สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 39 ไม่รู้มารยาทแย่ที่สุด

        “ออกไป! ” ซูจิ่นซีโกรธมาก

        “พี่สะใภ้ สรุปแล้วท่านสามารถรักษาโรคของเสด็จป้าให้ดีขึ้นได้หรือไม่? หากรักษาไม่ได้ก็อย่าพยายามเลยเพคะ”

        “ออกไป! ”

        ซูจิ่นซีต้องการปกปิดความจริง สุดท้ายความจริงกลับเปิดเผยชัดเจนเสียยิ่งกว่าเดิม

        เว่ยเหม่ยเจียเม้มปาก ไม่กล้าพูดกระไรแล้ว หันหลังเดินออกไป ทว่าไม่ได้ปิดประตู ทุกคนล้วนสามารถมองเห็นว่าซูจิ่นซีกำลังกระทำสิ่งใดอยู่

        ซูจิ่นซีแสร้งทำเป็นเทน้ำลงในแก้วที่ไม่ได้ทำความสะอาดแล้วให้เฉินไท่เฟยดื่มลงไป หลังจากนั้นก็ฝังเข็มที่ต้นคอของเฉินไท่เฟยหลายจุด

        ภายใต้สายตาของทุกคนมือของเฉินไท่เฟยขยับแล้ว และค่อยๆ ลืมตาขึ้น

        “เสด็จป้า ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว! เหม่ยเจียตกใจแทบแย่เพคะ! ”

        เว่ยเหม่ยเจียวิ่งร้องไห้เข้าไป

        ซูจิ่นซีหันกลับมา ส่งแววตามองเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านนอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

        เมื่อเยี่ยโยวเหยารู้ว่าเฉินไท่เฟยไม่ได้เป็นกระไรหนักแล้วจึงลุกขึ้นจะเดินจากไป

        เฉินไท่เฟยพยายามต่อสู้ดิ้นรนลุกจากเตียงทันที นัยน์ตามีความหวังและตะโกนว่า “โยวเหยา! ”

        เยี่ยโยวเหยาหยุดการก้าวเดิน ทว่าไม่ได้หันกลับมา “เสด็จแม่พึ่งจะฟื้นขึ้นมา ไม่เหมาะที่จะถูกรบกวนจากผู้คนจำนวนมาก ดูแลพระวรกายของท่านให้ดี ข้าจะมาเยี่ยมท่านอีกทีในวันหลัง”

        “โยวเหยา เจ้ายังตำหนิแม่อยู่อีกหรือ? ”

        เยี่ยโยวเหยาไม่ตอบคำถามของเฉินไท่เฟย และพูดอย่างเย็นชา “ซูจิ่นซี ยังไม่มาอีก! ”

        ซูจิ่นซีรีบตอบรับ “เพคะ ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละเพคะ! ”

        ก่อนที่จะจากไปนางก็ไม่ลืมที่จะยิ้มให้แม่สามีอย่างสร้างสัมพันธ์ “เสด็จแม่ พิษกระดูกในตัวท่าน หม่อมฉันได้ถอนไปเกือบหมดแล้วเพคะ ทว่ายังคงมีพิษหลงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยที่ไม่สามารถขับออกมาได้หมด จะต้องฝังเข็มอีกสักสองถึงสามครั้งเพคะ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปหม่อมฉันจะมาฝังเข็มให้เสด็จแม่ทุกวัน ใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เสด็จแม่ก็จะสามารถลงจากเตียงมาลองเดินดูได้แล้ว หม่อมฉันขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันวันพรุ่งนี้นะเพคะ”

        หลังจากพูดจบ นางก็โบกมือให้เฉินไท่เฟยอย่างมั่นใจในตนเอง และวิ่งออกจากประตูเดินตามหลังเยี่ยโยวเหยาไป

        พิษกระดูก หลังจากเจ็ดวันก็จะสามารถลงจากเตียงลองเดินได้แล้วหรือ?

        คำพูดพวกนี้สำหรับเฉินไท่เฟยแล้ว ไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นางที่พึ่งจะฟื้นขึ้นมาจึงยังไม่ทันได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

        “ซูจิ่นซีเมื่อครู่นางพูดว่าอย่างไรนะ? ”

        เฉินไท่เฟยถามเว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ด้านข้าง

        เรื่องของพิษกระดูกเว่ยเหม่ยเจียก็ไม่รู้อะไรมากมัก นางรู้แค่ว่าหมอหลวงฉู่สั่งยาผิดทำให้เฉินไท่เฟยติดพิษ ซูจิ่นซีใช้บัวหิมะเทียนซานกับเฉินไท่เฟยเพื่อถอนพิษ สาเหตุที่เฉินไท่เฟยทำไมถึงลงจากเตียงแล้วสามารถเดินได้ นางก็ยิ่งไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

        “เสด็จป้า ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้สติปัญญาใช้การไม่ได้ บ้าๆ บอๆ บางครั้งก็เอ่ยสิ่งที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ทำให้คนสับสนงงงวย ท่านอย่าได้ใส่ใจเลยเพคะ”

        เฉินไท่เฟยคิดว่าซูจิ่นซีสติปัญญาใช้การไม่ได้จริงๆ ถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา นางจึงไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก

        เฉินไท่เฟยจับมือเว่ยเหม่ยเจีย “เกิดในวงศ์กษัตริย์ ไม่อาจทำตามใจตนเองได้ เสด็จพี่ของเจ้าอภิเษกกับซูจิ่นซีผู้โง่เขลานี้ก็เป็นชะตากรรมของชีวิตกษัตริย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เว่ยเหม่ยเจียเจ้าอย่าได้ถือสาเลย ในใจของป้ามองเจ้าเป็นลูกสะใภ้ตั้งนานแล้ว ตราบใดที่ป้ายังอยู่ จะต้องให้เจ้าได้ตำแหน่งชายาโยวอ๋องอย่างแน่นอน”

        ดวงตาทั้งสองของเว่ยเหม่ยเจียแดงก่ำ นางก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย ดวงตาเต็มไปด้วยความสุข “เหม่ยเจียจะเชื่อฟังเสด็จป้าเพคะ”

        ทางกลับจวนโยวอ๋อง ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาอยู่ในรถม้าคันเดียวกันอีกครั้ง คราวนี้ซูจิ่นซีไม่รู้สึกประหม่าเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว

        หลายครั้งที่ซูจิ่นซีต้องการชักชวนให้เยี่ยโยวเหยาปฏิบัติต่อเฉินไท่เฟยดีสักหน่อย เพราะสุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเขา เฉินไท่เฟยคงเสียใจมากที่เขาปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาเช่นนั้น ทว่าหลายครั้งที่คำพูดนั้นติดอยู่ที่ริมฝีปาก ซูจิ่นซีกลับคิดว่าตนเองยุ่งไม่เข้าเรื่องเสียแล้ว จึงกลืนมันกลับไป

        “มีกระไรจะพูดก็พูดออกมา! ”

        เยี่ยโยวเหยามองผ่านความคิดของซูจิ่นซี ทันใดนั้นก็พูดอย่างเย็นชา

        “ท่านอ๋อง มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่เพคะ”

        ซูจิ่นซีทดสอบทัศนคติของเยี่ยโยวเหยา

        “ไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่ ก็ไม่ต้องพูด! ”

        ทัศนคติของเยี่ยโยวเหยาถูกแยกแยะอย่างเป็นระเบียบและไม่แยแสสิ่งใด

        “เพคะ! ”

        ซูจิ่นซีตอบกลับด้วยความผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็เงียบปากไปจริงๆ ไม่คิดที่จะเกลี้ยกล่อมเขาแล้ว นางเอนกายพิงรถม้าอย่างเบื่อหน่ายหันมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง

        เยี่ยโยวเหยาเหลือบตาขึ้นมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างอธิบายไม่ได้ และก่อนที่ซูจิ่นซีจะหันศีรษะกลับมา เขาก็ก้มหน้าลงอ่านตำราในมือต่อไปทันที

        รถม้าหยุดที่หน้าประตูจวนโยวอ๋อง ทุกครั้งซูจิ่นซีจะรอให้เยี่ยโยวเหยาลงจากรถม้าเสียก่อนนางจึงจะลงตามไป ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ทว่ารถม้าหยุดอยู่นานแล้ว เยี่ยโยวเหยากลับไม่ได้ขยับเลย

        “ลงรถ! ”

        เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างเย็นชา

        “ท่านอ๋องไม่คิดที่จะกลับจวนหรือเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีถามขึ้น ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงก้มหน้าของเขาลงอ่านตำราในมือ ไม่เงยหน้าขึ้นมองและไม่สนใจซูจิ่นซีเลยแม้แต่น้อย

        ซูจิ่นซีรู้ว่าตนเองกับเยี่ยโยวเหยาเป็นสามีภรรยาเพียงในนาม ไม่มีสิทธิ์ที่จะถามเรื่องของเยี่ยโยวเหยา นางไม่ได้โกรธอันใดเช่นกัน จึงลงมาจากรถม้า

        ทันทีที่ลงจากรถซูจิ่นซียังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคงด้วยซ้ำ เยี่ยโยวเหยาก็สั่งให้คนขับรถม้าออกตัวไป หากไม่ใช่เพราะว่าซูจิ่นซีหลบได้ทัน รถม้าคันนั้นอีกเพียงนิดก็อาจชนเข้ากับร่างของนางเสียแล้ว

        ให้ตายเถอะ โลกนี้มีคนวิปริตถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?

        อาศัยจุดยืนและอำนาจที่สูงส่งของตนเอง ยโสโอหัง ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา กระทั่งมองว่าชีวิตผู้อื่นเป็นเพียงแค่ผักปลา?

        ตรงไหนเล่าที่เป็นปมเรื่อง นี่มันก็แค่นิสัยที่เป็นปมด้อย

        ทว่าคำพูดเหล่านี้เมื่อถูกกดขี่ ซูจิ่นซีจึงสามารถพูดได้เพียงในใจของนางเท่านั้น ถึงอย่างไรตอนนี้นางเองก็อยู่ใต้รั้วจวนโยวอ๋องหากคำพูดเหล่านี้ถูกพูดต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาจริงๆ แล้วละก็ ไม่แน่ว่าเรือนอวิ๋นไคที่สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยก็อาจมลายหายสิ้น

        ซูจิ่นซีที่อยู่ในโลกนี้ก็เป็นเหมือนดั่งหยดน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร นางจะมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องให้ท่านอ๋องที่มีอำนาจเหนือผู้คนทุกชนชั้นปฏิบัติตนอย่างสุภาพกับนางเล่า?

        ซูจิ่นซีมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่เอ่ยสิ่งใด นางถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก ก่อนจะเดินเข้าไปในจวนโยวอ๋อง

        ทว่านางไม่ทันได้เห็นว่า ในขณะนั้นเองคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาที่ประทับอยู่บนรถม้าจะเปิดม่านออกมามองดูนางที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนอ๋องโยวกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่พูดไม่จา มุมปากของเขาแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

        รอยยิ้มนั้นนับว่าไม่ได้สดใสมากนัก ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องหน้าตาบูดบึ้งผู้นี้ยิ้มได้ในรอบหลายปี เพียงพอที่จะทำให้อารมณ์หมองมัวสลายหายไป

        หากภาพฉากนี้ของเยี่ยโยวเหยาถูกทหารใต้บังคับบัญชาเห็นเข้า จะต้องทำให้พวกเขาตกใจจนอ้าปากค้างอีกครั้งอย่างแน่นอน

        บุรุษผู้มีเล่ห์เหลี่ยมพร้อมใช้ชีวิตได้อย่างเด็ดเดี่ยว ราชาปีศาจผู้มีใบหน้าเย็นชาน่าสะพรึงที่ต่างทำให้ผู้คนที่ได้ฟังถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ คาดไม่ถึงว่าก็สามารถที่จะยิ้มได้เช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นเมื่อยิ้มขึ้นมาแต่ละครั้งก็ยังรูปงามอย่างหาที่เปรียบมิได้

        ซูจิ่นซีเข้าไปที่เรือนชิงโยว ลวี่หลีกับแม่นมฮวาต่างออกมาต้อนรับนางที่หน้าเรือนอวิ๋นไค

        เป็นเวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ลวี่หลีเป็นห่วงเสียจนร้องห่มร้องไห้ไปหลายรอบทีเดียว

        “คุณหนู ข้าน้อยเป็นห่วงท่านจะตายแล้วเจ้าค่ะ อาการของไท่เฟยเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ร้ายแรงหรือไม่? ท่านอ๋องได้ทำให้ท่านลำบากใจหรือไม่เจ้าคะ? ให้ข้าน้อยกลับไปที่จวนรายงานนายท่านให้คิดหาทางดีหรือไม่เจ้าคะ? ”

        ซูจิ่นซีรู้สึกขอบคุณสำหรับความห่วงใยของลวี่หลี ในเวลาเดียวกันก็คิดว่าสตรีนางนี้ก็น่ารักทีเดียว

        เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในจวน หากซูจ้งเป็นห่วงบุตรสาวผู้นี้อย่างแท้จริง จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะถูกฮูหยินและพี่สาวน้องสาวในจวนรังแกเล่า? ในเมื่อแต่ก่อนไม่แยแสสนใจ บัดนี้บุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดทิ้งไป นางยิ่งไม่อยู่ในใจบิดาเสียด้วยซ้ำ

        การขอความช่วยเหลือจากครอบครัว ก็เท่ากับเป็นการดูถูกสร้างความอับอายให้แก่ตนเอง

        “ไม่เป็นไร วางใจเถิด! ไท่เฟยไม่ได้เป็นอันใดมากแล้วละ”

        “จริงหรือเจ้าคะ? ” ลวี่หลีดีใจจนใกล้จะกระโดดอยู่รอมร่อ “คุณหนู ท่านลำบากมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว เหนื่อยมากเลยใช่ไหมเจ้าคะ? ข้าน้อยจะไปเตรียมน้ำร้อนให้คุณหนูชำระล้างร่างกายนะเจ้าคะ” ลวี่หลีพูดแล้ว ก็วิ่งไปที่ห้องครัวต้มน้ำร้อน วิ่งจนแม้แต่เงาก็ยังมองไม่ทัน

        แม่นมฮวาได้ยินว่าซูจิ่นซีไม่ได้เป็นอันใด ที่เป็นกังวลมาหนึ่งวันหนึ่งคืนสุดท้ายก็วางใจแล้ว นางยิ้มร่าขึ้น “พระชายาเพคะ น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมของท่าน ข้าน้อยตุ๋นไว้ให้นานแล้วเพคะ กำลังอุ่นบนเตาร้อนๆ เลยเพคะ! ท่านจะเสวยตอนนี้หรือเสวยหลังจากสรงน้ำดีเพคะ? ”

        น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมอีกแล้วหรือ…

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset