ตอนที่ 92 ลู่จ้านผู้นี้
ท่านแม่ทัพใหญ่ลู่เทียนหยาเป็นบุคคลสำคัญในราชวงศ์โจว ตั้งแต่บรรพชนยกทัพทหารม้าแย่งชิงแผ่นดินนี้กลับคืนมาได้ องค์ฮ่องเต้จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ทั้งที่มิใช่เชื้อพระวงศ์และมีส่วนน้อยที่ได้รับเกียรตินี้
เมื่อผ่านไปแล้วสองราชวงศ์ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหวาดระแวงในบรรดาศักดิ์ที่มิใช่เชื้อพระวงศ์เหล่านี้ เกรงว่าพวกเขาจักยกทัพต่อต้านการปกครอง ฉะนั้นสิทธิ์บัญชากองทัพหรือบรรดาศักดิ์ที่มิใช่เชื้อพระวงศ์จึงน้อยลงจากอดีต ทว่าลู่เทียนหยายังได้รับความไว้วางพระทัย
ลู่เทียนหยามีกำลังทหารในมือหลายหมื่นนาย ทั้งปีเฝ้าระวังอยู่ทางชายแดนเหนือ มีการสู้รบกับพวกป่าเถื่อนทางเหนือเป็นสิบครั้ง รวมทั้งศึกใหญ่และศึกเล็กซึ่งมิเคยพ่ายแพ้มาก่อน ฉะนั้นจึงถูกขนานนามว่าเทพสงคราม
ลู่จ้านคือบุตรชายของเขาก็ได้สืบทอดความกล้าหาญมาทั้งสิ้น เพียงอายุได้ 13 ปีก็ออกสนามรบแล้วตัดศีรษะศัตรูเรือนพัน สามารถกล่าวว่าเป็นบุรุษหนุ่มผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ
อันหลิงเกอค่อย ๆ เหลือบตามอง แกล้งสังเกตเขาไว้แบบระวังและเห็นลู่จ้านที่ทั้งกายมีประกายความชอบธรรม ร่าเริงเป็นมิตร เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็มีบุคลิกองอาจมีเสน่ห์และตอนนี้ก็ออกตัวช่วยเหลือชาวบ้าน ไม่แปลกที่มีชื่อเสียงเป็นแม่ทัพน้อยลู่เลย
ดวงตาของนางเหลือบมองร่างของลู่จ้านทีหนึ่ง เขาก็หันกลับมาอย่างฉับพลันและเห็นเพียงบุรุษที่โฉมหน้าดูดีสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อนกำลังเก็บสายตาอย่างเร่งรีบ
ลู่จ้านมิได้ใส่ใจแล้วหันมองรถม้านั้นต่อ คำที่พูดออกมานั้นไหลเข้าหัวใจคนอื่นแล้ว “ท่านชายจวนเจิ้นกั๋วกงป่วยเป็นโรคสาหัสอันใด หรืออีกมินานก็จักลาจากโลกมนุษย์แล้วจึงมิกล้าออกมาพบผู้คน ? ”
ใบหน้าของบ่าวรับใช้จวนเจิ้นกั๋วกงขึ้นสีแดงก่ำ มือทั้งสองข้างจับด้ามดาบไว้แต่มิกล้าดึงดาบออกมาเสียที
มิว่าพวกเขาโกรธและอับอายมากเพียงใดก็มิกล้าเผชิญหน้ากับบุตรชายของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่หรอก
ยิ่งไปกว่านั้นในมือของลู่จ้านมีสิทธิ์สั่งกององครักษ์กองที่หนึ่งอีกด้วย หากเขาไปทูลฮ่องเต้แล้ว แม้จักเป็นเจิ้นกั๋วกงก็มิอาจรอดพ้นไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน
ผ้าม่านของรถม้ามีการเคลื่อนเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นบุรุษสวมเสื้อแพรเดินลงมา บุรุษผู้นั้นมีใบหน้าขาวอมชมพู แต่งเส้นผมทาน้ำมัน อาภรณ์ก็สีฉูดฉาด เพียงมองภายนอกจักมองมิออกว่ามีอาการป่วยหนักอันใด
เขาเดินลงจากรถม้าภายใต้การประคองขององครักษ์แล้วยกมือคำนับต่อลู่จ้าน “คุณชายลู่ ในเมื่อได้พบด้วยวาสนา เราไปดื่มสุราสักจอกที่โรงเตี๊ยมข้างหน้าจักดีกว่าหรือไม่ ? ”
โจวหมิง ท่านชายแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงแสดงความสนิทใส่ลู่จ้าน ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มเป็นมิตร ยิ้มจนจักกลายเป็นดอกไม้บานอยู่แล้ว
ลู่จ้านส่งเสียง ฮึ ! ออกมาหนึ่งทีด้วยความเย้ยหยัน ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความมิชอบใจและรังเกียจออกมา “ดื่มสุราเป็นความคิดที่ดี ทว่าดื่มกับคนเยี่ยงเจ้า ข้ากลัวว่าจักดื่มมิลง”
“บังอาจ ! ” บ่าวรับใช้ตะโกนแทรก “ท่านชายของเราเป็นบุตรของเจิ้นกั๋วกง มีตำแหน่งสูงศักดิ์ สมควรให้คนหยาบคายเยี่ยงเจ้าเหยียบย่ำได้หรือ ? ”
คิ้วเข้มของลู่จ้านเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาแหลมคมจ้องบ่าวรับใช้ผู้นั้นแล้วริมฝีปากก็เหยียดยิ้มเยาะ “ท่านชายแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วจักทำอันใด ข้าเป็นทหารของทางการที่พกดาบ กล้าถามท่านชายของเจ้าไหมว่าเขามีตำแหน่งทางการอันใด ? ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าของโจวหมิงก็แย่ขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไป
หากมิติดที่บิดาของลู่จ้านมีกองทัพในมือและได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ตนคงสั่งให้คนตัดศีรษะลู่จ้านตั้งแต่รั้งรถม้าในคราแรกแล้ว !
คาดมิถึงว่าตนอุตส่าห์ลงจากรถม้าและพูดดีด้วยแล้วอีกฝ่ายยังมิไว้หน้า ช่างรังแกกันเกินไปแล้ว !
โจวหมิงกำหมัดแน่น ท้ายที่สุดก็แสร้งยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “คุณชายลู่ล้อเล่นแล้ว ข้าเพียงได้สืบทอดเงาที่สะท้อนจากบิดาจึงกินดีอยู่ดีเยี่ยงนี้ จักมีความสามารถตั้งแต่เยาว์วัยเยี่ยงท่านได้เช่นไร อีกทั้งยังได้รับคำชื่นชมและได้รับการประทานยศจากฮ่องเต้ด้วย”
แม้โจวหมิงมีชาติกำเนิดสูงส่งทว่าก็ไร้ตำแหน่งทางราชการ เมื่อเผชิญคำถามของลู่จ้านจึงไร้ความมั่นใจโดยสิ้นเชิง
เมื่อได้ฟังสิ่งที่โจวหมิงกล่าวออกมา ลู่จ้านทำเพียงหัวเราะและมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “มิเลว ถือว่าเจ้ายังมองความเป็นจริงอยู่บ้าง เยี่ยงนั้นข้าขอถามเจ้าว่าเหตุใดจึงปล่อยรถม้าชนคนบาดเจ็บ ทั้งยังทำร้านค้าหลายร้านเสียหาย เรื่องนี้เจ้าจักจัดการเยี่ยงไร ? ”
นี่คือการบังคับให้เขายอมรับผิดต่อหน้าผู้คน !
โจวหมิงโกรธจนคันไม้คันมือ ดวงตาฉายแววเกลียดชังออกมา แต่ก็กลัวว่าลู่จ้านจักกราบทูลฮ่องเต้จึงต้องทนเก็บความมิพอใจไว้ “เรื่องนี้เพราะข้ามิเข้มงวด พวกเขาเป็นห่วงอาการป่วยของข้าจึงรีบร้อนเยี่ยงนี้ ข้าขอโทษต่อหน้าทุกคน ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางจวนเจิ้นกั๋วกงจักชดใช้เงินให้ ร้านที่เสียหายก็จักชดใช้มิละเลย”
คำพูดเช่นนี้ช่างน่าฟัง ทำให้ผู้คนรอบข้างตื้นตันขึ้นมาและเอ่ยขอบคุณในความใจกว้าง
เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี อันหลิงเกอก็ถอดหายใจยาวเหยียดแล้วหันหลังพาหมิงซินเดินไปทางร้านฮุยฉุนถัง
ลู่จ้านที่สังเกตเห็นท่าทีชาญฉลาดของอันหลิงเกอก็ปรากฏความสนใจในแววตาจึงเป็นเหตุให้ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทว่ามิได้วิ่งตามไปแต่อย่างใด
ผู้คนหน้าร้านฮุยฉุนถังมิมากมิน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนที่นำใบสั่งยามาซื้อยาและมีบางส่วนที่มิมีใบสั่งจึงมาซื้อตัวยาธรรมดาเท่านั้น
อันหลิงเกอในคราบบุรุษและหมิงซินที่แต่งกายเป็นบ่าวผู้ชายก็ต่อแถวพร้อมลอบสังเกตสถานการณ์ภายในร้านไปด้วย
ผู้มีใบสั่งยาจักถูกเรียกไปฝั่งตู้ยาและมีพนักงานตวงชั่งยาเสร็จแล้วส่งให้ ส่วนผู้ไร้ใบสั่งยาถูกเรียกไปอีกฝั่งโดยมีหมอคอยจับชีพจรตรวจร่างกายจากนั้นก็ให้ไปรับยาที่ตู้ยา
แววตาของอันหลิงเกอจดจ้องพร้อมกระซิบไปที่ข้างหูของหมิงซินอยู่ครู่หนึ่ง
หมิงซินยืนอยู่ก่อนอันหลิงเกอ เมื่อถึงคราของนางก็เดินเข้าไปหาท่านหมอและเอ่ยเสียงเข้มว่า “ท่านหมอ ข้าต้องการ*ปั้นเซี่ย 3 เฉียน *ชางจู๋ 5 เฉียนและ*ไป่เหว่ย 2 เฉียน”
ท่านหมอเงยหน้ามองนางแล้วส่ายศีรษะปฏิเสธ “ในร้านมิมียาประเภทนี้แล้ว ท่านไปดูที่อื่นเถิด”
หมิงซินทำหน้าผิดหวัง “ข้าไปร้านยามาหลายที่แล้วก็มิมีเลย ต้องไปที่ใดจักมีเล่า?”
“ข้าก็มิรู้หรอก ท่านไปเดินดูร้านยาอีกหลาย ๆ แห่งเถิด” ท่านหมอกล่าวจบก็ผายมือให้ให้หมิงซินออกไปแล้วเริ่มตรวจคนใหม่
ทว่าอันหลิงเกอถือใบสั่งยาออกมาแล้วไปต่อแถวที่ตู้ยาอีกฝั่ง
นางยื่นใบสั่งยาให้พนักงาน พนักงานคนนั้นรีบห่อยาให้เสร็จสรรพ อันหลิงเกอกล่าวขอบคุณแล้วรีบรับยาเพื่อออกจากร้านฮุยฉุนถังไป
หมิงซินที่ออกมาก่อนก็ไปรออันหลิงเกอที่ปากทางเข้า “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ คุณหนูใหญ่ได้ยาหรือไม่ ? ”
ใบสั่งยานั้นอันหลิงเกอเขียนขึ้นมาเอง ในนั้นมีปั้นเซี่ย ชางจู๋และไป่เหว่ยมิแตกต่างจากที่ให้หมิงซินสั่ง
อันหลิงเกอพยักหน้าแล้วส่งสายตาให้รู้ว่าไปคุยที่จวนดีกว่า
หมิงซินเข้าใจความหมายของอันหลิงเกอทันทีจึงหุบปากแล้วเดินตามอันหลิงเกอเพื่อกลับจวนโหว
ป้าโจวซื้อของเสร็จเรียบร้อยและกำลังสนทนากับป้าคนหนึ่งระหว่างรออันหลิงเกอและหมิงซินอยู่ที่มุมประตู
เมื่อเห็นอันหลิงเกอและหมิงซินเดินมา นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วรีบกล่าวลาสหายและพาทั้งสองคนกลับจวน
…