บทที่ 381 เด็กสาวอัจฉริยะแห่งเมืองบุปผา
สำหรับเวลาปกติแล้วนางทำเป็นไม่สนใจคนงี่เง่าพรรค์นี้ได้ เพราะไม่งั้นจะเป็นการทำลายบรรยากาศในการเดินทางของพวกนางเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่สนใจนางและหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางจึงบิดเบี้ยว “หยุดอยู่ตรงนั้นนะ”
เฉียวเทียนช่างที่ยืนอยู่ข้างๆ หยุดหนิงเมิ่งเหยาได้ทันเวลาก่อนที่นางจะเอ่ยอะไรกลับไป ทว่าเขาไม่แม้แต่จะชายตามองคนที่อยู่ด้านล่างเสียด้วยซ้ำ “การต่อปากต่อคำกับคนโง่เขลาเช่นนี้มีแต่จะทำให้เราเสียเวลา ไปกันเถอะ เจ้าไม่ได้อยากลองชิมอาหารจากดอกไม้ของที่นี่หรอกหรือ”
“ไปกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาหมุนตัวแล้วก้าวไปยืนข้างเฉียวเทียนช่าง ทั้งสองเดินตรงไปยังห้องอาหารส่วนตัวที่อยู่ชั้นบน
ผู้คนที่อยู่ในห้องอาหารด้านล่างต่างก็เหงื่อตกไปตามๆ กันเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา คนทั้งคู่คงจะไม่ชอบหน้าเด็กสาวผู้นี้เอามากๆ แต่ด้วยเพราะฐานะของนางจึงทำให้พวกเขาทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้น ทว่าเด็กสาวกลับเข้าใจผิดว่าความอดทนของพวกเขานั้นคือความขลาดกลัว
เด็กสาวผู้นี้มีนามว่าหลิ่วหานเยียน เป็นบุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองบุปผา แม้นางจะมีรูปโฉมงดงาม แต่นิสัยของนางนั้นมิได้มีค่าพอที่จะกล่าวชมนัก ดูได้จากตอนนี้
“เจ้าทั้งสองคนหยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้ เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” หลิ่วหานเยียนไม่เคยถูกกล่าววาจาเช่นนี้ใส่มาก่อน นางจึงโมโหขึ้นมาในทันที
หนิงเมิ่งเหยาที่ยืนอยู่ชั้นบนถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดคล้ายกันกับเรื่อง ‘พ่อข้าคือลี่กัง’ ขึ้นมา
“เหยาเหยา ไปกันเถอะ”
“ไปแล้วๆ”
“พวกเจ้า… พวกเจ้ามัน…”
“เยียนเอ๋อร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงนั้น นางก็อดจะขมวดคิ้วเข้าหากันไม่ได้
เมื่อหลิ่วหานเยียนได้ยินเสียงนั้น นางก็ทำท่าเหมือนคนเพิ่งโดนใส่ร้ายออกมา นางหันไปมองด้านหลังด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า “พี่หญิง ท่านต้องช่วยข้า พวกเขากลั่นแกล้งข้าจริงๆ นะ” หลิ่วหานเยียนเดินตรงเข้าไปหาเด็กสาวในชุดสีน้ำเงิน ก่อนคว้ามือนางขึ้นพลางทำท่าเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
เด็กสาวผู้นั้นมองหลิ่วหานเยียนด้วยดวงตาจนปัญญา “หยุดก่อเรื่องได้แล้ว”
หลิ่วหานเยียนสะบัดมือของเด็กสาวผู้นั้นออกไปด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่ได้ก่อเรื่อง ข้าเพียงแค่ต้องการให้เขายกห้องอาหารส่วนตัวให้ข้า ไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลยนี่” ในใจของหลิ่วหานเยียน นางคิดว่าตนไม่ได้ก่อเรื่องใดๆ ขึ้นทั้งนั้น
“เจ้าอย่าเอาแต่ใจไปเลย พวกเรามาช้าไปเอง” เด็กสาวมองน้องสาวของตน ดวงตาของนางดูเห็นอกเห็นใจ เมื่อมองหลิ่วหานเยียนนั้น สายตาของนางราวกับกำลังมองเด็กน้อยเอาแต่ใจผู้หนึ่งอยู่
ผู้คนในห้องอาหารล้วนพยักหน้าตามเมื่อพวกเขาเห็นเด็กสาวที่เข้ามาทีหลัง หากเทียบกับหลิ่วหานเยียนแล้ว นางเป็นตัวแทนของผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างยอดเยี่ยมและมีมารยาทดียิ่งนัก
คนที่เดินเข้ามาคือพี่สาวของหลิ่วหานเยียน มีนามว่าหลิ่วหานรั่ว นางเป็นเด็กสาวอัจฉริยะแห่งเมืองบุปผา มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ทั้งสี่แขนงดี ทั้งยังเป็นคนสุภาพนอบน้อม หากผู้ใดให้อะไรกับนาง นางก็ไม่เคยลืมที่จะกล่าวขอบคุณเลยสักหน ชาวเมืองบุปผาต่างก็ให้ความเคารพนางกันอย่างถ้วนหน้า
“พี่หญิง ไปหาพวกเขากันเถอะ เราจะได้มีห้องอาหารส่วนตัว ข้าไม่อยากนั่งที่นี่” หลิ่วหานเยียนทำแก้มป่องขณะเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ
หลิ่วหานรั่วส่ายหน้าช้าๆ “คนอื่นๆ ยังมาไม่ถึง ดังนั้นเราคงต้องรออีกสักหน่อย พอถึงตอนนั้นพวกเราอาจจะได้ห้องอาหารส่วนตัวแล้วก็ได้”
“เช่นนั้นก็ได้” หลิ่วหานเยียนเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจหลังจากเห็นสีหน้าไม่พอใจของหลิ่วหานรั่ว
หลิ่วหานรั่วมีรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้า “เป็นเด็กดีนะ”
ภายในห้องอาหารส่วนตัว พอได้เห็นอาหารอันละลานตาที่อยู่บนโต๊ะ ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาก็เป็นประกาย “งดงามยิ่งนัก” อาหารเหล่านี้ล้วนสมกับชื่อเมืองแห่งบุปผา มีหลายจานที่ถูกออกแบบมาโดยใช้ดอกไม้เป็นต้นแบบ มันช่างงดงามและถูกตาต้องใจนางเป็นอย่างยิ่ง ทำเอานางรู้สึกไม่กล้ากินขึ้นมา
เฉียวเทียนช่างพยักหน้าตาม เขาเอาดอกไม้ที่วางอยู่บนจานอาหารขึ้นมาวางในถ้วยของหนิงเมิ่งเหยา “ลองชิมดูสิ แค่มองมันไม่อิ่มหรอกนะ”
เมื่อนางเห็นบางสิ่งหายไปจากจาน คิ้วของหนิงเมิ่งเหยาก็กระตุก “เทียนช่าง เจ้าทำเช่นนี้ดีแล้วหรือ”
“ทำไมจะไม่ดีล่ะ” เฉียวเทียนช่างสับสนงุนงง ไม่ใช่ว่าอาหารทำมาเพื่อให้คนกินหรอกหรือ เหตุใดนางต้องทำหน้าแปลกๆ เช่นนี้ด้วย ดูราวกับว่าเขาทำอะไรไม่ดีลงไป
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเห็นเขาทำท่าเช่นนั้น นางก็ก้มหน้าลงด้วยท่าทางจนปัญญา “ลืมมันไปเถอะ ทำเหมือนว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
“รสชาติดีจริงๆ”
บทที่ 382 ว่าที่ฮองเฮา
ไม่ช้าหนิงเมิ่งเหยาก็อิ่มจนไม่สามารถกินอะไรได้อีก ในขณะนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “เข้ามา”
บานประตูถูกผลักให้เปิดออก ตรงนั้นมีเด็กสาวหลายนางยืนอยู่ด้านนอก หนึ่งในนั้นคือเด็กสาวที่พวกนางเห็นเมื่อครู่
“มีเรื่องอะไรหรือ” เฉียวเทียนช่างมองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาไร้อารมณ์
หลิ่วหานรั่วเพิ่งได้สติ นางค้อมศีรษะให้กับทั้งสอง บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มใจดีปรากฏอยู่ “ข้าเพียงสงสัยว่าพวกท่านจะยอมยกห้องอาหารส่วนตัวนี้ให้พวกเราได้หรือเปล่า”
หนิงเมิ่งเหยามองพวกนางด้วยรอยยิ้มจางๆ “แล้วทำไมข้าจึงต้องยอมด้วยหรือ”
“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าไม่กินต่อแล้วหรือ” หลิ่วหานเยียนมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความไม่พอใจ นางรู้สึกว่าหญิงผู้นี้ตั้งใจพูดเช่นนั้นออกมา
หนิงเมิ่งเหยาเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่งแล้วมองหลิ่วหานเยียนอย่างเย็นชา “มีใครบอกหรือว่าพวกข้าจะไม่กินต่อ”
แม้บนโต๊ะจะมีอาหารหลายจานวางอยู่ แต่หากพวกเขาเลิกกินแล้วมันจะทำไมหรือ เหตุใดพวกเขาจะต้องยอมยกห้องอาหารส่วนตัวนี้ให้ผู้อื่นด้วย
“ฮูหยิน พวกข้าจำเป็นต้องใช้ห้องอาหารส่วนตัวจริงๆ” หลิ่วหานรั่วนิ่วหน้า นางมีสีหน้าอับจนหนทางแกมเว้าวอนขณะมองหนิงเมิ่งเหยา
หากเป็นกับผู้อื่นหรือกับชายหนุ่ม เขาคงจะยอมตกลงยกห้องให้แล้ว แต่คิดว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นใครกันล่ะ
“แล้วทำไม พวกข้าเองก็จำเป็นต้องใช้ห้องอาหารส่วนตัวเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นร้านอาหารนี้ก็ไม่ได้มีห้องอาหารส่วนตัวเพียงแค่ห้องนี้ห้องเดียวนี่ บางทีคนอื่นอาจจะใช้เสร็จแล้วก็ได้ เจ้าลองไปถามพวกเขาดูสิ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
หลิ่วหานรั่วหน้านิ่วคิ้วขมวด แน่นอนว่านางเองก็รู้ว่ามีห้องอาหารส่วนตัวห้องอื่นอยู่ แต่คนที่อยู่ในห้องพวกนั้นมิใช่คนที่นางจะไปยั่วโมโหได้ คนทั้งสองเพิ่งจะมาถึงที่นี่วันนี้ อีกทั้งยังไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร จึงทำให้นางตัดสินใจมาขอห้องเช่นนี้
“พวกเจ้าลงไปกินที่ห้องอาหารข้างล่างไม่ได้หรือไง เหตุใดจึงไม่สำเหนียกถึงสถานะของตนเองเสียบ้าง” หลิ่วหานเยียนเอ่ยกับทั้งสองด้วยความรังเกียจ
หนิงเมิ่งเหยากะพริบตา นางก้มหน้าลงมองชุดของตัวเอง นางสวมชุดทอมาจากผ้าไหมหยุนจิ่น ในแต่ละปีไม่ใช่จะทอผ้าไหมชนิดนี้กันได้ง่ายๆ แล้วสิ่งนี้มันดูต่ำต้อยในสายตาของคนอื่นได้อย่างไรกัน
“โอ้ เช่นนั้นข้าชักสงสัยสถานะของพวกเจ้าขึ้นมาแล้วสิ” หนิงเมิ่งเหยาเท้าคางขณะมองหญิงสาวตรงหน้าของตนด้วยสายตาหยอกล้อ โดยเฉพาะหลิ่วหานเยียน
หลิ่วหานเยียนยิ้มเยาะและเชิดหน้าขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “พี่หญิงของข้าเป็นว่าที่ฮองเฮา”
หนิงเมิ่งเหยาพ่นชาออกจากปากหลังจากได้ยินดังนั้น
เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วมองนาง เขายกมือขึ้นลูบหลังนางเบาๆ
“ระวังหน่อย เหตุใดเจ้าถึงต้องรีบดื่มขนาดนั้นด้วย”
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่าง “ไม่เป็นไร ข้าเพียงไม่คิดว่าข้าจะบังเอิญได้พบกับว่าที่ฮองเฮาของเมืองบุปผาก็เท่านั้น ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก” หนิงเมิ่งเหยาตั้งใจเน้นเสียงตรงคำว่า ‘ว่าที่ฮองเฮา’
ประโยคธรรมดาๆ แต่สำหรับหลิ่วหานรั่ว ประโยคนั้นฟังดูเหมือนจะเหน็บแนมนาง
เฉียวเทียนช่างตวัดสายตาไปมองหลิ่วหานรั่วแล้วกระตุกยิ้ม “ถ้าในหัวเจ้าหมอนั่นมีอะไรผิดปกติขึ้นมาละก็นะ” มองเพียงปราดเดียวก็เห็นชัดว่าหญิงผู้นี้ดูจะรู้วิธีเสแสร้งเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นดี คงจะแปลกพิกลหากเซียวชวี่เฟิงนึกพิศวาสนางขึ้นมา
“ก็จริง” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง
“บังอาจนัก กล้าดีอย่างไรจึงหยาบคายกับว่าที่ฮองเฮาเช่นนี้” คนที่อยู่ข้างๆ หลิ่วหานรั่วคำรามขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
หนิงเมิ่งเหยาหมดความอยากอาหารเมื่อเห็นนางใช้ความสัมพันธ์อันทรงอิทธิพลนั้นมาข่มขู่ผู้อื่น “ในเมื่อนางเป็นว่าที่ฮองเฮา ถ้าเช่นนั้น เทียนช่าง เรายกห้องนี้ให้นางเลยก็ได้ พวกเราโชคไม่ดีเองที่บังเอิญมาเจอเรื่องพรรค์นี้เข้าตั้งแต่วันแรก” ในน้ำเสียงของหนิงเมิ่งเหยาไม่มีความรู้สึกดีๆ อยู่ในนั้นเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“พวกเจ้า…”
“แม่สาวน้อย หยุดพูดจาไร้สาระดีกว่า ว่าที่ฮองเฮางั้นหรือ หึ เจ้าคงจะยิ่งใหญ่นักสินะ เทียนช่าง ไปกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาลุกขึ้นแล้วหันหน้าไปมองเฉียวเทียนช่าง
“ไปกัน” เฉียวเทียนช่างยันกายขึ้นแล้วเดินออกไปพร้อมกับหนิงเมิ่งเหยา
เขาหรี่ตาลงเมื่อเดินผ่านหลิ่วหานเยียน สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก
ใบหน้าของหลิ่วหานเยียนซีดเผือดเมื่อถูกมองด้วยสายตาอันน่าหวาดหวั่นเช่นนั้น
“เจ้า… เจ้ามองอะไร”
“คนโง่”
หลังจากทั้งสองออกไป หลิ่วหานรั่วที่ไม่พูดไม่จาอะไรจึงหันไปมองหลิ่วหานเยียน “ต่อไปเจ้าควรจะอยู่ให้ห่างจากสองคนนั้นไว้จะดีกว่า”