หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ่นซีก็ยกยิ้มพลางบีบแก้มของซูอวี้ “เจ้าหนู พูดสิ คืนนั้นเจ้าจงใจมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าใช่หรือไม่! แท้จริงแล้วเจ้าอยากมีส่วนร่วมในการแข่งขันคัดเลือกทายาทนี้ใช่หรือไม่? ”
ซูอวี้ถูกซูจิ่นซีซักไซ้ความคิดในใจจนหมดเปลือก เด็กชายก้มหน้าลงต่ำอย่างอ้อยอิ่ง ทันใดนั้นก็คิดกระไรขึ้นมาได้ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความกังวลพลางถามซูจิ่นซีว่า “ท่านพี่จิ่นซี ท่านผิดหวังและเสียใจใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? อยากให้อวี้เอ๋อร์เข้าร่วมการแข่งขันหรือไม่? ”
“เช่นนั้นเจ้าว่า เหตุใดเจ้าจึงต้องการเข้าร่วมการแข่งขันเล่า? ” ใบหน้าของซูจิ่นซีไร้ซึ่งรอยยิ้ม นางเอ่ยถามซูอวี้อย่างจริงจัง
ซูอวี้เม้มปากกล่าวว่า “หลังจากเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ข้าสามารถไปที่ห้องยาเพื่อวินิจฉัยโรคได้ เมื่อถึงเวลานั้นความรู้เหล่านั้นที่เรียนจากท่านพ่อและท่านแม่ ทั้งยังมีทฤษฎีทางการแพทย์ที่เรียนรู้ในตำราก็สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ ยังมี… ข้ายังมีเงินที่สามารถดูแลมารดาของตนเองได้ ในทุกวันให้ท่านแม่กินดีขึ้นหน่อย มีเสื้อผ้าสวมใส่ดีขึ้นหน่อย ไม่ต้องกังวลแล้วว่าท่านพ่อจะไม่ให้เงินพวกเราใช้”
ใบหน้าของซูจิ่นซีตกตะลึง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประโยคครึ่งหลังของซูอวี้นั้น ซูจิ่นซีสามารถสัมผัสได้ถึงหัวใจอย่างซาบซึ้ง ซูจิ่นซีเคยใช้ชีวิตเช่นนี้มาก่อน นางเป็นกังวลทุกเดือนว่าผู้ดูแลบัญชีของจวนสกุลซูจะหักเงินเดือน หักค่าอาหารและของใช้หรือไม่
แม้ซูจิ่นซีจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพราะในตอนนั้น ในหัวของนางยังไม่มีสติตื่นรู้ ทว่าเมื่อมองย้อนกลับไปสมัยนั้น นางก็มักจะรู้สึกเศร้าอยู่เสมอ
“เอาล่ะ อวี้เอ๋อร์ พี่หญิงหาได้คัดค้านไม่ให้เจ้าเข้าร่วมการแข่งขัน ในช่วงเวลานี้เจ้าควรขอคำแนะนำจากท่านหมอเทวดาหวาเกี่ยวกับบางสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อใช้ในการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วย อย่างไรก็ตามแม้เจ้าจะได้เรียนรู้ทฤษฎีทางการแพทย์มามากมาย ทว่าเจ้ายังขาดประสบการณ์”
“ขอบพระทัยท่านพี่หญิง อวี้เอ๋อร์ทราบแล้ว! ” ใบหน้าของซูอวี้ยิ้มอย่างเบิกบานในทันที
“ท่านหมอเทวดาหวา ช่วงนี้คงต้องลำบากท่านแล้ว! ” ซูจิ่นซียิ้มอย่างสุภาพถ่อมตนต่อหมอเทวดาหวา
หมอเทวดาหวาชะงักไปชั่วครู่ เร่งรีบประสานมือทั้งสองยกขึ้นในระดับหน้าอก คำนับซูจิ่นซี “คำพูดของพระชายา ตราบใดที่พระชายาและท่านชายน้อยอวี้ไม่เมินเฉยต่อทักษะทางการแพทย์ที่ต่ำต้อย ข้าน้อยจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือพระชายาและท่านชายน้อยซูอวี้พ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าอย่างพอใจ
หลังจากที่หมอเทวดาหวาและพ่อบ้านออกไปกับซูอวี้แล้ว เดิมทีซูจิ่นซีต้องการกลับไปที่เรือนอวิ๋นไคเพื่อนอนพักผ่อน เนื่องจากตอนนี้นางง่วงเหลือเกิน
ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่อนุญาต เขากำชับให้ซูจิ่นซีไปพักผ่อนที่ตำหนักฝูอวิ๋น ซูจิ่นซีดื้อดึงกับเยี่ยโยวเหยาไม่ไหว ทำได้เพียงตามเยี่ยโยวเหยาไปที่ตำหนักฝูอวิ๋น
ซูจิ่นซีนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ของเยี่ยโยวเหยา ส่วนเยี่ยโยวเหยากำลังจัดการเอกสาร
ผ่านไปไม่นาน พ่อบ้านก็เข้ามาอีกครั้ง
ข่าวคราวในครั้งนี้ ทำให้ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงเล็กน้อย
พ่อบ้านกล่าวว่าเฉินไท่เฟยจากฝั่งหนานย่วนส่งคนมาแจ้งข่าว ให้เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีไปที่หนานย่วนเพื่อรับประทานอาหารค่ำในคืนพรุ่งนี้
นับตั้งแต่คดีวางยาพิษของฮองเฮาเป็นที่กระจ่าง ฮ่องเต้ก็ได้ปล่อยตัวเฉินไท่เฟยและเว่ยเหม่ยเจียกลับไปยังหนานย่วน ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็ไม่เคยพบเฉินไท่เฟยอีกเลย เหตุใดเฉินไท่เฟยจึงเรียกซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาไปรับประทานอาหารกันนะ?
ไม่ได้จะเล่นพิเรนทร์กระไรอีกใช่หรือไม่?
“เลื่อนไป บอกว่าสุขภาพของพระชายาไม่ดีนัก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก ข้าไม่มีอารมณ์ไป”
พ่อบ้านรับคำ ขณะที่กำลังจะจากไปกลับถูกซูจิ่นซีหยุดไว้
หากบอกว่าร่างกายของซูจิ่นซีไม่ดี ไม่สามารถไปไหนได้คงไม่เหมาะสมกระมัง?
แม่สามีอย่างเฉินไท่เฟย เดิมทีก็ไม่ได้เฝ้ารอที่จะพบซูจิ่นซีมากนัก หากพูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟหรอกหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นซูจิ่นซีรู้สึกว่า ตราบใดที่นางยังต้องการอยู่ที่ตำหนักโยวอ๋อง ยังต้องการอยู่ด้วยกันกับเยี่ยโยวเหยาต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีอย่างเฉินไท่เฟยจะต้องไม่ทำให้แย่เด็ดขาด
ตอนนี้นางจะไม่ไปวุ่นวายกับเฉินไท่เฟยให้เรื่องยุ่งยาก และจะไม่ทำให้เฉินไท่เฟยต้องประสบกับเหตุการณ์ที่เนื้อไม่ได้กินเอากระดูกมาแขวนคออีกแล้ว
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ พวกเราไปกันเถิดเพคะ! ช่วงนี้ท่านไม่ได้ไปหาท่านแม่นานแล้ว เช่นนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง? อีกอย่าง ร่างกายของหม่อมฉันก็ไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น ไปเพียงแค่เสวยมื้อค่ำเท่านั้น ไม่เป็นปัญหาหรอกเพคะ”
“ไม่ให้ไป! ”
ท่าทีของเยี่ยโยวเหยาช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก
เยี่ยโยวเหยาเป็นบุตรชายของเฉินไท่เฟย ยิ่งไปกว่านั้นแม้นิสัยของเขาจะแข็งกระด้างเยือกเย็น ทว่าเฉินไท่เฟยก็ไม่ได้พูดกระไร
ทว่ากับซูจิ่นซีแล้วมันไม่เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาเฉินไท่เฟยต้องตำหนิผลักความผิดทั้งหมดมาให้ซูจิ่นซีอย่างแน่นอน
“เอาเถิดเพคะ! ไม่ไปก็ไม่ไป! ” ซูจิ่นซีนั่งลงบนเตียงอย่างขุ่นเคืองใจ
พ่อบ้านจึงกลับออกไปบอกคนของตำหนักหนานย่วน
ทว่าไม่นานก็มีคนจากหนานย่วนกลับมาอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดเฉินไท่เฟย นางบอกว่าร่างกายของเฉินไท่เฟยค่อนข้างแย่ ต้องการให้ซูจิ่นซีไปตรวจดูเสียหน่อย หากอาการป่วยของซูจิ่นซีไม่ร้ายแรงมากนักก็ขอให้พยายามไปที่นั่นให้ได้สักครั้ง
ดูเอาเถิด! ซูจิ่นซีพูดเรื่องพวกนี้แล้วไม่ยอมฟัง ในที่สุดคนที่เสียเปรียบก็คือนาง
ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างตำหนิ แล้วพูดว่า “เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านไปเป็นเพื่อนหม่อมฉันเถิดนะเพคะ! ”
ซูจิ่นซีไม่กล้าไปพบเฉินไท่เฟยเพียงผู้เดียว
เดิมทีเยี่ยโยวเหยาคิดปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นซูจิ่นซีส่งสายตาอ้อนวอนน่าสงสารมาให้ ใบหน้าจริงจังนั้นก็ไม่ปฏิเสธอีกแล้ว
เพียงตอบกลับอย่างแผ่วเบาว่า “อืม”
แท้จริงแล้วซูจิ่นซีไม่ต้องการไปหนานย่วนเช่นกัน ทว่าในหลายๆ เรื่องก็ไม่ใช่ว่าตนจะสามารถทำได้ตามใจชอบ อยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ในบางครั้งมนุษย์ก็เอาแต่ใจตนเองไม่ได้
ซูจิ่นซีไม่ต้องการอยู่ที่หนานย่วนนานเท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเสวยมื้อค่ำ ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาจึงได้เดินทางไป
เว่ยเหม่ยเจียที่ไม่ได้พบหน้าเป็นเวลานานยืนรออยู่ที่ประตูตั้งแต่เช้า เมื่อนางเห็นซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็กล่าวทักทายด้วยความปิติยินดีและพูดคุยกับเยี่ยโยวเหยาไม่หยุดหย่อน
“ท่านพี่เพคะ ท่านมาแล้ว ท่านอาจยังไม่ทราบว่าหลายวันมานี้ท่านป้าคิดถึงท่านยิ่งนัก ท่านต้องการพบท่านพี่นะเพคะ! ”
“… ”
“ท่านพี่ ช่วงนี้ดูเหมือนว่าท่านจะผอมลงไปแล้ว หรือว่าอาหารไม่ถูกปากเพคะ? ทุกวันนี้พี่สะใภ้ทำสิ่งใดให้ท่านทานเพคะ?”
“… ”
“ท่านพี่ ช่วงนี้ยุ่งมากหรือไม่? ไม่เห็นท่านพี่มาหาข้ากับท่านป้าเลยเพคะ มาครั้งนี้พวกท่านอยู่หลายวันหน่อยเถิด เหม่ยเจียล้วนทำความสะอาดในจวนไว้อย่างดีแล้วเพคะ ทุกวันเหม่ยเจียจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ท่านพี่ทาน ดีหรือไม่เพคะท่านพี่! ”
……
เว่ยเหม่ยเจียพูดอยู่ข้างหูของเยี่ยโยวเหยาไม่หยุด ทว่าเยี่ยโยวเหยาทำราวกับไม่ได้ฟังนางเลยอย่างไรอย่างนั้น ไม่ตอบกลับนางแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามซูจิ่นซีพบว่าจิตใจของสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา เยี่ยโยวเหยาเย็นชาต่อนางถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่านางยังไม่เจ็บไม่ปวดแม้แต่น้อย ยังคงพูดไม่หยุดหย่อน
เว่ยเหม่ยเจียพูดตลอดทางจนเดินมาถึงปากทางเข้าห้องโถงใหญ่
ภายในห้องโถงใหญ่ เฉินไท่เฟยกำลังให้คนตระเตรียมสำรับอาหาร
“คารวะท่านแม่! ” เยี่ยโยวเหยาคำนับเฉินไท่เฟย
ซูจิ่นซีเรียนรู้จากท่าทางของเยี่ยโยวเหยาและคำนับเฉินไท่เฟย “ซูจิ่นซีคารวะท่านแม่ ขอให้ท่านแม่มีพลานามัยสมบูรณ์เพคะ! ”
“จิ่นซีเอ๋ย! ไม่ต้องคำนับหรอก! เร็ว มานั่งข้างแม่”
ซูจิ่นซีไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉินไท่เฟยผู้ซึ่งไม่เคยรอคอยที่จะพบนางกลับมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติครั้งยิ่งใหญ่จากหน้ามือเป็นหลังมือ เฉินไท่เฟยยิ้มร่ายื่นมือของนางมาทางซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีมึนงง นางหันมองไปทางเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับทำราวกับไม่มีกระไรแม้แต่น้อย เขาเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งของตนแล้วนั่งลง ความรู้สึกของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความมืดมน นางไม่รู้จะทำอย่างไร ทว่าซูจิ่นซีไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ตนเองจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างไม่เต็มใจ นางเดินไปข้างเฉินไท่เฟยและยื่นมือให้เฉินไท่เฟย
เฉินไท่เฟยมองซูจิ่นซีที่นั่งลงข้างตนเอง คิ้วขมวดกล่าวว่า “เหตุใดมือจึงได้เล็กถึงเพียงนี้? จิ่นซีอ่า ช่วงนี้สุขภาพเจ้าไม่ค่อยดีใช่หรือไม่? ผอมเกินไปแล้ว! เจ้าดูสิ บนโต๊ะนี้มีแต่ของโปรดเจ้า เจ้าทานเยอะๆ เล่า!”
อาหารโปรดที่สุดของซูจิ่นซี
นางชอบกินสิ่งใด กระทั่งตนเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เฉินไท่เฟยจะรู้ได้อย่างไร?
ทำดีหลังผล
ซูจิ่นซีรู้สึกเสมอว่าเฉินไท่เฟยที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีอันใด
นี่คงไม่ใช่เสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพลกระมัง?