

ผู้ทรงพลังอำนาจยิ่งใหญ่คนใดหรือ? หรือคือ…ผู้ดำรงอยู่ที่เกินกว่าจะจินตนาการได้?  

 

 

ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น และหัวหน้ากองคาราวานก็ตื่นตัวขึ้นทันที เหล่าทาสนักฆ่ากำลังเข้ามา ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ต้องการปล่อยใครไป  

 

 

“สิบเก้าคน” ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้ากองคาราวานกล่าวขึ้นโดยเอาหูแนบไปที่พื้น “แต่กระผมไม่สามารถสัมผัสได้ถึงระดับพลังของพวกเขาเลย”  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานมองมาที่หลี่ว์ซู่ ตัวเขาเองต่อสู้ไม่เก่ง และทาสของเขาก็เก่งในการต่อสู้กับโจรเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับพวกทาสนักฆ่าเหล่านี้ เขาจึงต้องฝากความหวังไว้กับหลี่ว์ซู่และสวีมู่จวิน  

 

 

ในเวลานี้ หัวหน้ากองคาราวานไม่คิดฝากความหวังรวมไปถึงหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เลย เพราะในความเห็นของเขา คนในวัยเดียวกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้น ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะของเมืองหลวงที่แข็งแกร่งปานใด แต่ก็ไม่สามารถทรงพลังมากได้   

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังนั่งขัดสมาธิและสร้างสมพลังกระบี่โดยไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆ เลย  

 

 

และชั่วขณะนั้น สวีมู่จวินก็กล่าวกระซิบกับหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “ให้ฉันไปไหม?”   

 

 

และนั่นทำให้หัวหน้ากองคาราวานได้เห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มและกล่าวตอบสวีมู่จวินว่า “ไม่ ไม่จำเป็น”  

 

 

แล้วทันใดนั้น ก็มีเสียงตูมดังสนั่นมาจากทิศทางของฝีเท้าเหล่านั้น มันราวกับว่าพื้นดินกำลังแตกแยกและท้องฟ้ากำลังจะถล่มทลายลงมา  

 

 

และพร้อมกับเสียงแตกทลายนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนก้องของเหล่านักฆ่า แต่ในชั่วพริบตานั้นก็ดูเหมือนบรรยากาศจะพลิกกลับด้านไปอย่างสิ้นเชิง  

 

 

ชั่วเวลาถัดมานั้น ผู้ช่วยหัวหน้ากองคาราวานก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ “หลังจากเสียงระเบิดดังนั่น ก็ไม่รู้ว่าทำไมเสียงฝีเท้าทั้งหมดกลับหายไป มันดูเหมือนว่าทุกคนจะตายหมดแล้ว!”  

 

 

ทุกคนในกองคาราวานล้วนตกตะลึง ไม่มีใครที่นี่เคลื่อนไหวเลย แล้วใครเป็นคนสังหารกลุ่มนักฆ่าเหล่านั้นล่ะ?! ขณะที่พวกเขายังคงแตกตื่นด้วยความหวาดกลัวนั้น มีใครบางคนยุติการต่อสู้ในทันที? เป็นไปได้ไหมว่าจะมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ และเป็นผู้ลงมือ?  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานมองไปที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋และขมวดคิ้วมุ่น สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ลงมือ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ว่ามีคนกำลังจะจัดการอยู่  

 

 

เขาคิดไม่ออกเลยสักนิดว่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวสองคนนี้มีตัวตนแท้จริงเป็นอย่างไร? และมียอดฝีมือคนใดบ้างที่คอยปกป้องพวกเขาอย่างเงียบๆ อยู่โดยรอบ?  

 

 

แปลก แปลกมากจริงๆ!   

 

 

หัวหน้ากองคาราวานอดคิดถึงภูมิหลังของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ในทางที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไม่ได้ และด้วยเหตุนี้ หลี่ว์ซู่จึงกล่าวออกมาอย่างสงบว่า “นายต้องการให้ปกป้องไหมล่ะ? หากนายยินดีที่จะจ่าย ฉันก็รับประกันได้ว่า นายจะสบายไร้ความเจ็บปวดใดๆ จนกระทั่งไปถึงเมืองหลวง… “  

 

 

จู่ๆ หัวหน้ากองคาราวานก็พูดไม่ออกด้วยความรู้สึกปวดร้าวใจนัก เจ้าหนุ่มคนนี้มีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ แล้วทำไมเขาถึงยังต้องโลภมากขนาดนี้?!   

 

 

เมื่อเห็นว่าหัวหน้ากองคาราวานยังนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ หลี่ว์ซู่ก็ใคร่ครวญราวสองวินาทีแล้วกล่าวว่า “ดูจากหน้านายแล้ว นายจะประสบกับภัยพิบัตินองเลือดในอีกไม่กี่วันนี้…”  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานพลันกล่าวว่า “…นี่คิดจะหลอกคนเพื่อหาเงินเหรอ?”  

 

 

“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ +666!”   

 

 

หลี่ว์ซู่ส่ายศีรษะ “ฉันไม่ได้หลอก… แต่เห็นได้ชัดว่าฉันกำลังข่มขู่นาย…”  

 

 

แล้วหัวหน้ากองคาราวานก็ผงะงันทันที “…”  

 

 

“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ …”   

 

 

สวีมู่จวินนั่งเท้าคางเงียบๆ อยู่ที่ด้านข้างของเขา และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแค่หน้าตาดีเท่านั้น แต่เขายังน่าสนใจอย่างมาก  

 

 

อย่างน้อยๆ ก็น่าสนใจมากกว่าบรรดาชายอื่นที่เธอเคยพบพาน  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset