สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 146 ท่านแม่ อย่างนั้นดีหรือไม่?

        เมื่อถึงเวลาเสวยอาหารค่ำ เฉินไท่เฟยคีบอาหารให้ซูจิ่นซีไม่หยุด ซูจิ่นซีทานอย่างกระวนกระวายใจยิ่งนัก

        ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว อย่างไรก็ตาม เขายังคีบอาหารให้ซูจิ่นซีเช่นกัน

        ซูจิ่นซีสังเกตอย่างลึกซึ้งว่ามีร่องรอยของความหึงหวงส่องประกายผ่านดวงตาของเว่ยเหม่ยเจีย ทว่าก็ถูกนางปกปิดไว้ได้อย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่านางยังคีบอาหารใส่จานซูจิ่นซี “พี่สะใภ้ ทานรากบัวฝานสักชิ้น ฤดูกาลนี้ทานรากบัวฝานดียิ่งนัก โดยเฉพาะสำหรับสตรี ทั้งยังมีประโยชน์ด้านความสวยความงามอีกด้วย! ”

        ซูจิ่นซีคีบรากบัวฝานที่เว่ยเหม่ยเจียให้ ใส่ไว้ในจานกระดูกด้านข้าง “ข้าไม่ชอบทานรากบัวฝาน”

        ร่องรอยความอับอายปรากฏบนใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจีย ทว่าในไม่ช้านางก็ปกปิดมันไว้ได้ เว่ยเหม่ยเจียปั้นใบหน้ายิ้มแฉ่ง นางคีบหน่อไม้หลงฤดูอีกชิ้นหนึ่งส่งไปที่ชามของซูจิ่นซี

        “เช่นนั้นพี่สะใภ้ของข้า ท่านลองทานหน่อไม้หลงฤดูเถิด! หน่อไม้หลงฤดูนั้นดียิ่ง มีผลช่วยทำความสะอาดปอดเพคะ”

        “ข้าไม่ชอบทานหน่อไม้หลงฤดู! ”

        ก่อนที่อาหารของเว่ยเหม่ยเจียจะตกสู่ชามของซูจิ่นซี นางก็ถูกซูจิ่นซีปฏิเสธเสียก่อน มือของนางชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะวางหน่อไม้หลงฤดูในชามของตนเองแทน เว่ยเหม่ยเจียราวกับแมลงสาปที่ฆ่าไม่ตายอย่างไรอย่างนั้น นางหยิบถ้วยเปล่าตักน้ำแกงให้ซูจิ่นซี “เช่นนั้นก็ทานน้ำแกงเถิดเพคะ! น้ำแกงนี้ดียิ่ง เหม่ยเจียเข้าครัวทำด้วยตนเอง บำรุงร่างกายดียิ่งนัก พี่สะใภ้ต้องดื่มให้มากหน่อยนะเพคะ”

        ซูจิ่นซีนับถือเว่ยเหม่ยเจียเสียจริง ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาสองโลก นางไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าหนาถึงเพียงนี้มาก่อน

        นางกล้ารับประกันเลยว่า หากนางบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำแกงอีก เว่ยเหม่ยเจียจะต้องคีบกับข้าวอย่างอื่นให้นางอีกเป็นแน่ ด้านหนึ่งเป็นเฉินไท่เฟย อีกด้านเป็นเว่ยเหม่ยเจีย อาหารมื้อนี้ซูจิ่นซีไม่ต้องหวังว่าจะทานได้อย่างเงียบสงบแล้ว

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงยิ้มอย่างไม่เต็มใจและรับถ้วยน้ำแกงที่เว่ยเหม่ยเจียส่งมาให้

        แม้เยี่ยโยวเหยาจะเย็นชาต่อเฉินไท่เฟย ทว่าบางครั้งเฉินไท่เฟยก็คีบอาหารให้เยี่ยโยวเหยาบ้าง

        ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีคิดมากเกินไปหรือว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น นางพบปัญหาหนึ่งที่แปลกอย่างยิ่ง บนโต๊ะวันนี้มีสัตว์ที่ล่ามามากมาย

        เฉินไท่เฟยมักจะทานอาหารมังสวิรัติ ทานผักไม่ใช่หรือ? เหตุใด จู่ๆ ที่หนานย่วนจึงได้ทานของเหล่านี้?

        สิ่งที่เฉินไท่เฟยคีบให้เยี่ยโยวเหยาคือเนื้อกวาง เหอเท่าม่ายหยา น้ำสลัดเนื้อวัว อาหารจำพวกหอยนางรม แม้เยี่ยโยวเหยาจะเย็นชา ทว่าเขากลับทานมันทั้งหมด

        ดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีมองไปยังเยี่ยโยวเหยา

        แม้นางกับเยี่ยโยวเหยาจะมีสถานะเป็นสามีภรรยากัน ทว่ายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง! สถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยโยวเหยาทานอาหารเหล่านี้เข้าไปจะดีหรือ?

        ไม่รู้ว่าเฉินไท่เฟยและเว่ยเหม่ยเจียต้องการทำสิ่งใด ซูจิ่นซียิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

        หลังจากอาหารมื้อนี้จบลงก็ปาไปครึ่งชั่วยาม

        เดิมทีเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีต้องการกลับจวนโยวอ๋อง ทว่าเฉินไท่เฟยชักชวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้พวกเขาอยู่ที่หนานย่วนสักคืน นางบอกว่าสองสามวันมานี้ร่างกายของนางไม่ค่อยสบาย ต้องการให้ซูจิ่นซีดูแลนางให้ดี นอกจากนั้นนางยังไม่ได้เจอซูจิ่นซีมานาน จึงต้องการพูดคุยกับซูจิ่นซีเสียหน่อย

        ในที่สุดทั้งสองก็ตัดสินใจอยู่ที่หนานย่วนต่อ

        เยี่ยโยวเหยากลับเรือนไปก่อน ส่วนซูจิ่นซีอยู่ตรวจชีพจรให้เฉินไท่เฟย

        “ท่านแม่เพคะ สองสามวันมานี้ท่านไม่สบายที่ใดเพคะ” ซูจิ่นซีถามขึ้น

        “หงุดหงิดงุ่นง่าน ใจสั่น พอตกกลางดึกมักจะนอนไม่หลับ ยิ่งไปกว่านั้นสองสามวันมานี้เอวข้าไม่ค่อยดี ขาก็เจ็บตลอด”

        ดวงตาของซูจิ่นซีส่องประกายแปลกๆ เมื่อมองไปยังเฉินไท่เฟย ทว่าซูจิ่นซียังคงนิ่งสงบไม่พูดกระไรแม้แต่น้อย นางตรวจพระวรกายของเฉินไท่เฟยทั้งหมดตามปกติอีกครั้ง

        “ท่านแม่เพคะ ตามหลักการแล้ว ก่อนหน้านี้ที่หม่อมฉันฝังเข็มให้ท่าน หลังจากนั้นท่านยังทานยารักษามานานจึงสามารถลุกขึ้นยืนได้ ขาของท่านก็ไม่มีปัญหาใหญ่อีกต่อไปแล้ว เหตุใดท่านถึงเริ่มเจ็บอีกเล่า? ”

        ดวงตาของเฉินไท่เฟยวาววับเล็กน้อย “ข้าไม่รู้! จิ่นซีอ่า มีที่ใดผิดปกติอีกแล้วหรือ? มิเช่นนั้นเจ้าตรวจแม่ให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือไม่? ”

        ซูจิ่นซียังคงไม่พูดกระไรมากมาย นางตรวจชีพจรให้เฉินไท่เฟย “ท่านแม่ ครั้งก่อนท่านสั่งยาน้ำชาสำหรับชงเหล่านั้น ท่านดื่มจนหมดแล้วใช่หรือไม่เพคะ? ”

        “ดื่มหมดแล้วนะ! ”

        “ทว่ายาเหล่านั้นล้วนเป็นยาที่ตรงตามโรค ตามหลักเหตุผลแล้วควรบรรเทาอาการวัยหมดประจำเดือนของท่าน เหตุใดตอนกลางดึกยังกระวนกระวาย ใจเต้น เล่าเพคะ? ” ซูจิ่นซีจงใจถามขึ้น

        “วัยหมดประจำเดือน? ” เฉินไท่เฟยไม่เข้าใจว่าคำนี้หมายความว่ากระไร

        “ภายในดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่เพคะ? ” ซูจิ่นซีถามอย่างกะทันหัน

        เฉินไท่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเขินอายเล็กน้อย “ดีขึ้นแล้ว! จิ่นซีอ่า ยาของเจ้าได้ผลจริงๆ ! ”

        ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปากโดยไม่พูดอันใด

        ครานั้นซูจิ่นซีได้สั่งยารักษาโรควัยหมดประจำเดือน หากปัญหาประจำเดือนรักษาจนหายดีแล้ว ปัญหาการนอนไม่หลับกลางดึกจะไม่หายดีได้อย่างไรเล่า?

        แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องถาม ซูจิ่นซีก็สามารถรับรู้ได้จากการตรวจชีพจร เฉินไท่เฟยตั้งใจ เดิมทีนางไม่มีอาการป่วยเหล่านี้

        นี่นางต้องการทำกระไร?

        อย่างไรก็ตามซูจิ่นซียังคงนิ่งสงบไม่พูดสิ่งใดแม้แต่น้อย นางตรวจเอวให้เฉินไท่เฟยอีกครั้ง

        “ท่านแม่เพคะ หากผลลัพธ์ของยาที่เสวยครั้งก่อนไม่ค่อยดีนัก ให้หม่อมฉันฝังเข็มเถิด! ฝังเข็มเพียงไม่กี่เล่มก็ทำให้หายเร็วขึ้นเล็กน้อย ท่านว่าอย่างไรเพคะ? ”

        ใบหน้าของซูจิ่นซีใสซื่อ ไม่มีการแสดงอารมณ์ภายนอกใดๆ นางดูราวกับจริงใจยิ่งนัก

        ใบหน้าของเฉินไท่เฟยถอดสีในทันที “ฝัง… ฝังเข็ม จิ่นซีอ่า สิ่งที่แม่กลัวที่สุดก็คือการฝังเข็ม เจ้าก็รู้ หรือว่าเจ้าสั่งยาให้แม่เสียหน่อยเถิด! แม่ทานยาก็จะดีขึ้น”

        หากฝังเข็มแล้ว จากที่ไม่ได้เป็นโรคทำให้กลายเป็นโรคจะทำอย่างไรเล่า?

        ซูจิ่นซีกะพริบตาให้เฉินไท่เฟยสองครั้งแล้วกล่าวว่า “ทว่าท่านแม่เพคะ การทานยาไม่ได้ส่งผลต่ออาการปัจจุบันของท่าน ท่านไม่ลองดูเสียหน่อยหรือ? หากไม่ฝังเข็ม โรคก็ไม่ดีขึ้นนะเพคะ”

        “ทว่า… ” เฉินไท่เฟยดูหวาดกลัวทั้งยังลำบากใจ

        “ทว่ากระไรเพคะ? ” ซูจิ่นซีจงใจขมวดคิ้วถามขึ้น

        เฉินไท่เฟยเม้มริมฝีปากราวกับกำลังลังเลกระไรบางอย่าง

        ช่างเถิด เห็นแก่เหม่ยเจีย เพื่อทำให้เรื่องคืนนี้สำเร็จ เพื่อบรรลุเป้าหมาย นางยอมแล้ว!

        เฉินไท่เฟยกัดฟันกล่าวว่า “เอาเถิด ฝังก็ฝังเถิด”

        ซูจิ่นซีเลิกคิ้วขณะมองดูเฉินไท่เฟยที่ไม่ยี่หระต่อความตายใดๆ

        กล้าหาญถึงเพียงนี้?

        เฉินไท่เฟยถอดเสื้อผ้าออกตามคำขอของซูจิ่นซี เมื่อนางนอนอยู่บนเตียงร่างทั้งร่างก็สั่นสะท้าน ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ

        “จิ่นซีอ่า เจ้าเบามือหน่อย แม่กลัวเจ็บ! ”

        แท้จริงแล้วเฉินไท่เฟยไม่ได้กลัวเจ็บ ทว่านางกลัวว่าโรคที่นางรักษาหายแล้วจะกลับมาเป็นอีก

        ซูจิ่นซีไม่ตอบรับ นางจงใจกางถุงเข็มเงินต่อหน้าเฉินไท่เฟย เฉินไท่เฟยมองดูแถวเข็มเงินที่วางเรียงส่องแสงเย็นวาบ พลันรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว นางหลับตาทั้งสองข้างแน่น หันหน้าไม่กล้าเผชิญตรงๆ

        ซูจิ่นซีมองเฉินไท่เฟยที่เป็นเช่นนี้ มุมปากพลันยกยิ้มขึ้น

        “ท่านแม่ พร้อมแล้วนะเพคะ พวกเรามาเริ่มกันเถิด! ”

        ซูจิ่นซีจงใจกล่าวขึ้น

        เฉินไท่เฟยเกร็งตัวแน่น หลับตาทั้งสอง นางขลาดกลัวจึงไม่ตอบรับคำของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีถือเข็มเงิน ยกมือขึ้นลง มองหาจุดที่ไม่ใช่จุดฝังเข็ม

        เข็มเงินนี้เดิมทีจะฝังตามจุดโดยผู้ที่มีประสบการณ์ และหากมีความช่ำชองถูกต้องก็จะไม่เจ็บมากนัก ทว่าขณะนี้ซูจิ่นซีจงใจฝังบริเวณที่ไม่ใช่จุดฝังเข็ม ความช่ำชองนี้ไร้ความปรานียิ่ง นางฝังเข็มในแนวทแยง ฝังแนวตั้ง ทั้งยังฝังเข้าฝังออกกลับไปกลับมาสองครั้ง

        นี่คือการจงใจใช้ประโยชน์จากเทียนเฟย [1] !

        อย่างไรก็ตามเฉินไท่เฟยไม่สามารถพูดสิ่งใดกับซูจิ่นซีได้ เป็นนางเองที่ทำให้ตนเองต้องมาเผชิญกับบาปกรรมเหล่านี้ !

        เฉินไท่เฟยน้ำตาไหล นางทำได้เพียงร้องอย่างโหยหวน เหมือนหมูถูกเชือดอย่างไรอย่างนั้น

        ซูจิ่นซีเห็นเฉินไท่เฟยที่เป็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วไม่หยุด

        นางไม่เคยเห็นผู้ใดเลือดเย็นกับตนเองถึงเพียงนี้ จัดงานเลี้ยงโดยมีวัตถุประสงค์ไม่ดีแอบแฝง!

        เห็นได้ชัดว่าเฉินไท่เฟยพยายามเพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย

        นี่นางกำลังทำสิ่งใดกันแน่?

        ทันใดนั้นภายในหัวของซูจิ่นซีพลันเกิดแสงสะท้อนวาบวับ นางมองไปยังด้านหลังศีรษะของเทียนเฟยอย่างเหลือเชื่อ พลางหรี่ตาทั้งสองข้างลง

        มีเพียงผู้เดียวที่สามารถทำให้เฉินไท่เฟยเต็มใจทำให้ทุกอย่างบรรลุเป้าหมาย

        หรือว่าแท้จริงนางทำเพื่อ…

……

เชิงอรรถ

[1] เทียนเฟย คือ ราชินีแห่งสวรรค์ตามความเชื่อของชาวจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเล ชาวไทยเรียกเทียนเฟยอีกชื่อว่า ‘เจ้าแม่ทับทิม’ เทพเทียนเฟยเป็นเทพที่ตอบสนองความต้องการในจิตใจของมนุษย์ หรือเป็นที่พึ่งทางใจให้กับมนุษย์ ซึ่งชาวประมงนับถือเทพเทียนเฟยเป็นอย่างมาก

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset