สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 64 เจ้าไม่คู่ควรตั้งแต่แรก

       “คุณหนูฮั่ว นี่ท่านกำลังสงสัยจวนโยวอ๋องอยู่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีกล่าว

        ฮั่วอวี้เจียวไม่เข้าใจความหมายของซูจิ่นซีเท่าไร

        มุมปากของซูจิ่นซียกยิ้มอย่างดูถูกฮั่วอวี้เจียง ก่อนจะหันไปพูดกับพนักงาน “ห่อมา! ส่งของไปที่จวนโยวอ๋อง เมื่อถึงเวลานั้นก็ไปเก็บเงินที่พ่อบ้าน! ”

        ทันใดนั้นใบหน้าของฮั่วอวี้เจียวก็เปลี่ยนไปอย่างยิ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด ดวงตาของนางจึงส่องแสงวาววับ แม้แต่มือที่กุมอยู่ด้านหน้าก็ยังสั่นระริก

        ปฏิกิริยานี้ ดูเหมือนจะเกินไปหน่อยกระมัง?

        ซูจิ่นซีไม่ได้ใส่ใจเท่าไร นางตั้งใจหันกลับมามองที่โต๊ะคิดเงินอย่างมีชัย

        ทว่ามีเพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่รู้ว่านางกำลังตบหน้าตนเองให้บวม [1] !

        เวลานี้นางกับเยี่ยโยวเหยาเป็นสามีภรรยากันเพียงในนามเท่านั้น เยี่ยโยวเหยาไม่สมัครใจให้นางซื้อของที่ฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้แน่

        เหตุที่นางเอาจวนโยวอ๋องมาคุยโม้โอ้อวดใหญ่โตให้พนักงานไปรับเงินที่จวนโยวอ๋องนั้น หนึ่งคือนางไม่ต้องการเสียหน้าตนเองต่อหน้าสามคนนี้ สองคือนางเตรียมพร้อมดีแล้วที่จะกลับไปขอยืมเงินจากเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง

        อย่างไรนางก็ติดหนี้เยี่ยโยวเหยาห้าล้านสองแสนตำลึงเงินอยู่แล้ว นางไม่สนใจหากจะติดเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย

        เหามีมากไปก็ไม่คัน หนี้สินมีมากไปก็ไม่ต้องคำนวณ [2]

        “ซูจิ่นซี สกุลของเจ้าเองก็ยากจน ไม่ได้มอบสินสอดให้เจ้ามากเท่าไร คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ เจ้าผลาญเงินเสด็จอาโยวอ๋องของข้า ข้าโตมาถึงเพียงนี้ ไม่เคยเห็นสตรีใดเช่นเจ้ามาก่อน! ”

        “องค์หญิง ที่ท่านไม่เคยเห็นเพราะอายุของท่านยังน้อย จึงไม่เห็นถึงสภาพต่างๆ ในสังคมเท่าใดนัก รอให้ท่านได้สมรสออกไปแล้วก็จะทราบเอง ข้าแต่งบุรุษก็เพื่อให้มีชุดใส่ มีข้าวกิน เขาโปรดปรานข้า ข้าใช้เงินของเขาเหตุผลก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ใช้เงินของเขาแล้วจะทำอย่างไร หรือข้าต้องรอให้สตรีนางอื่นมาใช้แทนข้ากันเล่า? ”

        “ซูจิ่นซี เจ้า…เจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง! ”

        ความคิดทันสมัยและตรงไปตรงมาของซูจิ่นซี สำหรับหวาหรงผู้เป็นสตรีที่ไม่เคยออกจากเรือน อีกทั้งยังได้รับการเลี้ยงดูจากวังหลวง เพียงแค่ฟังก็นับว่าทำให้อัปยศแล้ว!

        ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข นางหันหลังกลับและเดินออกจากร้านจวีเซียงฟาง ก่อนออกไปก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาเตือนพนักงาน “อย่าลืมไปส่งน้ำหอมที่จวนโยวอ๋อง และอย่าล่าช้าเล่า”

        ซูจิ่นซีพูดให้เยี่ยเซิน ฮั่วอวี้เจียว และองค์หญิงหวาหรง ทั้งสามคนนี้ฟัง นางตั้งใจทำให้พวกเขาโกรธเกรี้ยว

        ดวงตาของฮั่วอวี้เจียวแดงก่ำ ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ซูจิ่นซีคิดว่าปฏิกิริยาของนางเช่นนี้ช่างเกินไปเสียจริง ทว่าก็ไม่ได้คิดอันใดให้มากความ

        ทันใดนั้นเยี่ยเซินก็เดินไปที่ด้านหน้าของซูจิ่นซี แล้วคว้านางเอาไว้

        “ซูจิ่นซี เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ! ”

        “ไท่จื่อ เจ้าทำผิดอีกแล้วนะ! ควรจะเรียกเสด็จอาสิ เหตุใดจึงเปลี่ยนไม่ได้สักทีเล่า! ”

        “ซูจิ่นซี เจ้าจงใจเป็นศัตรูกับข้า คิดจะเรียกร้องความสนใจจากข้าอย่างนั้นหรือ? ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ แม้ตอนนี้เจ้าจะหายจากอาการฟั่นเฟือน ใบหน้าก็ไร้รอยพิษแล้ว ทว่าในใจของข้า เจ้ายังคงเหมือนกับเมื่อก่อน เคยเป็นอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น เจ้าก็แค่หญิงสารเลวนางหนึ่ง! ข้าไม่มีวันติดกับดักเจ้าอย่างแน่นอน และยิ่งไม่มีทางชายตามองเจ้าอีกด้วย! ”

        เยี่ยเซินแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

        เจ้าชั่วเอ้ย! ซูจิ่นซีเคยเห็นคนไร้ยางอายและหลงตัวเองมาก่อน ทว่านางไม่เคยเห็นคนที่หลงตัวเองและไร้ยางอายราวกับมีความโกรธแค้นมากมายเช่นนี้

        ใบหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วพริบตา จากใบหน้ายิ้มแย้มอย่างสาแก่ใจที่ทำให้พวกเขาโกรธเคืองได้พลันมืดแสงลง ดวงตานางเย็นยะเยือก

        “อย่างนั้นหรือ? ที่แท้ไท่จื่อก็คิดเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าก็มีบางอย่างที่ต้องการพูดกับท่าน ข้าคิดว่าวันนี้ควรพูดต่อหน้าไท่จื่อให้เข้าใจเลยก็แล้วกัน ไท่จื่อ…เจ้าจะต้องเงี่ยหูและตั้งใจฟังให้ดีเล่า ต่อไปนี้หากพบข้าที่ใด ก็จงไสหัวไปเสียให้ไกลจากข้า! ไสหัวไป… ”

        ทันใดนั้น เยี่ยเซินก็รู้สึกโง่เขลาขึ้นมาเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีผู้นี้กินดีหมีหัวใจเสือ [3] หรืออย่างไร? คาดไม่ถึงว่าจะกล้าใช้น้ำเสียงและพูดจาเช่นนี้กับเขา

        “เยี่ยเซิน เจ้าฟังคำพูดคนไม่รู้เรื่องหรือ? ต้องการให้ข้าหาสัตว์เดรัจฉานมาถอดความให้หรือไม่? ”

        “ซูจิ่นซี เจ้ารนหาที่ตาย! ”

        เยี่ยเซินตอบโต้อย่างฉับพลัน ซูจิ่นซีกล้ามากที่ด่าเขา ดวงตาของเยี่ยเซินเต็มไปด้วยแรงอาฆาต มือของเขาที่จับแขนซูจิ่นซีก็เพิ่มกำลังรุนแรงขึ้นหลายเท่า

        กลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะก้มศีรษะลงและกัดแขนของเยี่ยเซินอย่างรุนแรง ใบหน้าเจ็บปวดของเยี่ยเซินบิดเบี้ยว เขาปล่อยแขนของซูจิ่นซีทันที ซูจิ่นซีจึงคลายปากของนางออก ทว่าแขนของเยี่ยเซินนั้นถูกซูจิ่นซีกัดจนทะลุเนื้อ โลหิตอันบาดตาไหลซึมออกจากแขนเสื้อที่กั้นไว้

        “ซูจิ่นซี เจ้าเป็นสุนัขหรืออย่างไร? ”

        หวาหรงจวิ้นจู่รีบวิ่งเข้าไปตะโกนใส่ซูจิ่นซี

        “เยี่ยเซิน เจ้ามันช่างน่ารังเกียจเสียจริง! ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ ต่อไปอย่ามายุ่งกับข้าอีก! ”

        ซูจิ่นซีพูดจบก็หันหลังเดินออกไปจากร้านจวีเซียงฟาง

        ลวี่หลีตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่น้อย เมื่อได้สติก็รีบวิ่งตามหลังซูจิ่นซีไป

        “คุณหนู พวกเราไม่ได้ทำอันใดเกินไปใช่หรือไม่เพคะ? ”

        คุณหนูฮั่วผู้นั้นก็ช่างเถิด ทว่าอีกสองท่าน ผู้หนึ่งคือไท่จื่อ อีกผู้หนึ่งคือองค์หญิง วันนี้คุณหนูล่วงเกินพวกเขา ความกล้าของลวี่หลีน้อยนิดเสียจริง กลัวว่าต่อไปเยี่ยเซินกับองค์หญิงหวาหรงจะกลับมาแก้แค้นซูจิ่นซี

        “ไม่กลัวตายก็มา ข้าซูจิ่นซีจะอยู่รอตอบโต้จนถึงที่สุด! ”

        ซูจิ่นซีขึ้นเสียง เพื่อให้ทั้งสามคนที่อยู่ด้านในได้ยินด้วยเช่นกัน

        “ซูจิ่นซี! ”

        นางเดินไปได้สองก้าว ด้านหลังยังมีผู้ที่ไม่กลัวตาย ตามมา

        เป็นเสียงของฮั่วอวี้เจียว

        ซูจิ่นซีหันหลังกลับ หรี่ตามอง

        “ซูจิ่นซี ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสัญญากับฮ่องเต้ที่ตำหนักจ้งหวาว่าจะค้นหาฆาตกรที่วางยาพิษฮองเฮาภายในสามเดือน”

        ซูจิ่นซีไม่เข้าใจว่าทำไมฮั่วอวี้เจียวถึงต้องการพูดเรื่องนี้อย่างกะทันหัน ทว่าด้วยสัญชาตญาณ แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

        “พวกเรามาเดิมพันกันเป็นอย่างไร? ”

        “อย่างนั้นหรือ? เดิมพันอันใด? ” ซูจิ่นซีเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามกลับ

        “เดิมพันว่าเจ้าจะสามารถหาฆาตรกรตัวจริงได้ภายในสามเดือนหรือไม่”

        “ค้นหาได้แล้วอย่างไร? ค้นหาไม่ได้แล้วอย่างไร? ” เสียงของซูจิ่นซีสดใส สุนัขจับหนูยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง [4] นางเพียงรู้สึกว่าช่างน่าขันยิ่งนัก

        ฮั่วอวี้เจียวคิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะตกลงเร็วถึงเพียงนี้ มุมปากของนางยกยิ้มขึ้น “หากค้นหาได้ สิ่งเดิมพันขึ้นอยู่กับเจ้า หากค้นหาไม่ได้ เจ้าจะต้องออกไปจากจวนโยวอ๋อง ทิ้งฐานะพระชายาโยวอ๋องเสีย”

        ซูจิ่นซีกล้าใช้หัวของนางเป็นประกันว่าฮั่วอวี้เจียวจะต้องสนใจเยี่ยโยวเหยาอย่างแน่นอน

        ไม่แปลกใจเลย! เมื่อซูจิ่นซีพูดถึงจวนโยวอ๋องหรือเยี่ยโยวเหยา ฮั่วอวี้เจียวก็มักแสดงท่าทีแปลกๆ ความรู้สึกของนางบอกว่า ฮั่วอวี้เจียวก็คือเว่ยเหม่ยเจียคนที่สอง

        ‘คู่แข่งทางความรัก’ อีกราย!

        มุมปากของซูจิ่นซีประดับด้วยรอยยิ้มเย็นชาราวกับจะทำให้คนโกรธจนตายเสียให้ได้

        “เหตุใดข้าต้องเดิมพันกับเจ้า? ”

        การแสดงออกบนใบหน้าของฮั่วอวี้เจียวหายไปในทันที

        “ซูจิ่นซี ความกล้าของเจ้าหายไปแล้วหรือ? ”

        “เจ้าจะพูดอันใดก็แล้วแต่! ”

        วิธีการกระตุ้นเช่นนี้ สำหรับซูจิ่นซีแล้วไม่มีประโยชน์อันใด ซูจิ่นซีจึงหันหลังเตรียมจากไป

        “ซูจิ่นซี แต่ก่อนผู้คนล้วนกล่าวว่าเจ้าเป็นขยะ เป็นคนโง่ เป็นคนน่ารังเกียจอัปลักษณ์ ไม่คู่ควรกับไท่จื่อ! เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าสติดีแล้ว มีใบหน้าสวยงามเช่นนี้แล้วจึงได้สมรสกับโยวอ๋อง ทว่าเจ้าคิดว่าตนเองคู่ควรกับโยวอ๋องแล้วหรือ? ซูจิ่นซี ปัญหานี้เจ้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยกระมัง? ความจริงแล้วเจ้าไม่คู่ควรเสียด้วยซ้ำ! แม้ภายนอกเจ้าจะแสดงออกถึงความเย่อหยิ่งจองหอง ทว่าลึกลงไปภายในกระดูกของเจ้าก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดเท่านั้น! ”

        ฝีเท้าของซูจิ่นซีหยุดลงทันที ทว่านางไม่ได้หันกลับไป

        “ซูจิ่นซี ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง ทว่าเจ้าไม่เคยเข้าใจเขาอย่างแท้จริง และยิ่งไม่เข้าใจความในใจของเขา ซูจิ่นซี เจ้าไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากเขาเลย! ”

        ช่วงเวลานี้ มีผู้คนข้างทางมากมายรายล้อมพวกนางทั้งสองคนไว้ เยี่ยเซินและองค์หญิงหวาหรงก็เดินออกมาจากร้านจวีเซียงฟางแล้วเช่นกัน บนใบหน้าขององค์หญิงหวาหรงดูราวกับมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

        ซูจิ่นซียังคงไม่หันกลับมา นางไม่ได้ตอบกลับฮั่วอวี้เจียว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจของนางคิดเช่นไร

        ผู้ชมที่มุงโดยรอบล้วนรอคอยอย่างเงียบงัน ดูว่าซูจิ่นซีจะมีปฏิกิริยาอย่างไร จะให้คำตอบอย่างไรกับฮั่วอวี้เจียว

        ทว่าไม่ทันรอให้ซูจิ่นซีตอบ ฮั่วอวี้เจียวก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ซูจิ่นซี เจ้าไม่รู้สึกอย่างนั้นหรือ? ในสายตาของผู้อื่น เจ้าเป็นความอัปยศของโยวอ๋อง เป็นตราบาปที่ใหญ่หลวง เจ้า… ”

        “หากภายในหนึ่งเดือน ข้า…ซูจิ่นซีผู้นี้สามารถค้นหาฆาตกรตัวจริงได้ เจ้าต้องถอดเสื้อผ้าออกและยืนอยู่ที่ทางเข้าโรงน้ำชาจุ้ยหงเป็นเวลาสามวัน”

        คำพูดของฮั่วอวี้เจียวยังไม่ทันจบลง ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็หันกลับมา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ มองความผิดปกติอันใดไม่ออก ทว่านกร้องเสียงเดียวกลับทำให้คนตกตะลึง [5] คำพูดหนึ่งประโยคทำให้ผู้คนตกใจหวาดผวา ทั่วทั้งสถานที่นี้พลันเงียบเป็นเป่าสาก

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset