ซูจิ่นซีจิบชาอย่างสงบแล้วพูดว่า “องครักษ์ฉินไม่ใช่ท่านอ๋อง ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องต้องการอันใด? ”
ฉินเทียนสะอึก การแสดงออกบนใบหน้าของเขาไม่น่าดูชมอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลานี้ซูจิ่นซีไม่ต้องการใส่ใจเขามากนักและไม่ต้องการสนใจเรื่องอื่นเช่นกัน นางเพียงต้องการกังวลเกี่ยวกับเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น
“ในเมื่อองครักษ์ฉินมาหาข้า ก็คงมีความคิดอยู่แล้ว มาพูดกันตามตรงเถิด! ”
ฉินเทียนไม่พูดอ้อมค้อม เขากล่าวตรงๆ ว่า “แม้ขณะนี้ประตูวังจะปิด ทว่ากลับมีเพียงตงกงเท่านั้นที่ยังสามารถเข้าและออกจากวังหลวงได้”
ดวงตาของซูจิ่นซีหรี่ลงทันที นางมองฉินเทียนเป็นเวลานาน การแสดงออกบนใบหน้าของฉินเทียนดูไม่เป็นตนเองเล็กน้อย
“องครักษ์ฉินต้องการให้ข้าไปขอร้องไท่จื่อหรือ? ”
“อย่างไรเสีย แต่ก่อนแม่นางซูกับองค์ชายก็คบหา… ”
ก่อนที่ฉินเทียนจะพูดจบ ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็หัวเราะเย้ยหยันขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีข้ายังเคารพองครักษ์ฉินยิ่ง คิดว่าท่านเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แล้ว”
“ซูจิ่นซี! ” ดวงตาของฉินเทียนเย็นชา ทันใดนั้นเขาก็จับกระบี่ในมือแน่น
ซูจิ่นซีมองฉินเทียนด้วยความดูถูกเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าเพียงสับสนเล็กน้อย องครักษ์ฉิน…ท่านดูหมิ่นข้าหรือ? หรือท่านไม่เข้าใจท่านอ๋องของพวกท่าน”
ชีวิตนี้แม้ซูจิ่นซีต้องตาย ก็จะไม่ไปขอร้องเยี่ยเซิน
ไม่ต้องพูดถึงอดีตที่ล่วงเลยระหว่างนางกับเยี่ยเซิน แม้ก่อนหน้านี้จะไม่มีเรื่องราวอันใดก็ตาม นางเชื่อว่าเยี่ยโยวเหยาที่หยิ่งยโสถึงเพียงนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะขอความช่วยเหลือหรือก้มศีรษะให้เยี่ยเซิน
ไม่มีทางอย่างแน่นอน
แม้เยี่ยเซินจะมีฐานะเป็นไท่จื่อ หรือแม้ว่าเขาจะใส่ส้นรองเท้าให้เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีก็ตาม [1] ซูจิ่นซีก็รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ดี
“องครักษ์ฉิน ท่านกลับไปเถิด! ข้ามีความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว” ซูจิ่นซีพูดอย่างสบายอารมณ์
“ซูจิ่นซี ท่านหมายความว่าอย่างไร? ” ฉินเทียนถามขึ้นอย่างเย็นชา
ดวงตาของซูจิ่นซีเย็นเยียบ นางจ้องไปที่ฉินเทียนโดยไม่แสดงจุดอ่อนใดๆ แม้แต้น้อย “ฉินเทียน หากไม่เห็นว่าท่านเป็นคนของวิหารวิญญาณ อีกทั้งมิตรภาพระหว่างท่านกับเยี่ยโยวเหยายังดีทีเดียว วันนี้ข้าคงไม่ปล่อยให้ท่านจากไปง่ายๆ ถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของซูจิ่นซีช่างเย็นชายิ่งนัก
ทันใดนั้น ดวงตาของฉินเทียนที่มองซูจิ่นซีก็ปรากฏรังสีแห่งการฆ่าฟันวาบวับขึ้นมา
“ข้าจะไม่เปลี่ยนใจ ออกไป! ”
ซูจิ่นซีกล่าวเสริมโดยไม่แสดงท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย
ฉินเทียนบีบกำปั้นอย่างรุนแรง เขาส่งเสียงไม่พอใจและเดินออกจากประตูไป
หลังจากที่ฉินเทียนออกไปจากจวนโยวอ๋องแล้ว เขาก็กระโดดข้ามชายคาสูงขึ้นไป ทันใดนั้นด้านหลังของเขาก็ปรากฏ ‘จิ้นหนานเฟิง’ องครักษ์คนใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นองครักษ์ข้างกายเยี่ยโยวเหยา “พี่ฉิน ทำธุระสำเร็จแล้ว? ”
รอยยิ้มที่มีความหมายปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉินเทียน “ซูจิ่นซีช่างน่าสนใจจริงๆ ”
“พี่ฉิน ก่อนที่ท่านอ๋องจะเข้าวังหลวงได้ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้เราเปิดเผยข้อมูลใดๆ ต่อพระชายา เรื่องนี้ท่านอ๋องจะจัดการเอง หากท่านอ๋องกลับมาแล้วรู้ว่าท่านทำโดยพลการ ข้าเกรงว่าท่านจะทุกข์ทรมานอีก”
“ข้าเพียงต้องการดูว่าซูจิ่นซี…สตรีนางนี้มีความสามารถเพียงใดกันแน่”
“พี่ฉิน ท่านไม่ได้ต่อต้านการยอมรับพระชายาของท่านอ๋องหรือ? ” น้ำเสียงของจิ้นหนานเฟิงมีแววเบิกบานใจเล็กน้อย
ฉินเทียนเหลือบมองอย่างลึกซึ้งไปยังทิศทางของจวนโยวอ๋อง “เรื่องที่โยวเหยาตัดสินใจแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ากับข้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรืออย่างไร? ”
จิ้นหนานเฟิงรู้สึกปิติขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าก่อนที่รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาจะบานได้อย่างเต็มที่ ฉินเทียนก็หันมาและพูดว่า “อย่างไรก็ตาม หากวันนั้นมาถึงจริงๆ แม้เวลานั้นโยวเหยาจะไม่ใจไม้ไส้ระกำ ข้าก็ต้องฆ่าซูจิ่นซีกับมือแทนเยี่ยโยวเหยาอย่างแน่นอน อย่างไรเสียชีวิตนางก็… ”
ฉินเทียนพูดได้เพียงครึ่ง ดวงตาของเขาก็ราวกับครุ่นคิดสิ่งใดอย่างลึกซึ้งและไม่พูดอันใดขึ้นมาอีก
จิ้นหนานเฟิงถูกแววตาของฉินเทียนทำให้ตกตะลึง เขาพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “พี่ฉิน ท่านกำลังพูดอันใด? ท่านจะฆ่าพระชายาเองกับมือหรือ? เกิดอันใดขึ้นกับชีวิตของพระชายา? ”
ฉินเทียนกลับมามีสติอีกครั้ง เขาตบไหล่จิ้นหนานเฟิงแล้วพูดว่า “น้องชาย จงอารักขาโยวเหยาให้ดีและทำงานให้หนัก ไม่ง่ายเลยที่จะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาสู่ตำแหน่งปัจจุบัน เจ้าควรรู้กระไร ข้าก็จะให้เจ้ารู้ด้วยตนเอง ทว่าเรื่องที่เจ้าไม่ควรรู้ก็อย่าอยากรู้อยากเห็น เพราะความอยากรู้อยากเห็นมักจะฆ่าแมว! [2] ”
จิ้นหนานเฟิงยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าฉินเทียนได้จากไปแล้ว เขาทำได้เพียงติดตามฉินเทียนไปยังทิศทางของวิหารวิญญาณ
หลังจากที่ฉินเทียนออกไปแล้ว ซูจิ่นซีก็นั่งอยู่ในเรือนชิงโยวเพื่อทบทวนสิ่งใดบางอย่าง นางไม่พูดกระไรแม้แต่น้อย
แสงจันทร์เงียบสงัดกระจ่างราวกับนมวัวส่องกระทบร่างของซูจิ่นซี ยิ่งทำให้นางดูสงบและสวยงาม
ครึ่งชั่วยามต่อมา ซูจิ่นซีก็ถามแม่นมฮวาว่า “แม่นมฮวา ในตำหนักมีแหวนธำมรงค์ของบุรุษหรือไม่? แบบที่ฝังพลอยหรือหินโมราที่สามารถเปิดหน้าแหวนได้จำพวกนั้น”
แม่นมฮวาไม่ได้ถามซูจิ่นซีว่าต้องการแหวนธำมรงค์ไปทำสิ่งใด “ข้าน้อยจะลองไปหาดูเพคะ พระชายาโปรดรอสักครู่นะเพคะ”
แม่นมฮวาไปได้ไม่นาน เมื่อกลับมาก็ยื่นแหวนธำมรงค์สีเขียวมรกตที่ฝังด้วยหินโมราให้ซูจิ่นซี “พระชายาเพคะ ท่านลองดูว่าวงนี้ใช้ได้หรือไม่ ดูจากฝีมือและวัสดุแล้วคงไม่ใช่ของจงหนิงเรา ข้าน้อยก็ดูไม่ออกเช่นกันเพคะ ทว่าข้าน้อยพบเพียงสิ่งนี้ ท่านอ๋องไม่ชอบสิ่งของเหล่านี้และในจวนก็ไม่ได้ซื้อหรือรวบรวมสิ่งของจำพวกนี้ไว้ นี่เป็นของบรรณาการที่ทูตของซีอวิ๋นเคยถวายแก่ฮ่องเต้องค์ก่อนเมื่อวันคล้ายวันพระราชสมภพ ครานั้นฮ่องเต้องค์ก่อนทรงรักท่านอ๋องมาก พระองค์จึงประทานให้ท่านอ๋องเพคะ”
“ไม่ว่าสิ่งของจะดีหรือไม่ดี ขอเพียงมีไว้ก็พอ”
ซูจิ่นซีรับแหวนธำมรงค์มาและขอให้แม่นมฮวาหยิบมีดมาหนึ่งเล่ม หลังจากเปิดหน้าแหวนได้ ซูจิ่นซีก็ใส่ผงสีเขียวอ่อนลงไปในนั้นและปิดหน้าแหวนกลับไป
“ลวี่หลีไปเอาเสื้อคลุมของข้ามา พ่อบ้านเตรียมรถม้า”
ลวี่หลีและพ่อบ้านไม่ถามอันใดสักคำ เร่งรีบไปเตรียมการให้ซูจิ่นซี
แม่นมฮวากังวลและร้อนใจเล็กน้อย “พระชายาเพคะ บัดนี้เป็นยามโหย่วแล้ว ท่านยังจะออกไปอีกหรือเพคะ? ”
“ท่านอ๋องยังทรงประทับอยู่ในวังหลวงและไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทำอันใดกับเขา ข้าวางใจไม่ลง ต้องหาทางเข้าไปในวังหลวงสักครั้ง แม่นมฮวาไม่ต้องตามไปหรอก ให้ลวี่หลีไปกับข้าก็พอแล้ว”
ซูจิ่นซีสวมเสื้อคลุมที่หยิบมาจากลวี่หลีและเดินออกไป แม่นมฮวาต้องการไปกับซูจิ่นซีเป็นอย่างมาก ทว่าซูจิ่นซีไม่ยินยอมอย่างเด็ดขาด
รถม้าแล่นไปตามทางฝั่งตะวันตกของเมือง ในที่สุดก็หยุดลงหน้าประตูลานเล็กๆ อันโดดเด่นที่มีคำว่า “จวนอวิ๋น” สลักอยู่บนแผ่นประตู
ผู้ที่ซูจิ่นซีออกไปหาตอนกลางคืนคืออวิ๋นจิ่น ดังนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่นางจะพาแม่นมฮวามาด้วย
หากให้แม่นมฮวารู้ว่าซูจิ่นซีกำลังไปหาชายอื่นตอนกลางดึกเช่นนี้ จะได้หรือ? หูของซูจิ่นซีคงไม่เป็นอันสงบไปอย่างน้อยสามเดือนเป็นแน่
อวิ๋นจิ่นสง่างามยิ่ง เขากำลังดื่มชาและอ่านหนังสืออยู่ในศาลาริมน้ำ ลานของจวนถูกอาบไปด้วยแสงจันทร์ เมื่ออวิ๋นจิ่นได้ยินว่าซูจิ่นซีมาก็เร่งรีบออกมาต้อนรับด้วยความแปลกใจเป็นอย่างมาก “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่ได้? ”
“หมอหลวงอวิ๋นไม่ต้อนรับข้าหรือ” ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก
“ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยคารวะพระชายา! ” อวิ๋นจิ่นผงกศีรษะ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่ซูจิ่นซี แม้รอยยิ้มนั้นจะไม่สามารถขจัดความกดดันในใจทั้งหมดของซูจิ่นซี ทว่ามันกลับทำให้ภายในใจของซูจิ่นซีผ่อนคลายขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
“หมอหลวงอวิ๋น ข้ามาพบท่าน แท้จริงแล้วมีบางอย่างที่สำคัญมากที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากท่าน! ”
……