สวีชิงเฟิงมองไปยังผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงอย่างรีบร้อน คนที่นอนอยู่บนนั้นสงบลง ราวกับกำลังหลับใหล สีหน้าดีขึ้นกว่าในตอนแรกอย่างมาก เขาหันหน้าไปมองทางอวิ๋นเจี่ยว “สหายอวิ๋น เขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นหน้าอีกครั้ง แตะลงไปที่ชีพจร ตรวจดูอย่างละเอียดก่อนจะพูดขึ้น “ผนึกคำสาปถูกกำจัดแล้ว เขาน่าจะไม่มีอันตรายต่อชีวิต เพียงแค่ร่างกายสูญเสียพลังงานไปมาก ต้องพักฟื้น ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้พวกท่านเอาไว้ เมื่อเขาตื่นก็ต้มให้เขาดื่ม”
ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงโล่งใจ โดยเฉพาะชายหนุ่มที่เป็นหมอยิ่งอุทานออกมาด้วยความดีใจ “อาจารย์
อวิ๋นช่างมีวิชาแก่กล้า พวกข้าไม่มีวิธีเลย แต่พอท่านมาก็หาผนึกคำสาปออกมาได้ไม่พอ ยังกำจัดมันทิ้งได้อีก”
“อืม ข้าไม่ได้ทำอะไร” หากไม่ใช่เหวินชิงอยู่ นางคงไม่อาจกำจัดผนึกคำสาปได้เร็วขนาดนี้
ทุกคนต่างหัวเราะอย่างสบายใจ เจ้าสำนักสวีอุทานออกมา “สหายอวิ๋นไม่ต้องถ่อมตัวเช่นนี้ ความสามารถในการรักษาของท่านช่างทำให้คนอิจฉา” ไม่เพียงเท่านี้ ที่สำคัญคือนางยังฝึกฝนทั้งข่ายพลังและหมอรักษาพลังลมปราณ
อวิ๋นเจี่ยวผงะไปเมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ ครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้พูดตอบรับ “อยากเรียนเหรอ ข้าสอนพวกท่านได้!”
“ไม่เอา!”
“ไม่เอา!”
“ไม่เอา!”
“ไม่เอา!”
Σ(°△°|||)︴
ภายในห้องมีเสียงปฏิเสธดังขึ้นสี่เสียง คนทั้งสี่สีหน้าซีดเผือด เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อวิ๋นเจี่ยว “…” ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้นะ! หรือว่าค่าเล่าเรียนนางเก็บแพงเกินไป?
“แค่ก…” ราวกับรับรู้ว่าการปฏิเสธของตนแข็งทื่อมากเกินไป เจ้าสำนักสวีจึงกระแอมไอทีหนึ่ง ก่อนจะพูดพร้อมหัวเราะ “คือ…สหายอวิ๋นเหนื่อยแล้ว กำจัดผนึกคำสาปได้ก็พอ กำจัดได้ก็พอ!”
“เฮอะๆๆ …ใช่แล้วๆ !” ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบขานรับ ขอแค่ไม่ถูกจับไปเรียน จะทำอะไรก็ได้ เขารีบเปลี่ยนประเด็นการพูด “สหายอวิ๋นนี่เป็นนายท่านตระกูลอวี๋ ซึ่งเป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่ หากเขาเป็นอะไรไป ตระกูลอวี๋คงจะวุ่นวายไปพักหนึ่ง ยังดีที่เรื่องนี้จัดการได้แล้ว”
“คงจะยัง!” หลังจากที่เขาพูดจบ เหวินชิงที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างก็เปิดปากพูดขึ้น
ทุกคนต่างผงะ พร้อมหันหน้าไปมองเขา เหวินชิงขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางเต็มไปด้วยความกังวล แม้แต่ผมขาวเต็มหัวก็ดูมืดมนลงไปไม่น้อย “เรื่องนี้คงไม่ใช่แค่คำสาปสาวหวาธรรมดาเท่านั้น”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” เจ้าสำนักสวีฟังความหมายในคำพูดของเขาออก อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
เหวินชิงคิ้วขมวดหนักมากขึ้น เงยหน้ามองไปยังหลังคาที่ถูกกรดกัดจนกลายเป็นหลุมดำ ถึงได้พูดขึ้น “พวกเจ้ารู้ที่มาของคำสาปสาวหวาหรือไม่”
คราวนี้ไม่เพียงแต่ทางเจ้าสำนักสวี แม้แต่อวิ๋นเจี่ยวก็ผงะไปเล็กน้อย ที่มา? คำสาปที่ชั่วร้ายเช่นนี้จะมีที่มาอะไร หากไม่ใช่มีคนจงใจสาป ก็คือผู้ถูกสาปไม่ทันระวังตัวเอง
เหวินชิงถอนหายใจ มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้างทีหนึ่ง ใบหน้ามีความลังเล สักพักถึงได้พูดขึ้น “ทุกท่านเคยได้ยินชือเซียวหรือไม่”
“ชือเซียว!” เจ้าสำนักสวีตะลึง “ท่านหมายถึงแม่ทัพยมโลกชือเซียว!”
“ใช่!” เหวินชิงสีหน้าดำลงไปอีก ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ตามเรื่องเล่า ผีที่สามารถกลายเป็นชือเซียวได้ ก่อนตายต้องเป็นหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์หน้าตาสวยงาม แต่มีฐานะการเงินย่ำแย่ ทั้งชีวิตถูกขังอยู่ในโรงโสเภณี และสุดท้ายก็ตายอย่างน่าอนาถ เนื่องด้วยความอยุติธรรมตอนมีชีวิตอยู่ หลังจากที่ตายไป ถึงแม้จะเข้าสู่ยมโลกก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ส่งผลให้แรงอาฆาตไม่สลายไปและกลายเป็นแม่ทัพผี”
“แต่นี่เกี่ยวข้องอย่างไรกับคำสาปของนายท่านตระกูลอวี๋” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งถาม
“สามารถถูกเรียกว่าแม่ทัพผีได้ ก็ต้องแตกต่างจากผีร้ายธรรมดา พวกเขาล้วนมีความสามารถพิเศษของตนเอง” เหวินชิงคิ้วขมวดมากยิ่งขึ้น “ร่างวิญญาณของชือเซียวเต็มไปด้วยแรงอาฆาต ไม่ว่าวิญญาณหรือคนเป็น เพียงแค่เข้าใกล้มันในระยะสิบฉื่อ ล้วนจะถูกแรงอาฆาตของมันกัดกิน นี่ก็คือที่มาของ…”
“คำสาปสาวหวา!” อวิ๋นเจี่ยวเดาความหมายในคำพูดของเขาได้ทันที
ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าด้วยความตะลึง สักพักเจ้าสำนักสวีถึงได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ท่านหมายความว่า หากมีคนถูกคำสาปสาวหวา แสดงว่า…”
“มีชือเซียวเกิดขึ้นในโลกมนุษย์แล้ว”
เจ้าสำนักสวีสีหน้าซีดเผือด เขาคิดอะไรบางอย่างได้ก่อนจะหันหน้าไปมองผู้อาวุโสอีกคนที่อยู่ด้านข้าง “ผู้อาวุโสหลี่ เร็ว! แจ้งตระกูลอวี๋ให้ปิดตระกูลทั้งหมดเดี๋ยวนี้ และให้คนในเมืองตะวันตกถอยออกมา!”
“ได้…ได้!” ผู้อาวุโสท่านนั้นพยักหน้า ก่อนจะรีบเดินออกไป
เจ้าสำนักสวีหยิบยันต์ส่งสารออกมา เตรียมจะแจ้งข่าวต่อผู้อาวุโสท่านอื่น ทันใดนั้นก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมแจ้งว่า “เจ้าสำนัก แย่แล้ว เมืองทางตะวันตกเกิดเรื่องแล้ว!”
ทุกคน “…”
…
เมืองทางตะวันตกเกิดเรื่องในช่วงบ่ายของวันเดียวกันกับที่นายท่านตระกูลอวี๋ถูกส่งตัวไปยังสำนักเทียนซือ ภายในเมืองเกิดโรคระบาดขนาดใหญ่ขึ้น คนกว่าครึ่งเมืองล้วนสลบไปอย่างกะทันหัน ส่วนใหญ่ในนั้นคือลูกหลานของตระกูลอวี๋ หมอทั้งเมืองล้วนไม่มีวิธีการรักษา อีกทั้งคนที่สลบไปเหล่านี้ ยังเริ่มแก่ชราอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด เวลาเพียงแค่หนึ่งวัน ทุกคนก็กลายเป็นคนชราที่ผมขาวเต็มหัว
เนื่องจากนายท่านตระกูลอวี๋ไม่อยู่ จึงไม่มีคนคอยสั่งการ อีกทั้งคนส่วนใหญ่ที่ถูกคำสาปล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลอวี๋ ทำให้สำนักเทียนซือเพิ่งทราบข่าวในวันนี้ และมีคนกว่าครึ่งที่เสียชีวิตไปแล้ว
พวกอวิ๋นเจี่ยวรีบไปที่เมืองทางตะวันตก ทั้งเมืองว่างเปล่าไปกว่าครึ่งแล้ว มองไปพบเห็นแต่คนชราผมขาว ร่างกายซูบผอมนอนสลบอยู่ข้างถนน แทบจะไม่เจอคนที่ยังมีชีวิต เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความตาย
คนของสำนักเทียนซือใจหายวาบ ช่างน่าอนาถเสียจริง อวิ๋นเจี่ยวรีบเดินขึ้นหน้าไปดูเหล่าคนที่นอนสลบอยู่ข้างทาง
“เป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าสำนักสวีถาม
อวิ๋นเจี่ยวหลับตาลง พร้อมถอนหายใจ “สายเกินไป!” คนเหล่านี้ถูกคำสาปนานเกินไป พลังชีวิตสลายไปจนหมดสิ้น ไม่มีลมหายใจไปนานแล้ว
เจ้าสำนักสวีรู้สึกเพียงความโกรธผุดขึ้นในใจ สถานการณ์เช่นนี้ราวกับกำลังฆ่าล้างเมือง! แม่ทัพผีชือเซียวนั้นต้องยังอยู่ในเมืองนี้เป็นแน่ แต่ว่าผีในยมโลกปกติแล้วไม่อาจกลับเข้าสู่โลกมนุษย์ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพผีชือเซียวนี้หนีออกมาจากยมโลกได้อย่างไรกัน!
“ทุกคนระวังตัว อย่าไปโดนแรงอาฆาตของชือเซียว!” เจ้าสำนักสวีหันหลังไปกำชับลูกศิษย์ด้านหลัง “ชือเซียวนั้นต้องหลบซ่อนอยู่ในเมืองแห่งนี้เป็นแน่ ต้องหามันออกมาให้ได้ก่อน”
“ไม่ต้อง!” อวิ๋นเจี่ยวรั้งเจ้าสำนักสวีเอาไว้ ก่อนจะชี้ไปทางตะวันออกของเมืองด้วยสีหน้าดำทะมึน ทางนั้นอบอวลไปด้วยพลังสีดำ “ชือเซียวน่าจะอยู่ที่นั่น”
“ทางนั้นคือ…” สวีชิงเฟิงผงะไปเล็กน้อย เขามองไม่เห็นพลังสีดำเหล่านั้น แต่กลับสามารถเห็นร่องรอยของผนึกข่ายพลังอะไรบางอย่าง ซึ่งตำแหน่งนั้นคือ “จวนนายท่านอวี๋!”
เขาเข้าใจในทันที นายท่านอวี๋เป็นคนแรกที่ถูกคำสาปสาวหวา ชือเซียวมีโอกาสที่จะหลบซ่อนในตระกูลอวี๋อย่างมาก อีกทั้งข่ายพลังนั้น คงจะเป็นคนในตระกูลอวี๋วางเอาไว้เพื่อยับยั้งชือเซียวไว้ชั่วคราว
เขากวาดตามองคนที่อยู่บนพื้น มองไปทางอวิ๋นเจี่ยวด้วยความลังเลเล็กน้อย “สหายอวิ๋น…” คนที่เขาพามาในครั้งนี้มีจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ธรรมดา จึงไม่อาจพาไปต่อกรกับชือเซียวได้ทั้งหมด แต่ในเมืองต้องมีคนรอดชีวิตอยู่จำนวนไม่น้อยเป็นแน่
“พวกท่านไปเถอะ! ข้าจะไปหาคนรอดชีวิต” อวิ๋นเจี่ยวกำชับเขา ก่อนจะชี้ไปยังเหวินชิงที่อยู่ด้านข้างแล้วพูดว่า “มีอาจารย์อาข้าอยู่ ไม่มีปัญหา” พูดจบก็หันไปพูดกับเหวินชิง “อาจารย์อาเหวิน รบกวนด้วย”
“วางใจเถอะ” เหวินชิงพยักหน้า “ข้าจะคอยดูพวกเขาเอง”
พูดจบเขาก็หันไปมองทิศทางตะวันออกของเมือง สีหน้าหนักใจกว่าคนอื่นอย่างมาก หัวใจของเขายิ่งจมลงในหุบเหวลึก ใครกันที่กล้าไม่สนใจคำเตือนของเขา อีกทั้งยังปล่อยชือเซียวออกมา ทำให้เขาต้องมาคอยเก็บกวาดแบบนี้
เขามีความรู้สึกอยากรีบกลับไปด่าคนเหล่านั้น แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจปล่อยที่นี่เอาไว้อย่างนี้ได้ ทำได้เพียงแต่ภาวนาว่าครานี้อาจารย์จะไม่โกรธมากเท่านั้น