แม่ลูกตระกูลหลี่เคยพูดไว้ว่า ตอนที่พวกเขาไปตามหาแม่ซู่เหนียงได้ค้นจนทั่วภูเขาแล้ว นอกจากนั้นยังจงใจเอ่ยถึงพื้นที่ทางเหนือ ในคำพูดนั้นราวกับว่าที่นั่นเป็นที่พิเศษอะไร มีความเป็นไปได้ว่าสุดท้ายแม่ซู่เหนียงจะตายอยู่ทางเหนือที่ว่า
อวิ๋นเจี่ยวไม่รู้ว่าทางเหนือคือที่ไหน แต่ไป๋อวี้รู้จักเป็นอย่างดี ทางเหนือของตระกูลหลี่เป็นป่าลับที่คนไม่ค่อยรู้จัก เล่ากันว่าป่าแห่งนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันที่เป็นพิษ ถึงแม้จะเป็นนายพรานที่ชำนาญแค่ไหนก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ในสายตาของคนในเสวียนเหมิน ในป่าแห่งนั้นไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยหมอกควันที่เป็นพิษ แต่ยังเต็มไปด้วยพลังของผีที่ปกคลุมไปทั่วผืนป่า นั่นก็หมายความว่าที่นั่นมีความเป็นได้ว่าเป็นถ้ำผี ทุกทิศทุกทางเต็มไปด้วยสัมภเวสี ดังนั้นที่แห่งนี้ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า…ถ้ำผีสาว
เล่ากันว่าเดิมทีที่นั้นมีหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากอยู่ค่อนข้างห่างไกล ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ การใช้ชีวิตประจำวันก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นเพื่อเป็นการลดความกดดันจากการใช้ชีวิต ในหมู่บ้านจึงมีประเพณีที่พิเศษคือทอดทิ้งทารกหญิงที่เพิ่งคลอด พอเวลานานเข้าหญิงสาวในหมู่บ้านนับวันยิ่งน้อยลง ชาวบ้านส่วนใหญ่หาสะใภ้ไม่ได้เหมือนกับแม่ลูกตระกูลหลี่ พวกเขาจึงทำได้เพียงซื้อตัวหญิงสาวหรือทาสจากพ่อค้าเหล่านั้น หากคลอดลูกชายได้ยิ่งดี แต่หากเป็นลูกสาวจะถูกทอดทิ้ง เพราะฉะนั้นหญิงสาวที่ถูกซื้อมานั้นส่วนใหญ่มีจุดจบที่ไม่ค่อยดี
ทารกหญิงและหญิงสาวที่ตายนั้น สุดท้ายกลายเป็นผีร้ายกลับมาแก้แค้นชาวบ้าน เริ่มแรกชาวบ้านยังขอความช่วยเหลือจากคนในเสวียนเหมินในการปราบผีได้บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่เคยหยุดฆ่าทารกหญิงและทารุณเหล่าหญิงสาว พลังอาฆาตภายในหมู่บ้านยิ่งมากขึ้นทุกวัน ทำให้เกิดผีร้ายมากขึ้นไปด้วย จนถึงขั้นหยุดยั้งไม่ได้ สุดท้ายหมู่บ้านนั้นได้ถูกผีร้ายนับพันกลืนกินดับสลายภายในชั่วค่ำคืน ไม่มีคนรอดแม้แต่คนเดียว
ทางเหนือจึงกลายเป็นถ้ำผีไปในที่สุด คนที่เข้าใกล้ที่นั่น สุดท้ายไม่มีใครตายดี เล่ากันว่าเดิมมีสำนักหนึ่งของเสวียนเหมิน ทุ่มเทพลังทั้งหมดของสำนักคิดจะกำจัดผีร้ายในนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรอดออกมาได้ ต่อมาก็ไม่มีใครกล้าไปป่าลับทางเหนืออีก
ไป๋อวี้เคยได้ยินอาจารย์ของตนพูดถึงสถานที่แห่งนี้ แต่เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องวิชาทางเต๋าอยู่แล้ว อย่าว่าแต่จับผีเลย แม้กระทั่งหมอกพิษด้านนอกเขายังไม่อาจต้านได้ บวกกับระยะทางยาวไกล เขาจึงไม่เคยเข้าใกล้ที่นั่น เลยคิดเพียงแต่ว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น
แต่เมื่อกี้ที่ผีสาวพูดว่าจะรวมผีนับร้อยมาแก้แค้น บริเวณเขาขุยซานไม่มีผีร้ายมากมายขนาดนี้ก็จริง แต่ว่าถ้ำผีสาวมี อย่าว่าแต่ผีนับร้อย นับพันยังมี อีกทั้งระยะทางไม่เกินกว่าร้อยลี้เป็นแน่
ขนาดผีร้ายตัวเดียวพวกเขายังต้านไม่อยู่ มากันเป็นกลุ่ม…
ไป๋อวี้ตัวสั่น มือที่เคาะประตูของเจดีย์ยิ่งแรงมากขึ้น ตะโกนเรียกอย่างเวทนา “อาจารย์ปู่ ช่วยด้วย! สำนักชิงหยางของเรากำลังจะมีเคราะห์แล้ว…”
เขาตะโกนไปสี่ชั่วยามเต็มๆ เสียงแห้งแหบไปหมด แต่ไม่ว่าเขาจะร้องเรียกอย่างไร ด้านในกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ราวกับคนที่มาปรากฏตัวตรงเวลากินข้าวเมื่อหลายวันก่อนนั้นไม่เคยมีมาก่อน
ประตูเจดีย์ยังคงปิดแน่นสนิท และยังคงเป็นเช่นนี้ติดต่อกันสองวัน
“เจ้าหนู เจ้าว่า…” ไป๋อวี้พูดด้วยท่าทางที่ใกล้จะร้องไห้ออกมา “อาจารย์ปู่ท่านกลับไปบนสวรรค์แล้วหรือเปล่า”
“ไม่รู้” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหน้า
“งั้นทำอย่างไรละ!” เขาอยากจะร้องไห้เสียจริง “ผีสาวนั้นจะกลับมาแล้ว หากนางรวมผีนับร้อยได้จริง ยันต์บนประตูอารามคงต้านไม่ไหว” สำนักชิงหยางจะล่มสลายแล้ว!
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเจดีย์สูง ก่อนจะตอบว่า “คิดหาวิธีอื่นเถอะ เวลาไม่พอแล้ว”
“พวกเราจะออกไปก็ออกไม่ได้ ไม่แน่ว่าผีสาวกำลังรอพวกเราอยู่ด้านนอก” ไป๋อวี้ทึ้งผมของตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ “ไม่ได้ ข้าต้องวาดยันต์เพิ่ม อย่างน้อยก็พอต้านได้บ้าง”
พูดจบ เขาก็ลากอวิ๋นเจี่ยวเดินไปยังห้องที่ใช้สำหรับวาดยันต์ “ไปๆ เจ้าหนูมาช่วยข้าผสมหมึก”
พูดจบก็ควักกระดาษสีเหลืองออกมากองหนึ่งแล้วเริ่มวาด อวิ๋นเจี่ยวผสมสีหมึกอยู่ด้านข้าง มองเขาวาดยันต์อย่างจริงจัง เห็นเพียงแต่ยันต์สีเหลืองที่วาดออกมานั้นมีเพียงใบสองใบที่ปรากฏแสงสว่างเบาบางอยู่ แต่ส่วนใหญ่นั้นไม่มี นางขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเลือกยันต์ที่ใช้ได้ออกมาไม่กี่ใบ “พวกนี้ใช้ได้ พวกนั้นใช้ไม่ได้”
“ฮะ!” ชายแก่อึ้ง “เป็นไปได้อย่างไร!” พอนึกขึ้นได้ว่าเจ้าหนูมีตาทิพย์ เขาจึงรับมาอย่างสงสัย แต่พอเปรียบเทียบยันต์สองใบ ก็ยังไม่เห็นความแตกต่าง เขาจึงท่องคาถาขึ้นมาเพียงปลุกยันต์ทั้งสองใบ แน่นอนว่ามีใบหนึ่งมีไฟลุกไหม้ขึ้นมา ส่วนอีกใบไม่มีปฏิกิริยาเลย มันใช้ไม่ได้จริงด้วย!
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเขาตั้งแต่บนลงล่าง อัตราความสำเร็จต่ำขนาดนี้ จนถึงตอนนี้ยังไม่ถูกคนอื่นมองว่าเป็นนักต้มตุ๋นกระทืบตาย ถือว่ามีชีวิตอยู่อย่างโชคดีมากแล้ว “แต่ก่อนท่านใช้ยันต์อย่างไร”
“แต่ก่อน ข้าก็โยนเป็นกำๆ!” เขาตอบอย่างหน้าตาย
“…”
“ตอนนี้ทำอย่างไร” ชายแก่ร้อนรน เมื่อก่อนทำการค้าไม่เคยสนใจว่ายันต์จะใช้ได้ไหม เพราะอย่างไรก็โยนออกไปเป็นกำๆ ก็จบเรื่องตอนนี้หันไปเห็นกระดาษเสียเป็นกองบนโต๊ะ บวกกับยันต์ที่วาดสำเร็จที่เจ้าหนูคัดออกมา รู้ถึงกระทบจิตใจเป็นอย่างยิ่ง ที่แท้ขนาดวาดยันต์เขายังไม่มีพรสวรรค์เหรอ?
“ท่านวาดเดี๋ยวข้าดูให้” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ย
“…ได้!” ชายแก่พยักหน้า นี่ไม่ใช่เวลามาท้อแท้ ผีสาวนั้นจะกลับมาแล้ว หากยันต์ที่โยนออกไปเป็นยันต์ที่ใช้ไม่ได้ พวกเขาซวยแน่
ดังนั้นทั้งห้องดังก้องไปด้วยเสียงวิจารณ์ของอวิ๋นเจี่ยว ตอนแรกแค่คำวิจารณ์อย่าง… “ไม่ได้!” “เสียแล้ว!” “วาดใหม่!” “ใช้ได้ครึ่งเดียว!” เท่านั้น แต่อาจเป็นเพราะอัตราความสำเร็จของไป๋อวี้มันค่อนข้างขายหน้า ดูไปดูมา อัจฉริยะบางคนก็รู้ถึงเทคนิคการวาด อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่าตักเตือน
“เส้นนี้ไม่ติดต่อกัน เส้นตวัดขึ้นไปพลังก็สลายไปแล้ว ท่านไม่ได้อ่านตำรา ‘ยันต์วิเศษ’ เล่มนั้นเหรอ”
“โค้งนี้ต้องเก้าสิบองศา ของท่านนี่มันสี่สิบห้าองศา”
“ตรงนี้ต้องทำให้มันเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่า นั่นหมายความว่าแต่ละมุมเท่ากับหกสิบองศา ของท่านนี่อย่างน้อยมีเจ็ดสิบองศาแล้ว”
“ตรงนี้ต้องวาดวงกลม ท่านวาดสี่เหลี่ยมทำไม เดี๋ยว…ข้าทำวงเวียนอย่างง่ายให้ท่าน!”
“มืออย่าสั่น สั่นอีกเดี๋ยวมันจะเสีย”
“แล้วก็ตรงนี้…”
“ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าวาดเป็นตัวอย่างให้ท่าน ท่านเอากระดาษวางทาบแล้ววาดตาม”
ไป๋อวี้ “…”
มีความรู้สึกเหมือนอาจารย์ของตนฟื้นคืนชีพอย่างใดอย่างนั้น กดดันจัง
(ಥ_ಥ)
***
สองคนทางนี้กำลังพยายามวาดยันต์หาทางรอดให้ตัวเอง ส่วนเจดีย์ชั้นบนสุดที่อยู่ไม่ไกลนัก
คนบางคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในป้ายบูชา กำลังโกรธอยู่คนเดียว ไม่รู้แม้แต่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น โกรธจัง! จะไม่หายโกรธเลยถ้าไม่มีน้ำแกงไก่สามถ้วย…ต้องถ้วยใหญ่ด้วย!
(╰_╯)#