สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 95 อันตรายมาก อีกนิดก็จะไม่มีชีวิตรอดแล้ว

     ทุกคนต่างยกระดับการระวังตัวเพิ่มมากขึ้น แล้วเดินต่อไปข้างหน้า

        ทว่าหลังจากเดินมาได้สักพัก บรรยากาศเบาบางในบริเวณนั้นก็ดูเหมือนจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น พื้นดินไม่คับแคบ ขรุขระ และเปียกชื้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ดูเหมือนจะเป็นทางเดินที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะพื้นปูด้วยอิฐหินที่สะอาดเป็นระเบียบ และมีตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่บนผนัง

        หากซูจิ่นซีไม่ได้คาดการณ์ผิดละก็ ที่นี่คงเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ซิ่งหลิวหลีใช้ในการชุมนุมลับกับพวกของนาง

        หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ซิ่งหลิวหลีและพรรคพวกได้ลักพาตัวฮองเฮาไป ผู้อื่นคงไม่โชคดีพบเข้ากับสถานที่ลึกลับถึงเพียงนี้

        “ทุกคนระวังตัว”

        สถานที่นี้คือรังพิษแห่งหนึ่ง ระบบถอนพิษส่งเสียงเตือนซูจิ่นซีอยู่ตลอดเวลา หูของนางสั่นสะเทือนจนใกล้จะหนวกอยู่แล้ว

        “พระชายา ท่านฟังสิพ่ะย่ะค่ะ นี่มันเสียงอันใดกัน? ”

        ยอดฝีมือข้างกายผู้หนึ่งกล่าวกับซูจิ่นซี

        เมื่อซูจิ่นซีเงี่ยหูฟังก็พบว่ามีเสียง “ซื่อซื่อซื่อ” ดังอยู่ใกล้ๆ เดิมทีในเวลาปกติ ความสามารถทางการได้ยินของซูจิ่นซีก็เพียงพอที่จะทำให้นางได้ยินเสียงนั้น ทว่าระบบถอนพิษที่คอยส่งสัญญาณเตือนอยู่ตลอดเวลาได้ขัดขวางการได้ยินของนาง ทำให้การได้ยินของซูจิ่นซีช้ากว่าผู้อื่น

        ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ยินเสียง ซูจิ่นซีก็สามารถแยกแยะประเภทของสารพิษได้ว่าวัตถุอันตรายที่อยู่ใกล้นั้นเป็นสิ่งใด

        “อาจเป็นงูพิษ ทุกคนระวัง”

        งูพิษ?

        คงจะไม่มาเป็นกลุ่มเหมือนแมงมุมพิษใช่หรือไม่?

        ซูจิ่นซีดูเหมือนจะมองเห็นการแสดงออกที่ค่อนข้างตื่นตกใจของทุกคน

        “ไม่เยอะหรอก มีเพียงตัวเดียว น่าจะเป็นงูยักษ์”

        ยังดี!

        ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วมองตากัน ใบหน้าของพวกเขากลับมาเป็นปกติ ทว่ายังมีความระมัดระวังในระดับสูง ไม่กล้าลดการป้องกันลงแม้แต่น้อย

        สิ่งที่แปลกก็คือ ในสถานที่ใหญ่โตเช่นนี้ ตั้งแต่ที่ทุกคนเข้ามา อย่างน้อยเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าพวกเขาไม่เพียงแต่ตามหาซิ่งหลิวหลีและพวกของนางไม่พบเท่านั้น แม้แต่คนเพียงคนเดียวก็ยังไม่พบด้วยซ้ำ

        หลังจากที่ทุกคนเข้าไปในประตูหินที่แกะสลักเป็นรูปหัวงูอย่างวิจิตรบรรจง ก็พบว่าด้านในเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่กว้างมาก ตรงกลางของพื้นที่เป็นสระน้ำ ทว่าของเหลวในสระไม่ใช่น้ำแต่เป็นโลหิต

        บ่อโลหิต!!

        “เป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดเสียจริง” มีคนกล่าวขึ้น

        ซูจิ่นซีไม่ได้สังเกตอันใดเลย เพราะเมื่อก้าวเข้ามาในประตูหิน สายตาและความสนใจทั้งหมดของนางก็ถูกดึงดูดด้วยดอกปี่อั้นสีโลหิตที่ลอยอยู่เหนือบ่อโลหิตนั้นแล้ว

        ไม่รู้ว่าเหตุใด สร้อยข้อมือปี่อั้นบนข้อมือขวาของซูจิ่นซี ที่ก่อนหน้านี้นางได้รับมาโดยบังเอิญจากตลาดมืดนั้น ราวกับมีแรงดึงดูดกับดอกปี่อั้นสีโลหิต มันดึงดูดซูจิ่นซีอยู่ตลอดเวลา คอยให้นางก้าวไปยังบ่อโลหิตอย่างเชื่องช้า

        ดวงตาของซูจิ่นซีว่างเปล่า ราวกับถูกดึงสามจิตเจ็ดวิญญาณ [1] ออกมา ซูจิ่นซีเดินอย่างไม่พูดไม่จาตรงไปยังบ่อโลหิต สายตาจับจ้องไปที่ดอกปี่อั้นสีเลือดที่อยู่เหนือบ่อโลหิต

        “พระชายา ระวัง! ”

        ทันใดนั้นตามมาด้วยเสียงตะโกนเรียก องครักษ์นายหนึ่งชนเข้าที่ด้านหลังของซูจิ่นซีจนนางล้มลงกับพื้น ในเวลาเดียวกันบ่อโลหิตฝั่งที่มีรูปปั้นหน้างูยักษ์ ‘ที่กลายเป็นหิน’ พลันมีชีวิตขึ้นมาในทันที ปากของสัตว์ร้ายอ้าออก จู่โจมเข้าใส่ซูจิ่นซี

        “พระชายา รีบไป… เร็วเข้า! ”

        เป็นเวลาชั่วพริบตาดั่งสายฟ้าแลบ องครักษ์พลิกตัวซูจิ่นซีเข้าหาก่อนจะล้มลงไปกับพื้น ในเวลาเดียวกันก็แทงดาบยาวในมือไปที่ปากเปื้อนเลือดของงูยักษ์

        อันตรายมาก!

        อันตรายมากจริงๆ !!!

        หากไม่ใช่เพราะการตอบสนองอย่างรวดเร็วขององครักษ์ผู้นั้น ตอนนี้ซูจิ่นซีอาจถูกเจ้างูยักษ์กลืนลงท้องไปเสียแล้ว

        ใบหน้าของซูจิ่นซีซีดเผือดด้วยความตกใจ นางไม่ทันตอบสนอง ขาทั้งสองก็พลันอ่อนแรงลงไปเล็กน้อย อย่าพูดถึงวิ่งหนีเลย แค่ลุกขึ้นยังไม่ไหว

        “พระชายา! รีบหนีเร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยใกล้รับมือไม่ไหวแล้ว! ”

        ซูจิ่นซีทั้งตกใจทั้งตกตะลึง พยายามลุกขึ้นอย่างเต็มความสามารถ

        นางพึ่งจะลุกขึ้นมาได้ ยังไม่ทันวิ่งถึงสองก้าว เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองและเสียงแยกเนื้อหนังมังสาก็ดังขึ้น โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วตัวของนาง

        ส่วนลึกในใจ ซูจิ่นซีกลัวจนไม่กล้าหันกลับไปมอง ทว่านางก็หันกลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าองครักษ์ที่ช่วยชีวิตนางเมื่อครู่นี้ถูกงูยักษ์กลืนกินเข้าไปในปาก หัวของงูยักษ์ที่เปื้อนโลหิตพาดมาถึงตรงที่ซูจิ่นซีพึ่งลุกขึ้นมา

        เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียว เพียงเสียวเวลาเท่านั้น

        หากไม่ใช่เพราะซูจิ่นซีวิ่งเร็ว ผู้ที่ถูกงูยักษ์กลืนลงไปนั้นคงเป็นนาง

        ซูจิ่นซีหายใจไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่ารู้สึกขยะแขยงกับฉากนองเลือดตรงหน้าหรือเป็นเพราะภาพน่าสลดใจที่ทำให้นางตื่นกลัวกันแน่ ดวงตาของซูจิ่นซีสับสนแฝงความเจ็บปวดเล็กน้อย

        นางจับหน้าอกที่หายใจไม่ออกแล้วค่อยๆ เดินถอยหลังทีละก้าว ไม่รู้เพราะเหตุใด ทันใดนั้นในใจก็นึกถึงชื่อของคนผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป… เยี่ยโยวเหยา

        ในสายตาของนาง เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้เดียวในโลกแห่งนี้ที่นางพึ่งพาได้

        ตอนนี้หากมีเขาอยู่ด้วยคงจะดีไม่น้อย

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ซูจิ่นซีถูกใครบางคนดึงตัวไว้อีกครั้ง จากนั้นก็เห็นยอดฝีมือทั้งหมดที่ติดตามนางมา ต่างก็ถือดาบของพวกเขาเข้าต่อสู้กับงูยักษ์ที่เริ่มอ้าปากใหญ่โจมตีอีกครั้ง

        แม้จะมีงูยักษ์เพียงตัวเดียว ทว่าการเคลื่อนไหวร่างกายของมันเป็นไปอย่างว่องไว ทรงพลังและมีพิษทั่วตัว เพียงสัมผัสเข้ากับของเหลวในร่างกายของมัน ก็จะทำให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเขียว และเน่าเปื่อยตาย

        “พระชายา นี่มันงูยักษ์ที่มีพิษร้ายแรง ท่านรีบคิดหาวิธีเร็วเข้า! ”

        มีคนกล่าวเตือนซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีตื่นจากความตกใจกลับมามีสติอีกครั้ง

        ระบบถอนพิษส่งเสียงเตือนถึงพิษของงูยักษ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

        หากรู้ว่าเป็นพิษชนิดใดก็สามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย ทว่าระบบถอนพิษไม่ทันสมัย และมีวัสดุยาไม่มากนัก มียาไม่เพียงพอสำหรับถอนพิษและจัดการกับงูพิษยักษ์!

        ซูจิ่นซีใช้โอกาสที่ผู้อื่นไม่สนใจ รีบนำวัตถุดิบยาที่จำเป็นออกมาจากระบบถอนพิษอย่างรวดเร็ว ทว่ายังขาดวัตถุดิบยาอีกสามอย่าง

        ยาชนิดที่หนึ่งคือเลือดในบ่อโลหิต ภายในสถานที่อยู่ของสิ่งมีพิษมักจะมียาถอนพิษรวมอยู่ในเจ็ดขั้นตอน โลหิตจากบ่อโลหิตนี้รองรับงูยักษ์ตลอดทั้งปีนับเป็นยาถอนพิษชั้นดี

        อีกอย่างหนึ่งคือผิวหนังของงูยักษ์ สิ่งนี้ก็สามารถเก็บได้

        ทว่ายังมีวัสดุยาอีกอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างห่วย นั่นก็คือหวาสือเฝิ่น เป็นวัสดุยาที่พบได้บ่อยมาก ทว่าที่ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีเก็บไว้นั้นได้ใช้จนหมดแล้ว

        “พระชายา ท่านรีบหน่อย! พวกเราแทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว! ”

        “พระชายา เร็วหน่อยพ่ะย่ะค่ะ! ”

        “พระชายา รับมือไม่ไหวแล้วจริงๆ ท่านรีบหน่อยเถิด! ”

        เสียงกระตุ้นดังขึ้น เมื่อมองดูเพื่อนร่วมทีมที่ล้มลงทีละคน ซูจิ่นซีก็เกลียดตนเองจนอยากตบตัวเองสักสองครั้ง

        ก่อนหน้านี้ที่วัดพุทธฝ่า ในคืนนั้นซูจิ่นซีว่างจนไม่มีอันใดทำ นางคิดว่าหวาสือเฝิ่นนั้นเป็นยาที่มีฤทธิ์ค่อนข้างเย็นและไม่ค่อยได้นำออกมาใช้ ดังนั้นนางจึงนำมันออกมาทำเป็นธูปหอมและใช้ไปจนหมดแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะต้องได้ใช้เร็วถึงเพียงนี้

        ในช่วงเวลาวิกฤติ นางได้ปล่อยโซ่รั้งขาหลัง

        “พระชายา ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่พ่ะย่ะค่ะ? ”

        “พระชายา ท่านยังกลัวอยู่ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

        “พระชายา ท่านรีบหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”

        พวกเขาจะควบคุมไม่ได้แล้วนะ!

        ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือต้องรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น [2] แล้ว ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลดีในช่วงที่ผ่านมา หวังว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรให้ครั้งนี้นางสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกครั้งเช่นกัน

        หลังจากที่ซูจิ่นซีสวดมนต์ขอพรพระพุทธสามครั้งในใจแล้ว นางก็ดึงกริชที่พกไว้ออกมาและกรีดนิ้วของตนเอง

        ไม่ผิดหรอก นางใช้โลหิตของตัวเองแทนหวาสือเฝิ่นชั่วคราว

        แม้จะไม่ทราบสาเหตุ ทว่าหลังจากที่เลือดของนางทำให้อาการพิษดูดเลือดของเยี่ยโยวเหยาดีขึ้นมาหลายครั้ง นอกจากนั้นมันยังช่วยชีวิตของฮองเฮาเอาไว้ได้ ซูจิ่นซีก็ค้นพบว่าเลือดของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ธรรมดา

        ในเมื่อก่อนหน้านี้สองสามครั้งต่างก็ใช้ได้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้ก็อาจใช้ได้เช่นกัน!

        ซูจิ่นซีไม่ลังเล นางหยดโลหิตของตนลงในยาที่เตรียมไว้ หลังจากคนให้ส่วนผสมเข้ากันแล้ว ซูจิ่นซีก็รีบส่งยาให้ทหารองครักษ์ที่ถูกพิษดื่มลงไป

        เกินไปแล้ว!

        คาดไม่ถึงว่าจะใช้ได้ผลจริงๆ

        แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผิวหนังเปื่อยเน่าจะหายได้ในทันที ทว่าบาดแผลที่กลายเป็นสีเขียวกลับกลายเป็นสีผิวปกติ

        รอยยิ้มพึงพอใจและมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูจิ่นซี นางหยดโลหิตของตนลงในยาอีกตัวหนึ่งซึ่งได้ผสมอย่างเท่าเทียมกัน แล้วโยนให้เพื่อนร่วมทีมผู้อื่นที่กำลังต่อสู้กับงูยักษ์

        “รับไป! หาทางให้งูยักษ์นั่นกินมันลงไป! ”

        “พ่ะย่ะค่ะ! พระชายา! ”

        ทหารองครักษ์รับยาของซูจิ่นซีได้อย่างแม่นยำ

        เพียงแต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่า เมื่อซูจิ่นซีโยนยาที่เตรียมไว้ให้กับทหารองครักษ์นั้น โลหิตหยดหนึ่งที่ไหลออกมาจากบาดแผลบนมือของนางก็ถูกสะบัดออกไปด้วย มันตกลงไปในบ่อโลหิตที่มีดอกปี่อั้นสีโลหิตอยู่

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset