สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 44 หลานชายน้อยเรียนมารยาทกับอาสะใภ้

        ทันทีที่ซูจิ่นซีออกมาจากวังวั่นโซ่วก็เดินไปรอบๆ สวนของฮ่องเต้ นางเดินไปเรื่อยๆ เจอเข้ากับขันทีหลายคน ขันทีชราที่มีผมและคิ้วสีขาวให้ความเคารพนางอย่างมาก “หม่อมฉันคารวะพระชายาอ๋อง! พระชายาอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรอท่านอยู่ที่ตำหนักจ้งหวาหลายชั่วยามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

        ตำหนักจ้งหวาเป็นที่ประทับของฮองเฮา ฮ่องเต้อยู่ตำหนักของฮองเฮาแล้วเรียกพบข้า?

        ทว่าครั้งนี้ที่นางเข้าวังก็เป็นเพราะถูกไทเฮาเรียกนี่!

        ไทเฮาฉลาดที่เรียกนางเข้าพบแล้วฆ่านางอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับเยี่ยโยวเหยาไม่ค่อยดีเท่าไร ผู้ใดจะรู้ว่าสิ่งใดกำลังรอนางอยู่ในตำหนักจ้งหวานั้น

        ซูจิ่นซีรู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่มายังพระราชวังแห่งนี้ หากรู้เร็วกว่านี้คงจะแกล้งป่วยไม่ก็หาเหตุผลเพื่อปฏิเสธแบบอ้อมๆ แล้ว

        “พระชายาอ๋อง เชิญเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ขันทีผู้นั้นพูดย้ำอีกครั้ง

        ศีรษะของซูจิ่นซีหันอย่างรวดเร็วและทันใดนั้นก็กระแอมไอสองครั้ง “กงกง [1] รู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทเรียกข้าพบกะทันหันด้วยเรื่องอันใดหรือ? วันนี้ข้าไม่ค่อยสบาย กลัวจะเสี่ยงกระทบฝ่าบาท มิเช่นนั้นเปลี่ยนวันเข้าวังเพื่อพบพระองค์ดีหรือไม่เล่า? ”

        กระไรนะ?

        ฮ่องเต้เรียกพบ ในฐานะข้าราชบริพาร คาดไม่ถึงว่ายังมีการเลือกวันอีกด้วย

        ขันทีสองสามคนที่อยู่ด้านหลังกงกงปิดปากเงียบกริบ ยิ้มเหน็บแนม

        เป็นอย่างที่คิดไว้ว่าพระชายาโยวอ๋องเกิดมาจากสกุลที่มีฐานะต่ำต่อย ไม่เคยเจอโลกแท้จริงในสังคม แล้วก็ไม่สามารถขึ้นไปบนจุดสูงสุดได้เช่นกัน!

        แม้ว่าในตอนแรกกงกงผู้นั้นจะไม่หัวเราะเยาะซูจิ่นซีเหมือนขันทีผู้อื่น ทว่าก็แสดงใบหน้าที่จริงจังและยืนสงบอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของซูจิ่นซีอย่างไรอย่างนั้น

        ซูจิ่นซีรู้ว่าอย่างไรวันนี้ก็หนีไม่พ้น สิ่งใดควรจะเกิดมันก็ต้องเกิด นางหายใจเข้าลึกๆ “เอาเถิด! กงกง ท่านนำทาง! ”

        เดินไปได้เพียงสองก้าว กงกงก็หันมาทันใด “พระชายาหากร่างกายป่วยและกลัวเสี่ยงกระทบต่อฝ่าบาท ท่านใช้ผ้าเป็นที่กำบังจมูกและปากก็พอ ขอเพียงแค่เมื่อเข้าพบฝ่าบาท พระชายาอธิบายกับฝ่าบาทให้ชัดเจน ฝ่าบาทก็จะไม่โทษท่านอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

        ซูจิ่นซีพยักหน้า ดึงผ้าไหมสีขาวบางที่ไม่มีฝุ่นละอองเปื้อนออกมาจากแขนเสื้อ และคลุมไว้ที่ใบหน้าของตนเอง

        ใช้เวลาประมาณสองถ้วยชา ซูจิ่นซีก็ถูกพาเข้ามาในราชวังรโหฐาน กำแพงสูงตระหง่านที่ปากประตูทางเข้าถูกแกะสลักเป็นรูปหงส์สยายปีก ซูจิ่นซีรู้ว่าตำหนักจ้งหวานี้ก็คือที่ประทับของฮองเฮา

        ซูจิ่นซีกำลังตามขันทีเฒ่าหนวดขาวไปที่ประตู ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นยะเยือกในระยะไกลสะท้อนกลับมา “ไท่จื่อเสด็จ ผู้ไม่เกี่ยวข้องโปรดหลีกทาง”

        ซูจิ่นซีเดินตามเสียงนั้นไป มองเห็นเหล่าทหารองครักษ์มาดดีมีราศีจากหัวมุมไกลๆ อย่างที่คิดไว้ ซูจิ่นซีมองเห็นชายรูปงามหรูหรานั่งอยู่บนเกี้ยวที่มีชายร่างสูงสี่คนแบกอยู่ ดวงตาสองข้างของนางหรี่ลงเล็กน้อย

        เยี่ยเซินไท่จื่อ เจอกันอีกแล้ว!

        โลกนี้มันกลมจนศัตรูมักจะโคจรมาพบกันสินะ!

        เมื่อครั้งที่แล้วนางยังจำได้ดี ในตอนก่อนที่ซูจิ่นซีในยุคปัจจุบันจะข้ามภพมา ซูจิ่นซีผู้โง่เขลาเจ้าของร่างเดิมนั้นยังไม่มีสติปัญญาที่แจ่มชัด

        ตอนนั้นต่อหน้านาง ชายผู้นี้กับซูเซียนฮุ่ยพี่สาวต่างมารดาสมคบคิดร่วมกัน พวกเขามัดมือทั้งสองข้างของนางไพล่หลังติดกับเสาไว้ที่ห้องผุพังในสวนหลังจวน บังคับให้นางบอกที่อยู่ของหยกกิเลน

        แม้ว่าจะกลายเป็นเถ้าถ่าน ซูจิ่นซีก็ไม่สามารถที่จะลืมความใกล้ชิดสนิทสนมซาบซึ้งกินใจในตอนนั้นของเยี่ยเซินกับซูเซียนฮุ่ยได้

        ตอนนั้นเยี่ยเซินยังเป็นคู่หมั้นของนางในอนาคตอีกด้วย!

        ความไว้วางใจที่สุดในวันเวลาที่นางใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสาตอนนั้น “เสี่ยวเซียงกง” ก็คือที่พึ่งพาสุดท้ายของนางเช่นเดียวกัน

        คนหนึ่งเป็นที่พึ่งที่นางไว้ใจที่สุด อีกคนเป็นญาติสนิททางสายเลือด คาดไม่ถึงว่าพวกเขาปฏิบัติต่อนางอย่างโหดร้ายถึงเพียงนั้น และยิ่งกว่านั้นยังทำเรื่องที่อัปยศอดสูต่อหน้านางอีกด้วย

        เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซูจิ่นซียืดอกเงยหน้า ยืดร่างกายให้ตรงและมองไปยังเยี่ยเซินที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ นางเอามือซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อที่กว้างและกำมือแน่น จนเล็บของนางจิกลงไปในเนื้อ

        “กล้ามาก พบหน้าไท่จื่อทำไมไม่คุกเข่า เจ้าเป็นผู้ใดกัน คิดจะกบฏหรือ? ”

        ซูจิ่นซีถูกคนผลักอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นนางก็ได้สติขึ้นมา พบว่าก่อนหน้านี้ที่นางไม่ได้สติ เยี่ยเซินได้ลงมาจากเกี้ยวของเขาแล้ว และเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าของนาง ผู้ที่ผลักนางเมื่อครู่เป็นองครักษ์ข้างกายของเยี่ยเซินผู้หนึ่ง ขันทีเฒ่าหนวดขาวด้านหลังของนางและขันทีคนอื่นๆ ล้วนคุกเข่าลงกับพื้น

        ซูจิ่นซีหรี่ตาของนางลง ไม่แสดงอาการอ่อนแอใดๆ แม้แต่น้อย

        “ไท่จื่อ นี่พึ่งผ่านไปไม่กี่วัน ท่านถึงขนาดที่ว่าข้าเป็นผู้ใดก็จำไม่ได้เลยหรือเพคะ? ”

        ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของเยี่ยเซินจะไม่รูปงามเท่ากับความงามที่หาตัวจับยากอย่างเยี่ยโยวเหยา ทว่าก็ถือว่าโตมาหล่อเหลาทีเดียว ควบคู่กับความยิ่งใหญ่และศักดิ์ศรีของคนที่อยู่ในวังหลวง คารมก็ยังดีเป็นที่หนึ่ง

        หลังจากที่เขาประสานมือทั้งสอง ยืนอย่างหยิ่งยโส คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ตาของซูจิ่นซี เยี่ยเซินก็ไม่มองแม้แต่น้อย

        “เจ้านี่เป็นสิ่งเลวทรามต่ำช้ามาจากที่ใด กล้าดีอย่างไรคิดเพ้อเจ้อกับไท่จื่อเช่นนั้น? เพียงแต่ว่าวันนี้ไท่จื่ออารมณ์ดี ไม่ถือโทษที่เจ้าหยาบคาย มาทางไหนก็ไสหัวออกไปทางนั้น ไปให้พ้นจากหน้าข้า”

        ถึงแม้ว่าจะมีผ้าคลุมใบหน้าที่บางราวกับปีกจักจั่นผืนนี้กั้นไว้ ทว่าซูจิ่นซีเชื่อว่า เยี่ยเซินจะต้องจำนางได้อย่างแน่นอน ทว่าท่าทางของเขาในตอนนี้นั้น ไม่ได้มีนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

        ซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ มือของนางกำแน่น ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอ่อนโยนและสดใส “ไท่จื่อไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็นองค์รัชทายาท หรือว่าท่านอาจารย์ของไท่จื่อก็อบรมสั่งสอนมารยาทท่านเช่นนี้เล่า? ข้าคิดว่าตำแหน่งท่านอาจารย์นี้ก็ควรจะเปลี่ยนเช่นกัน ไท่จื่อ ท่านจำให้ดีนะเพคะ ข้าเป็นอาสะใภ้ของท่าน เป็นพระชายาในโยวอ๋องเสด็จอาของท่านอย่างถูกต้อง ท่านพบข้าก็ควรที่จะเคารพผู้อาวุโสกว่า เพียงแต่ว่าวันนี้ถือว่าเป็นความผิดครั้งแรก อาสะใภ้ไม่อยากจะโต้เถียงกับท่านให้มากความ เพียงแต่หลานอย่างท่านเรียนรู้ได้รวดเร็ว แล้วรู้จักมารยาทเพิ่มเติมในสิ่งที่ขาดไปก็เป็นพอ”

        “ซูจิ่นซี เจ้าพูดว่าอันใดนะ? คิดจะกบฏหรือ? ”

        เยี่ยเซินโกรธมาก หันกลับมาต่อว่าโดยพลัน

        เขาเองคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมาได้

        “อย่างไรเพคะ? ไท่จื่อ แม้แต่เด็กน้อยอายุสามขวบยังสามารถรู้จักมารยาท สำหรับท่านที่เป็นองค์รัชทายาทของประเทศนี้มันยากมากหรือ? หากอาสะใภ้สอนท่านแล้ว ท่านยังเรียนไม่ได้ดี วันนี้อาสะใภ้ก็รับปากท่านแล้วมิใช่หรือ? ”

        บนใบหน้าของซูจิ่นซียิ้มอย่างไม่คิดร้าย ทว่าคำพูดกลับเต็มไปด้วยการประชดประชัน

        เยี่ยเซินเกิดเป็นองค์รัชทายาท โตขนาดนี้ นอกจากถูกพระบิดาตำหนิแล้ว ยังไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจากับเขาเช่นนี้อีก

        ซูจิ่นซีนี่เก่งกล้าที่จะข้ามหัวเกินไปหน่อยแล้ว!

        ร่างกายเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ด้วยใบหน้าเย็นชาที่อันตราย เขาก้าวเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีทีละก้าวๆ

        “วันนี้ข้าอยากจะดูเสียหน่อย ซูจิ่นซีถึงอย่างไรเจ้าก็จะไม่ยอมรับขนบทำเนียมใช่หรือไม่! ”

        เมื่อได้พบเจอความหนาวเย็นและความชั่วร้ายของเยี่ยโยวเหยามาก่อน การแสดงออกที่เย็นชาของเยี่ยเซินเช่นนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน และยังไม่ได้สำคัญสำหรับนางเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้น ความเย็นชาของเยี่ยเซินกับเยี่ยโยวเหยายังอยู่ห่างกันหลายพันหลายหมื่นลี้ ในแง่ของรูปลักษณ์ แม้ว่าเยี่ยเซินจะไม่เลว ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรูปลักษณ์ของเยี่ยโยวเหยาที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้แล้วนั้น แม้แต่เท้าของของเยี่ยโยวเหยาเขาก็ยังเทียบไม่ได้ ทว่าจะทำให้ได้อย่างเยี่ยโยวเหยา เยี่ยเซินยังต้องเรียนรู้รูปแบบวิธีแสดงออกอย่างเย็นชา น่ารังเกียจสะอิดสะเอียนให้มากกว่านี้อย่างยิ่ง

        “ไท่จื่อ โปรดระวังด้วย ตอนนี้ข้าเป็นถึงอาสะใภ้ของเจ้า”

        ซูจิ่นซีสับหลีกไปได้อีกขั้น

        ทว่าคำพูดต่อไปของเยี่ยเซินอาจกล่าวได้ว่าจะทำให้ซูจิ่นซีแค้นเคืองอย่างถึงที่สุด เขากลอกตาและพูดว่า “รองเท้าขยะพังๆ คู่หนึ่งที่ข้าไม่ต้องการ ถูกผีอายุสั้น คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง เก็บกลับไป คาดไม่ถึงว่ารนหาที่ตายคิดจะมาเหยียบหัวของข้า เจ้าคู่ควรหรือ? ”

        ว่าซูจิ่นซีเป็นขยะ? ยังว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นผีอายุสั้น?

        เยี่ยเซิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพิษบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยาได้ถูกควบคุมไว้แล้ว ในไม่ช้า ขอเพียงแค่เยี่ยโยวเหยาพบวัตถุดิบยาที่นางต้องการ พิษพื้นฐานธรรมดาๆ ก็สามารถที่จะถอนได้แล้ว

        ซูจิ่นซีพยายามระงับความโกรธของนาง หรี่ตาจ้องไปที่ชายร่างสูงข้างหน้านางโดยไม่พูดอะไร

        เยี่ยเซินคิดว่าเขาทำให้ซูจิ่นซีอับอายขายหน้าได้สำเร็จ จึงอารมณ์ดีมาก เขาเงยหน้าและหัวเราะสองครั้ง

        “ซูจิ่นซี เจ้าก็ไม่คิดหน่อยหรือว่าเจ้าเองเป็นสินค้าอันใด คนโง่คนหนึ่งหรือว่าเป็นขยะที่มาจากสกุลซู หากข้าเป็นเจ้า คงจะอยู่แต่ในจวนไม่กล้ามาแล้ว หลีกเลี่ยงที่จะทำให้เป็นความอัปยศต่อเสด็จอาข้าให้ขายหน้าวันละห้าเบี้ย [2] อย่างไรเล่า ฮ่าฮ่าฮ่า! ”

        “เพี๊ยะ! ”

        ซูจิ่นซีง้างมือตบลงไปที่หน้าของเยี่ยเซินอย่างรุนแรง

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset