สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 180 สงสัย ไม่เชื่อถือกรรมการ

ปห

        “ซูเซียนฮุ่ย จำเอาไว้ ว่าท่านพูดคำนี้! ” ซูจิ่นซีกล่าว

        “เป็นข้าที่พูด! ” ซูเซียนฮุ่ยไม่แสดงท่าทีอ่อนข้อแม้แต่น้อย นางเงยหน้าขึ้นมองซูจิ่นซีอย่างทะนงตน

        ซูจิ่นซีไม่พูดอันใด เพียงมองไปยังที่นั่งของกรรมการด้วยแววตาเรียบเฉย

        กรรมการทั้งสามท่านที่นั่งอยู่บนโต๊ะตรวจดูยาที่ปรุงเสร็จของซูอวี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากอวิ๋นจิ่นแล้ว ใบหน้าของอีกสองท่านก็ซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ไม่อยู่

        ซูเซียนฮุ่ยรู้สึกถึงความผิดปกติ และเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นเช่นไรเล่า? กรรมการทั้งสามท่าน พวกท่านพูดสิ! ”

        ตามกฎแล้ว ซูเซียนฮุ่ยเป็นเพียงผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ไม่มีคุณสมบัติและไม่อนุญาตให้พูดคุยหรือสนทนากับคณะกรรมการโดยตรง

        “นายน้อยอวี้ช่างมีปรีชาสามารถ! ไม่คิดว่าจะสามารถปรุงยานี้ออกมาได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องชั่ง นายน้อยอวี้ ท่านทำได้อย่างไรกัน? ” หมอหลวงหวังมองไปทางซูอวี้ด้วยแววตาเป็นประกาย

        ซูอวี้ทาบมือที่หน้าอกของตน เขาไออย่างรุนแรงสองครั้งและไม่ได้พูดอันใด

         “กระไรนะ? ”

        ซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นพูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างไม่อยากจะเชื่อ

        “หมองหลวงหวัง ท่านไม่ได้พูดผิดแน่นะ? การปรุงยาของซูอวี้จะแม่นยำได้อย่างไร? ”

        ความจริงแล้วซูเซียนฮุ่ยดูกังวลมากกว่าซูจวิ้น นางคุยโวโอ้อวดต่อหน้าซูจิ่นซีเอาไว้

         “หึ หรือว่าท่านสงสัยในตัวผู้เฒ่าอย่างข้า? แม้คนอย่างข้าจะอายุมากแล้ว ทว่าไม่พูดจาเหลวไหลไม่รู้ว่าจุดใดควรมิควร” หมอหลวงหวังกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

         “มันเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไรได้อย่างไร? ” ซูเซียนฮุ่ยพึมพำกับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ที่หมอหลวงหวังพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ยาที่นายน้อยอวี้ปรุงนั้นแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง”

        อวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างอ่อนโยน แม้ดูเหมือนว่าเขากำลังรายงานผลให้ซูจิ่นซี ทว่าความจริงแล้วเป็นการแจ้งให้ซูจิ่นซีทราบ เพื่อแสดงให้ซูจิ่นซีรู้ว่าไม่ต้องกังวลกับซูอวี้จนเกินไป

        ความจริงแล้วผลการแข่งขันของซูอวี้ ซูจิ่นซีรู้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ซูอวี้ปรุงยานั่นสำเร็จ

        ระบบถอนพิษได้ตรวจเครื่องปรุงยาของซูอวี้ รวมทั้งส่วนประกอบและปริมาณของเครื่องปรุงยาทั้งหมด

        หากไม่มีระบบถอนพิษ ซูจิ่นซีคงไม่มีความชํานาญที่ล้ำเลิศเช่นนี้อย่างแน่นอน ซูอวี้เป็นเด็กที่มีอายุเพียงแปดปี ทว่าเขากลับทำมันได้อย่างไรกัน?

        หรือเขาจะเป็นอัจฉริยะจริงๆ ?

         ซูจิ่นซีประหลาดใจเป็นอย่างมาก

         “ผลเป็นเช่นไร? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น

        “การแข่งขันในรอบนี้ นายน้อยจวิ้นและนายน้อยอวี้ได้รับชัยชนะ! ” อวิ๋นจิ่นตอบ

        “หมอหลวงอวิ๋น พวกท่านไม่ได้ทำพลาดแน่หรือ? นี่… นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? ”

        ซูเซียนฮุ่ยคิดไม่ถึงว่าตนจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันรอบนี้ นางเชี่ยวชาญเรื่องการปรุงยาพวกนี้มากที่สุด และหัวข้อที่นางจับได้ก็ง่ายยิ่งนัก นางมีความมั่นใจในตนเองสูงมาก เหตุใดถึงพ่ายแพ้ได้เล่า?

        “หึ! ซูเซียนฮุ่ย ท่านอย่าทำตัวมากความจนเกินไปนัก! ท่านซักถามคณะกรรมการครั้งแล้วครั้งเล่า หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ”

        อวิ๋นจิ่นมีนิสัยและอารมณ์สุภาพอ่อนโยน ทว่าอารมณ์ของหมอหลวงหวังกลับใช่ว่าจะดีเสมอไป

        ซูเซียนฮุ่ยกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ทว่าไม่นานดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ข้าเชื่อพวกท่านไม่ลง! ”

        เหตุใด?

        เชื่อกรรมการไม่ลง?

        นี่คือแพ้ไม่ลงจึงเริ่มกัดผู้อื่นหรือไม่?

        “ไม่เจียมตัว! ข้าเป็นหมอหลวงมาหลายปีไม่เคยถูกผู้ใดสงสัยมาก่อน หมอสวี่เป็นหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองตี้จิง ทักษะทางการแพทย์เป็นที่ยอมรับของทุกคน แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดแล้ว ส่วนหมอหลวงอวิ๋น แม้ยังหนุ่มแน่น ทว่ากลับเป็นหมอหลวงอัจฉริยะ กระทั่งฮ่องเต้ยังทรงให้การยอมรับด้วยพระองค์เอง เจ้ามันก็แค่เด็กน้อยที่ไร้ประสบการณ์ มีสิทธิ์กระไรไม่เชื่อใจพวกข้า? ” หมอหลวงหวังใบหน้ามืดมนขึ้นมาในทันที

        ซูเซียนฮุ่ยเชิดหน้ายืดอกตรง ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในทักษทางการแพทย์ของท่าน ทว่าไม่เชื่อใจศีลธรรมในตัวท่าน”

        นางชี้ไปทางอวิ๋นจิ่น “หมอหลวงอวิ๋น ผู้ใดบ้างไม่รู้ถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างท่านกับซูจิ่นซี ไม่เช่นนั้น หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงที่ถวายการตรวจชีพจรให้ฝ่าบาทและฮองเฮาจะยอมมาเป็นกรรมการให้การแข่งขันเล็กๆ ในสกุลซูของพวกข้าได้อย่างไร? ซูอวี้เป็นคนของซูจิ่นซี หากท่านเข้าข้างซูอวี้ แล้วพวกข้าจะพูดกระไรได้? หมอหลวงหวัง ท่านและหมอหลวงอวิ๋นต่างก็มาเพื่อซูจิ่นซี ข้าคงไม่ต้องพูดอันใดให้มากความกระมัง? ส่วนท่าน หมอสวี่! แม้ท่านจะเป็นหมอประจำหอโอสถของสกุลซู ทว่าอย่างไรก็ตาม ไม่นานนี้สมุดบัญชีของหอโอสถสกุลซูในเมืองตี้จิงได้ถูกซูจิ่นซีโกงเอาไป ไม่แน่ท่านอาจถูกนางซื้อตัวไว้”

        “คุณหนูเซียนฮุ่ย ท่าน… ท่านมาใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน! คนแก่อย่างข้าซื่อตรงกับวิชาชีพมาโดยตลอด จะถูกผู้อื่นซื้อตัวได้อย่างไร? ” หมอหลวงสวี่แสดงใบหน้าลำบากใจ

        “ซูเซียนฮุ่ย ท่านกล้าดียิ่งนัก ท่านไม่เกรงกลัวว่าข้าจะลงโทษ ฐานที่ท่านใส่ร้ายขุนนางราชสำนักหรืออย่างไร? ” หมอหลวงหวังกล่าวขึ้น

        ซูเซียนฮุ่ยเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มเย้ย “เหอะๆ ช่างน่าขันเสียจริง! หมองหลวงหวัง หากท่านใช้อำนาจมาแก้แค้น ถือเอาตำแหน่งขุนนางราชสำนักของท่านมากดขี่สตรีผู้อ่อนแออย่างข้า แล้วสามัญชนคนธรรมดาอย่างข้ายังจะพูดกระไรได้เล่า? ”

        “ท่าน… ท่าน… ท่านทำให้ข้าโมโหยิ่งนัก… ”

        เมื่อเผชิญหน้ากับคนพาลหาเรื่องอย่างซูเซียนฮุ่ย แม้หมอหลวงหวังจะโกรธมาก ทว่าไม่มีหนทางให้ทำอันใดได้แม้แต่น้อย เขาโกรธจนใบหน้าอึมครึม หมอหลวงหวังทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างโกรธเคือง พลางลูบอกของตนอย่างรุนแรง

        “หมอหลวงอวิ๋น ท่านเล่า? ท่านไม่พูดกระไรหน่อยหรือ? เป็นเพราะถูกข้าเปิดโปงความจริงใช่หรือไม่ จึงพูดไม่ออกเหมือนเป็นคนใบ้ อับอายเกินกว่าจะพูดหรือ? ” ซูเซียนฮุ่ยพูดกับอวิ๋นจิ่นอย่างอวดดี

        การแสดงออกของอวิ๋นจิ่นสงบนิ่ง

        แม้เมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่นมักปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอ ทว่ารอยยิ้มนั้นเป็นของซูจิ่นซีเพียงผู้เดียว สำหรับผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ยุ่งวุ่นวายอย่างซูเซียนฮุ่ย เขาไม่แสดงใบหน้าอันดีด้วยอย่างแน่นอน

        “หากคุณหนูซูเซียนฮุ่ยสงสัยในคำตัดสินของคณะกรรมการ ก็สามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง ทว่าหากตรวจสอบไม่พบ จะถือเป็นการใส่ร้ายข้าและหมอหลวงหวัง ทั้งยังล่วงเกินพระชายา ราชสำนักไม่มีทางอภัยให้ท่านโดยเด็ดขาด”

        อวิ๋นจิ่นพูดถึงขั้นนี้แล้ว ซูเซียนฮุ่ยยังตระหนักไม่ได้ถึงการกระทำอันโง่เขลาของตนเอง นางหัวเราะเยาะอย่างโง่งม “หึ! พวกท่านพูดทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองแล้ว ผลการตัดสินก็ประกาศแล้ว ข้ามันหัวเดียวกระเทียมลีบ หากตรวจสอบแล้วจะมีประโยชน์อันใด? แม้จะมีประโยชน์ ทว่าจะให้ข้าตรวจสอบอย่างไร? ข้าสามารถตรวจสอบได้หรือ? ”

        อวิ๋นจิ่นกวาดสายตามองซูเซียนฮุ่ยอย่างเย็นชา เขานั่งหันกายไปทางซูจิ่นซีและพูดว่า “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยแนะนำว่าให้เปิดเผยคำถามการทดสอบและผลทุกอย่างในรอบนี้ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์คนของพวกเรา”

         “อ้อ? จะพิสูจน์อย่างไร? ”

        “ในเมื่อคุณหนูซูเซียนฮุ่ยสงสัยในการตัดสิน สงสัยพวกเราสามคนและพระชายา เหตุใดจึงไม่ให้นางเลือกคนจากฝูงชนสักสองสามคนมาตรวจสอบผลการแข่งขันครั้งนี้เล่า หม่อมฉันไม่เคยรู้สึกละอายใจในการตรวจสอบของตนเอง”

        “ซูเซียนฮุ่ย ท่านพอใจกับคำแนะนำของอวิ๋นจิ่นหรือไม่? ” ซูจิ่นซีถามซูเซียนฮุ่ย

         “ตรวจสอบก็ตรวจสอบ! เช่นนี้ดีที่สุด! หมอหลวงอวิ๋น ท่านคิดว่าท่านไม่รู้สึกละอายใจในการตรวจสอบของตนเอง แล้วข้าจะกลัวท่านหรือ? ” ซูจิ่นซีไม่เข้าใจ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งยังเผชิญหน้ากับบุคคลสาธารณะแห่งวงการแพทย์ทั้งสามท่าน หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงขี้ขลาดหรือไม่ก็คงถอนตัวไปแล้ว ซูเซียนฮุ่ยไปเอาความมั่นใจและความกล้าหาญนี้มาจากที่ใด

         “ซูเซียนฮุ่ย! ท่านกล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่? ” ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ถามขึ้นมา

        “เดิมพันกระไร? ” ซูเซียนฮุ่ยยังคงกล้าหาญไม่กลัวตาย

        “เดิมพันผลการแข่งขัน หากผลการแข่งขันมีปัญหา นับว่าข้าแพ้แล้ว ท่านจะลงโทษอย่างไรก็ย่อมได้ ทว่าหากตรวจสอบผลการแข่งขันแล้วไม่มีปัญหา ก็ถือว่าเป็นท่านที่แพ้ ข้าต้องการให้ท่านคุกเข่าขอโทษกรรมการทั้งสามท่านและอวี้เอ๋อร์ ทั้งยังต้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมดและวิ่งรอบถนนฉางอันสามรอบด้วย! ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset