ซูจิ่นซีเข้าใจดีว่าเพื่อที่จะตอบโต้เว่ยเหม่ยเจีย นางใช้ยาที่สามารถบรรเทาพิษในร่างกายของเยี่ยโยวเหยามาเป็นข้อตกลงในการแลกเปลี่ยน ดังนั้นเยี่ยโยวเหยาจึงได้ร่วมมือกับนางแสดงละครฉากนั้นตอบโต้
และในตอนนี้ เยี่ยโยวเหยาก็ได้รับยาไปแล้ว ผู้ใดจะทราบว่าหากทำอันใดให้บุรุษผู้นี้ไม่พอใจ เขาอาจกระทำสิ่งใดขึ้นมาก็เป็นได้
ซูจิ่นซีรับรู้ถึงอันตรายและแรงกดดัน นางไม่กล้ากระทำอีกเป็นหนที่สอง เมื่อแลบลิ้นปลิ้นตาเสร็จก็มานั่งบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟังเป็นที่สุด
เยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับอย่างเย็นชาแล้วไปนั่งข้างซูจิ่นซี
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองเมื่อครู่ถูกร่างกายของเยี่ยโยวเหยาบังไว้ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมองเห็น
เมื่อทั้งสองคนนั่งลง ผู้คนต่างมองไปยังพวกเขาที่เหมาะสมกันดั่ง ‘กิ่งทองใบหยก’ เฉินไท่เฟยโกรธแค้นแทนเว่ยเหม่ยเจียผู้เป็นที่รักจนลุกขึ้นมา
“โยวเหยา แม่ถามเจ้าอยู่นะ! เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่แม้แต่จะเลิกคิ้ว เขาหยิบชาที่อยู่ด้านข้างแล้วจิบช้าๆ “นอกเสียจากจะทำให้นางอับอายแล้ว เสด็จแม่เรียกนางมาไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
ความหมายคือถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วเขาจะได้พาซูจิ่นซีออกไปจากที่นี่
แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะเคยเฉยเมยต่อหน้าเฉินไท่เฟยมาก่อน ทว่าเขาก็ไม่เคยพูดตรงๆ เช่นนี้
เดิมทีก็โกรธอยู่แล้ว บัดนี้เฉินไท่เฟยยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “โยวเหยา เจ้าพูดอันใดของเจ้า? นี่เป็นคำพูดที่เจ้าพูดกับมารดาหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาสนใจเพียงดื่มชา ไม่ตอบกลับคำพูดของเฉินไท่เฟยและไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว
บุตรชายจวนนี้แท้จริงไม่สนใจสิ่งใดและยังเย่อหยิ่งโดยกำเนิด! กระทั่งกับมารดาผู้ให้กำเนิดแท้ๆ ยังเย็นชาได้ถึงเพียงนี้
ความเข้าใจเช่นนี้ผ่านเข้ามาในหัวของซูจิ่นซี ทว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่เคยสนใจเกี่ยวกับความเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาที่มีต่อตัวนางเองมากนัก
การปลอบใจตนเองของเว่ยเหม่ยเจียนั้นรวดเร็วมาก ทันใดนั้นก็กระทำราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางยิ้มและเดินไปที่ด้านข้างของเฉินไท่เฟย
“เสด็จป้าท่านอย่าโกรธพี่สะใภ้นักเลยเพคะ พี่สะใภ้พึ่งเคยมาที่ตำหนักหนานย่วนเป็นครั้งแรก มีกฎระเบียบมากมายที่ยังไม่เข้าใจ ทว่าต่อไปยังสามารถค่อยๆ เรียนรู้จากท่านได้! ท่านลืมแล้วหรือ? พี่สะใภ้มาวันนี้เพื่อถวายน้ำชาให้ท่านนะเพคะ! ”
เว่ยเหม่ยเจียพูดไปก็ตบหลังมือของเฉินไท่เฟยอย่างแผ่วเบาไปด้วย
ซูจิ่นซียักคิ้วขึ้นสามครั้ง มองไปที่เว่ยเหม่ยเจีย
นี่มันข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงใช่หรือไม่เล่า?
แมลงสาบนี่ฆ่าไม่ตายจริงๆ
ซูจิ่นซีอยู่เฉยๆ ก็โดนโจมตีเช่นนี้? เกี่ยวข้องอันใดกับนางหรือไม่?
เฉินไท่เฟยเหมือนคิดอะไรได้ก็ตบหลังมือของเว่ยเหม่ยเจียเบาๆ
นางพูดกับซูจิ่นซีด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากนี้ก็พยายามเรียนรู้หน่อยแล้วกัน อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เข้ามาเป็นคนในวังแล้วก็ต้องเข้าใจกฎของวังเพื่อที่จะไม่ให้โยวเหยาและข้าเสียหน้า เข้าใจหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีคิดว่าตนเองไม่ผิด ทว่านางก็ยังคงคำนับเฉินไท่เฟย
“เสด็จแม่ หม่อมฉันจะจดจำไว้เพคะ!”
ตามกฎแล้ว ซูจิ่นซีควรมาถวายน้ำชาให้แม่พระสวามีหรือเฉินไท่เฟยในวันที่สองของการอภิเษกสมรส ทว่าซูจิ่นซีที่กระดูกซี่โครงหักไปสองซี่ในตอนนั้น ต้องนอนอยู่บนเตียงลุกไม่ได้เป็นเวลานาน ทว่าในเวลานี้นางได้เดินทางมาที่ตำหนักหนานย่วน เช่นนั้นนางก็ควรจะถวายน้ำชาตามกฎ
เว่ยเหม่ยเจียให้นางกำนัลขึ้นมารินน้ำชาสองแก้ว
“เสด็จแม่เชิญดื่มชา”
เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้นำในการนำถ้วยชาถวายเฉินไท่เฟยและเฉินไท่เฟยก็ดื่มด้วยความพึงพอใจ
ต่อมาแก้วที่เหลืออีกหนึ่งใบจึงต้องเป็นซูจิ่นซีนำไปถวายให้เฉินไท่เฟย
ทว่าระบบถอนพิษเตือนซูจิ่นซีขึ้นมา แก้วน้ำชาที่นางต้องถวายนั้นมียาสลบอยู่ในแก้ว และยังเป็นยาที่มีประสิทธิภาพรวดเร็ว เมื่อดื่มเข้าไปจะสลบทันทีแต่ยานั้นเป็นยาที่มีคุณภาพต่ำมาก
สิ่งแรกที่ซูจิ่นซีนึกถึงคือการกระทำก่อนหน้านี้ของเฉินไท่เฟยและเว่ยเหม่ยเจียที่ลอบตบมือให้กัน เมื่อเป็นเช่นนี้หัวคิ้วซูจิ่นซีก็ชนกันทันที
รู้สึกว่าเฉินไท่เฟยผู้นี้ เพื่อที่จะจัดการนางถึงขึ้นยอมเสียสละตนเองเลยหรือนี่!
ซูจิ่นซีคร่ำครวญอยู่ภายในใจ ซูจิ่นซีหนอซูจิ่นซี เจ้านี่มีคนเกลียดกี่คนกันแน่!
ทว่าในไม่ช้าซูจิ่นซีก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันในใจ
เฉินไท่เฟยผู้ไร้เดียงสา เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ายาสลบนี้มันจะไม่สามารถฆ่าคนได้ ?
“เสด็จแม่เชิญดื่มชา! ”
ซูจิ่นซีเรียนแบบอย่างที่เยี่ยโยวเหยารินชาให้เฉินไท่เฟย
เฉินไท่เฟยหยิบถ้วยชาขึ้นมาและเหลือบมองไปที่เว่ยเหม่ยเจีย เว่ยเหม่ยเจียพยักหน้าให้ดื่มชาโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด
การกระทำนี้ถูกซูจิ่นซีเห็นเข้าด้วยหางตา ทว่านางก็ไม่ได้กระทำหรือพูดอันใดออกมาแม้แต่น้อย
เป็นอย่างที่ซูจิ่นซีคาดไว้ เมื่อเฉินไท่เฟยดื่มชาของนางที่ถวายไป ไม่นานก็หมดสติไปทันที
เว่ยเหม่ยเจียพยุงเฉินไท่เฟย ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “เสด็จป้า ท่านเป็นอันใดไป? เหตุใดพอท่านดื่มชาที่พี่สะใภ้ถวายแล้วกลับหมดสติไปเล่า? ”
พูดแล้ว เว่ยเหม่ยเจียก็หันไปมองทางซูจิ่นซี “พี่สะใภ้ นี่มันเรื่องอันใดกัน? ร่างกายของเสด็จป้าแข็งแรงมาตลอด เหตุใด… เหตุใดเมื่อดื่มชาของท่านแล้วถึงหมดสติไปได้เล่า? ”
ผู้คนฟังที่เว่ยเหม่ยเจียพูดก็หันไปมองทางซูจิ่นซีพร้อมกัน ทุกคนแสดงออกผ่านดวงตา ต่างสงสัยในตัวซูจิ่นซีว่าจะเป็นผู้ที่วางยาพิษ
“พี่สะใภ้ แม้ว่าเสด็จป้าจะเข้มงวดกับท่านไปบ้าง ทว่าก็เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของจวนโยวอ๋องและเพื่อเสด็จพี่ เสด็จป้าเป็นผู้อาวุโส ท่านเป็นผู้น้อย อดทนหน่อยไม่ได้หรือ? เหตุใดจึงทำเรื่องวางยาพิษนี่ออกมาได้? ”
เนื่องจากการปรากฏตัวของเยี่ยโยวเหยา ชายาเยี่ยนเป่ยอ๋องผู้ซึ่งไม่ได้กระทำอันใดมาโดยตลอด จู่ๆ ก็พูดขึ้น
“พระชายาโยวอ๋อง เราทุกคนต่างก็เห็นชัดเจนว่าไท่เฟยหมดสติเพราะดื่มชาของเจ้า อย่างไรนางก็เป็นเสด็จแม่ของโยวอ๋อง ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาในตำหนักโยวอ๋องแล้วก็ควรเคารพจารีตที่พึงปฏิบัติ รักษากฎมารยาท ถูกแม่สามีพูดสองสามคำก็สมควรแล้ว เหตุใดเจ้าถึง… ถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้? ”
“ใช่ พระชายาอ๋อง เจ้าช่างใช้ไม่ได้เสียจริง! ”
“สตรีเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่คู่ควรมาเป็นสะใภ้ในวังอยู่แล้ว ฐานะต่ำต้อยอย่างไรก็ยังคงต่ำต้อย แม้ว่าจะบินเหนือกิ่ง [1] ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดของคนต่ำต้อยเช่นนี้ได้หรอก”
“ข้าว่าควรส่งซูจิ่นซีไปให้ศาลต้าหลี่จัดการ ทำร้ายคนในวังมีโทษหนัก ยิ่งกว่านั้นยังวางยาพิษไท่เฟยเสียด้วย”
ผู้คนพูดกันปากต่อปาก
เหมือนจะลืมไปว่าเยี่ยโยวเหยาผู้โหดเหี้ยมยังคงประทับอยู่ตรงนั้น ลืมจนกระทั่งว่าเยี่ยโยวเหยาก่อนหน้านี้ยังคงปกป้องซูจิ่นซีอยู่
ในตอนนี้เยี่ยโยวเหยาทำราวกับว่าเขาไม่เห็นหรือได้ยินสิ่งใดเลย อยู่นิ่งๆ นั่งบนเก้าอี้ดื่มชาอย่างไม่สนใจ และกลับมามีท่าทีเย็นชาดังเดิม
ซูจิ่นซีเย้ยหยันตนเองในใจ ซูจิ่นซี เจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่เล่า? นี่คือวังหลวงและนี่คือบุรุษที่เจ้าแต่งงานด้วย
ไม่มีใครคาดคิดว่าซูจิ่นซีหลังจากมองไปที่ผู้คนอย่างเย็นชารอบหนึ่งแล้ว นางหยิบชาครึ่งถ้วยที่เฉินไท่เฟยยังดื่มไม่หมดยกขึ้นดื่มในอึกเดียว
ทุกคนต่างตกใจในทันที
เยี่ยโยวเหยาดูเหมือนจะมองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความสนใจและหรี่ตาลงเล็กน้อย
เว่ยเหม่ยเจียปิดปากของนางด้วยความไม่เชื่อและจ้องมองไปยังซูจิ่นซี
คราแรกคิดว่าซูจิ่นซีจะหมดสติเหมือนกับเฉินไท่เฟย ทว่าเวลาผ่านไปซูจิ่นซีไม่เป็นอันใดเลยแม้แต่น้อยและยังคงยืนอยู่เช่นเดิม
“พี่สะใภ้ ท่านไม่เป็นอันใดเลยหรือ? ”
“น้องหญิง ข้าวยังกินเลอะได้ ทว่าคำพูดนั้นพูดมั่วซั่วไม่ได้! เจ้าสงสัยว่าข้าเป็นผู้วางยาพิษในชาใช่หรือไม่? ทว่าพี่สะใภ้เจ้าไม่เป็นอันใดมิใช่หรือ? ”
“ท่าน… ท่าน… ”
เว่ยเหม่ยเจียตะโกนสองครั้ง แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
ประเด็นคือนางและเฉินไท่เฟยได้พูดคุยกันไว้ก่อนแล้ว ยาสลบนี้เป็นนางที่ใส่ลงไปเอง ทว่าเหตุใดในแก้วเดียวกันนี้ เฉินไท่เฟยจึงหมดสติหลังจากดื่มมัน ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่เป็นอันใดเลย?
หรือว่ามีสิ่งใดผิดพลาดเกิดขึ้น?
เว่ยเหม่ยเจียตกใจกับการคาดเดาของนางเองจนขาอ่อนแรง และรีบวิ่งไปตรวจสอบลมหายใจของเฉินไท่เฟย
โชคดีที่ยังคงหายใจอยู่
เมื่อนึกขึ้นได้ หรือว่าเฉินไท่เฟยไม่ได้หมดสติเพราะยาสลบนี่ เว่ยเหม่ยเจียจึงไม่กล้าที่จะเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว เพราะเฉินไท่เฟยเป็นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางในโลกนี้แล้ว หากไม่มีเฉินไท่เฟยนางก็ไม่เหลือสิ่งใดอีก
“รีบไปเร็ว รีบไปตามหมอหลวงมา เร็ว! ไปตามหมอหลวงอวิ๋นมา”
ใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียซีดเผือดและสั่งนางกำนัลหน้าประตูทันที
ทุกคนมองไปที่การแสดงออกของเว่ยเหม่ยเจียและทันใดนั้นก็ตระหนักว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา ผู้คนเริ่มหวาดหวั่นไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดต่างเงียบเสียงกันไปทีละคน
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เหล่านางกำนัลก็พาหมอหลวงหนุ่มเข้ามา
เสื้อผ้าพลิ้วไสวขาวนวลยิ่งกว่าหิมะ ใบหน้าหล่อเหลา และรอยยิ้มเสมือนฤดูใบไม้ผลิที่สดใส
ทันทีที่หมอหลวงหนุ่มเข้าประตูมา เขาไม่ได้มองผู้อื่นเลย ทว่ากลับมองตรงไปยังซูจิ่นซีและยิ้มอย่างสดใสให้แก่นาง
ซูจิ่นซีมีความคุ้นเคยกับรอยยิ้มนี้อย่างอธิบายไม่ถูก ทว่านางจำไม่ได้ว่าเหตุใดนางจึงคุ้นเคย ราวกับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน
ทันใดนั้นบทกวีสองประโยคก็ปรากฏขึ้นในใจ การออกไปเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิเต็มไปด้วยซิ่งฮวา [2] ในสายลม ผู้ใดได้พานพบชั่วชีวิตมิอาจลืมเลือน
……