หวาหรงจวิ้นจู่ที่อยู่ด้านข้างก้าวถอยหลังอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางส่ายศีรษะไม่หยุด “ไม่ ไม่มีทาง นี่มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ”
เรื่องราวมาถึงจุดนี้ ไม่จำเป็นที่ซูจิ่นซีต้องพูดอันใดอีกแล้ว และไม่จำเป็นต้องให้นางพิสูจน์อันใดอีกเช่นกัน คำแนะนำอันแยบยลชาญฉลาดไม่กี่คำ สามารถเปิดเผยความจริงทั้งหมดออกมาจากปากของซิ่งหลิวหลีได้ ยิ่งไปกว่านั้นฮั่วอวี้เจียวและหวาหรงจวิ้นจู่ก็ได้สารภาพความจริงออกมาอีกครั้ง
ซูจิ่นซีไม่มีคำพูดอันใดเลย นางยืนอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา
เรื่องราวระหว่างคนบนโลกนี้มักโหดร้ายเช่นนี้เสมอ
เห็นได้ชัดว่าซูจ้งซึ่งเป็นบิดาของซูจิ่นซี ต้องการให้ซูจิ่นซีตายครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคิดจะผลักนางลงไปในขุมนรกแห่งความตาย
ฮั่วอวี้เจียวถือว่าซิ่งหลิวหลีเป็นเพื่อนที่รู้ใจที่สุดมาโดยตลอด กลับคิดไม่ถึงว่าเพื่อนที่รู้ใจผู้นี้ไม่ได้เป็นดั่งที่หวัง นางหลอกใช้ตนเป็นเครื่องมือในการฆ่าคน
สำหรับหวาหรงจวิ้นจู่ก็คิดไม่ถึงอีกเช่นกัน หวาหรงคิดมาตลอดว่าฮั่วอวี้เจียวหวังยกฐานะทางสังคมของตนเอง และเพื่อทำให้หวาหรงพอใจจึงได้ส่งสุราโสมพิษมาให้ ทว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ หวาหรงคาดไม่ถึงว่าจะเป็นนางเองที่เป็นผู้มอบสุราพิษให้มารดาผู้ให้กำเนิดของตนครั้งแล้วครั้งเล่า
ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
คนที่มีชีวิตอยู่ ข้างกายต่างรายล้อมไปด้วยศักดิ์และเกียรติยศนับไม่ถ้วน
ทว่าเจ้าไม่รู้หรอกว่าใบหน้าใดที่ยิ้มแย้มราวกับดอกไม้แต่กลับปิดบังใบหน้าปีศาจเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าใดที่แสดงออกว่าเกลียดชังแต่กลับซ่อนความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเอาไว้
ซูจิ่นซีรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ในยุคสมัยที่นางเคยมีชีวิตอยู่มาก่อนนั้น แม้ผู้คนมากมายจะสวมใส่หน้ากากเช่นกัน ทว่ากลับถูกจำกัดเพื่อการเอาตัวรอด ไม่ใช่เพื่อวางอุบาย หลอกลวงกันไปมาเช่นนี้
ซูจิ่นซีคิดที่จะตั้งหลักปักฐานอยู่ในมิติเวลาแห่งนี้ กระทั่งคิดจะสะกดคำว่าอนาคตอันสวยงาม ทว่าอนาคตกลับเลือนลางจนทำให้นางมองเห็นได้ไม่ชัดว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่
“ซูจิ่นซี มานี่! ”
เยี่ยโยวเหยาที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้างอย่างเฉยชาและไม่เอ่ยสิ่งใดมาโดยตลอด ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นมา ซูจิ่นซีไม่สามารถปฏิเสธเสียงนั้นได้เลย
ซูจิ่นซีแทบจะไม่เชื่อหูของตนเอง นางค่อยๆ หันกลับมาพร้อมกับมองหาความจริง นางมองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เข้าใจ
“ยังไม่มาอีก! ”
น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาแฝงความโกรธเล็กน้อย กดดันด้วยท่าทางสง่างาม
ซูจิ่นซียังคงเป็นคนที่ไม่เอาถ่าน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเยี่ยโยวเหยา แม้แต่ความหวังเล็กน้อยก็แทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ คาดไม่ถึงว่านางจะได้ยินเสียงของเยี่ยโยวเหยาจริงๆ ซูจิ่นซีเดินขึ้นไปบนลานพระที่นั่งทีละก้าวๆ เดินไปหาเยี่ยโยวเหยาภายใต้สายตาของทุกคน
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อนางเดินไปที่ด้านข้างของเยี่ยโยวเหยาแล้วนั้น คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะขยับตัวย้ายที่นั่งไปด้านข้าง แล้วคว้ามือของซูจิ่นซีดึงนางลงมานั่งด้วยกันกับเขา
สวรรค์!!!
ซูจิ่นซีประหลาดใจ นางมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกริยาตอบโต้อย่างไร
หากนางจำไม่ผิด นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยาจับมือของนางต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ และยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยานั่งใกล้นางต่อหน้าผู้คนมากมายอีกด้วย
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกเหมือนมันกำลังจะทะลุออกมาจากลำคอและดวงตาแล้ว
เยี่ยโยวเหยา นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน?
ข้าสามารถคิดว่ามันคือการปกป้องได้หรือไม่ ต่อให้การกระทำนี้จะเล็กน้อยเป็นอย่างยิ่ง แม้ก่อนหน้านี้ท่านจะเฉยเมย แม้ว่าท่านจะไม่ได้พูดหรือทำอันใดเลยก็ตาม
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่า ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาจะกล่าวสิ่งใดขึ้นมาอีกครั้ง และดูเหมือนเขาจะรู้ว่าในใจของนางกำลังคิดสิ่งใดอีกด้วย
“ซูจิ่นซี เจ้าทำได้ไม่เลว ข้าพอใจยิ่งนัก หากผู้ใดกล้าสงสัยในพระชายาที่รักของข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยมันผู้นั้นไปเด็ดขาด”
ประโยคครึ่งแรกเยี่ยโยวเหยาพูดให้ซูจิ่นซีฟัง ประโยคครึ่งหลัง ดวงตาสีเข้มและลึกล้ำของเยี่ยโยวเหยาได้กวาดมองไปยังฮ่องเต้ เยี่ยเซิน และคนทั้งหลายอย่างเย็นชาราวกับมีดที่แหลมคมอย่างไรอย่างนั้น
นี่คือการเตือน!
ในโลกนี้เกรงว่าจะมีเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียวเท่านั้นกระมังที่กล้าตักเตือนฮ่องเต้เช่นนี้?
สายตาของซูจิ่นซีจ้องมองไปยังใบหน้าด้านข้างของเยี่ยโยวเหยาอยู่ตลอดเวลา เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้ภาพลักษณ์ของเยี่ยโยวเหยาภายในใจของซูจิ่นซี ที่เดิมทีคือเทพเจ้าผู้น่าเคารพนับถือนั้น ยิ่งสง่างามแข็งแกร่งมากขึ้น
ตกใจ ประหลาดใจ ภูมิใจ ปลื้มใจ อย่างไรก็ตามความรู้สึกทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายในใจ นางไม่สามารถควบคุมได้เลย
“เพียงแต่ว่า… คุณชายจิ่ว จวนโยวอ๋องของข้ากับเทียนอีเหมินของเจ้าไม่เคยไปมาหาสู่กัน ยังไม่ถึงคราวของเจ้าที่จะมาแสดงความยินดีในวันเกิดของพระชายาที่รักของข้า เรื่องในวันนี้ เห็นแก่ที่เจ้าได้ช่วยเหลือพระชายาที่รักของข้าเอาไว้ ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า หากมีครั้งต่อไปอีก ข้าจะต้องไปถล่มเทียนอีเหมินของเจ้าอย่างแน่นอน”
สวรรค์!
ครั้งนี้ไม่เพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ทุกคนก็ตกตะลึงเช่นกัน
กลิ่นความหึงหวงแรงมาก!
หากเยี่ยโยวเหยาไม่ได้หึงหวงแล้วจะเป็นอันใดได้อีก?
ซูจิ่นซีจ้องมองไปยังใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาอย่างไม่มีผู้ใดเทียบได้ของเยี่ยโยวเหยา นางรู้สึกว่ามือของตนที่ถูกมือของเยี่ยโยวเหยาจับไว้นั้น ยิ่งนานก็ยิ่งบีบกระชับขึ้นทุกที ดูเหมือนว่าเยี่ยโยวเหยาจะตั้งใจให้จิ่วหรงเห็นอีกด้วย มุมปากของซูจิ่นซีค่อยๆ โค้งเป็นรัศมีเจิดจ้าอย่างมีความสุขเสียเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้เพราะตามสืบคดีทั้งยังถูกฮ่องเต้และพรรคพวกขู่เข็ญกดดัน ซูจิ่นซีจึงถูกหมอกแห่งการเข่นฆ่าของพวกเขาทำให้นางรู้สึกสิ้นหวัง ทว่าในเวลานี้กลับหายวับไปในทันที
ทว่าจิ่วหรงดูเหมือนจะไม่สนใจคำพูดของเยี่ยโยวเหยาเอาเสียเลย ยิ่งไม่มีความเกรงกลัวในคำเตือนของเยี่ยโยวเหยา มุมปากของเขายกยิ้มบางเบา
“ทหาร! ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดจวนสกุลฮั่วและนำคนของสกุลฮั่วทั้งหมดไปไว้ในคุกรอวันไต่สวน”
พระอารมณ์ของฮ่องเต้ไม่ดี ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีฮ่องเต้ต้องการใช้โอกาสนี้กำจัดจวนโยวอ๋อง กลับคาดไม่ถึงว่ามันจะย้อนกลับมาเล่นงานพระองค์เอง ทั้งยังถูกขุดคุ้ยถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนของธิดาตนเอง
วันนี้ที่ประตูเจิ้นเป่ยครึกครื้นถึงเพียงนี้ ผู้คนในเมืองตี้จิงต่างกำลังเฝ้ามองอยู่ ฮ่องเต้ไม่มีหนทางปกป้องเข้าข้างหรือเห็นแก่พวกพ้องของตนได้ ทำได้เพียงจัดการเรื่องราวให้สำเร็จอย่างไม่เต็มใจ
ในเวลานี้ หวาหรงจวิ้นจู่ได้พาตนเองเข้าไปในอ้อมกอดของฮองเฮาและร้องไห้อย่างไร้เสียง
ฮ่องเต้เหลือบเห็นฮองเฮาและบุตรสาวที่กำลังร้องไห้ ก็กลั้นความเจ็บปวดไว้ในใจ “แม้ว่าหวาหรงจวิ้นจู่จะไร้เดียงสา ทว่านางกลับไม่รู้จักมองคนและไม่ใส่ใจในการเลือกคบสหาย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อองค์หญิงฝ่าฝืนกฎก็จะต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกับสามัญชน บุคคลที่นางทำร้ายนั้นเป็นถึงมารดาของตนเอง และยังเป็นถึงฮองเฮาของราชวงศ์นี้ ตั้งแต่นี้ไปนางจะถูกเพิกถอนฐานะองค์หญิง และเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนักแม้แต่ครึ่งก้าว”
“ไม่นะเพคะ เสด็จพ่อ หม่อมฉันถูกปรักปรำ หม่อมฉันไม่รู้อันใดเลยนะเพคะ เสด็จพ่อทำเช่นนี้กับหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ ทำเช่นนี้กับธิดาของพระองค์ไม่ได้นะเพคะ”
ตำหนักเย็น สถานที่แห่งนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน แทบจะเป็นนรกในใจของทุกคนที่อยู่ในวังหลวง ในทุกค่ำคืนจะมีเสียงร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณร้าย
หวาหรงเติบโตขึ้นมาในวังหลวงโดยได้ฟังนิทานเหล่านั้น นางไม่เคยคิดว่าในฐานะองค์หญิงที่ไม่มีผู้ใดทำอันใดได้ นางที่รุ่งโรจน์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ทว่าวันหนึ่งกลับถูกโยนลงไปในนรกที่เลวร้าย
แม้ว่าฮ่องเต้จะเข้าพระทัยในความโศกเศร้าของหวาหรง ทว่าพระองค์ยังคงไม่ทอดพระเนตรมาทางหวาหรงแม้แต่น้อย “นำตัวออกไป! ”
“ไม่! ”
หวาหรงกล่าวเสียงดัง ไม่รอให้ทหารมาควบคุมตัว นางก็ผลักฝูงชนแล้ววิ่งหนีไป
“ช้าก่อน! ”
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็กล่าวขึ้นมา
“พระชายาโยวอ๋อง เจ้ายังมีอันใดจะกล่าวอีกหรือ? ” พระสุรเสียงของฮ่องเต้ไม่ดีเท่าไร
“ฮองเฮา ก่อนหน้านี้ที่หม่อมฉันเข้าไปในวังหลวงเพื่อหารือกับพระองค์เกี่ยวกับการรับมือในเรื่องนี้ พระองค์ทรงเคยสัญญาไว้ว่า หากครั้งนี้หัวหน้าขุนพลฮั่วทำดีไถ่โทษได้สำเร็จ พระองค์จะขอให้ฝ่าบาทตัดสินลงโทษจวนสกุลฮั่วใหม่อีกครั้ง กระทั่งจะจัดการกับซิ่งหลิวหลีเพียงผู้เดียว ไม่นำผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้อง”
ซูจิ่นซีเคยแอบถามข้อมูลจากผู้อื่นมาก่อน อีกทั้งในจวนสกุลฮั่ว คำนวณดูแล้วมีสมาชิกมากกว่าสามร้อยคนเลยทีเดียว!
คืนเดียวจะต้องประหารคนทั้งตระกูลกว่าสามร้อยคน ช่างเป็นภาพที่โหดร้ายยิ่ง
ซูจิ่นซีสืบสวนคดีนี้ได้ ทว่านางไม่สามารถปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นในเวลากลางคืนนางจะต้องหลับฝันร้ายอย่างแน่นอน
ทว่าซูจิ่นซีคาดไม่ถึงเลยว่า ฮองเฮาจะกลับคำพูดอย่างกะทันหัน
“พระชายาโยวอ๋อง ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดสัญญากับเจ้าเช่นนั้น เพราะเจ้าไม่ได้บอกข้าว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหวาหรงจวิ้นจู่ของข้าด้วย ซูจิ่นซี ตอนแรกเจ้าตั้งใจจัดฉากให้ข้าดูใช่หรือไม่? ”