< < 132 Sec5 > >
งานประชุมกำลังจะเริ่มแบบจริงๆจังๆแล้ว ณ เวลาราวๆบ่ายโมง
ผมเดินไปรวมอยู่หน้าทางเข้าตามที่รินเทียบอกมาว่าหน้าที่ของผมคือการดูแลความปลอดภัยโดยรอบในงานประชุม จริงๆผมจะเดินให้ทั่วเลยก็ได้แต่–เป้าหมายผมคือการแอบฟังเนื้อหางานประชุมด้วยน่ะนะ
ตามปกติผมไม่ควรจะฟังได้ แต่ผมใช้การตัดมิติช่วยในการฟังเสียงจากอีกฝากของกำแพงเอา
“ยืนอยู่เฉยๆจะดีจริงๆหรือคะ?”
รินเทียเอ่ยถามด้วยความสงสัยผมจึงพยักหน้ารับไป
“แบบนี้แหละดีแล้ว ก็ใช่ว่าทางนี้จะฝ่าฝืนหน้าที่สักหน่อย พวกยูจิก็ด้วย”
อนึ่งยูจิกับหนิงก็แยกกันดูแลกับผม ไม่ทราบรายละเอียดว่าเลือกจะแอบฟังอย่างผมรึเปล่า แต่ค่อยข้างแน่ใจเลยว่า—ยูจิน่าจะทำเหมือนกัน
“..หึม? เสียงอะไรน่ะ”
“เสียงขบวนสเด็จค่ะ เป็นธรรมเนียมของราชาในแต่ละอาณาจักร”
“สมกับเป็นงานประชุมโลกดีแฮะ”
****
ภายในงานประชุมที่มีรูปร่างราวกับโคลอสเซียม ขบวนเสด็จของราชาแต่ละอาณาจักรค่อยๆทยอยเข้ามาจากทั้งสี่ทาง เมื่อราชาจากทุกอาณาจักรนั่งที่เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เป็นอันจบท้ายด้วย ‘อาณาจักรสี่มหาอำนาจ’
ขบวนแรกที่เข้ามาคือขบวนของแซร์อิซ แม้แต่ละคนในขบวนจจะดูป่าเถื่อนแต่ทั้งหมดก็มีออร่าในฐานะนักรบแฝงเอาไว้จนไม่มีใครกล้าจะปริปากดูถูก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีแต่ผู้แข็งแกร่ง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ‘ราชาแห่งแซร์อิซ’ ผู้เดินนำหน้าทหารในขบวนทุกคนอย่างองอาจ
ราชาแห่งแซร์อิซ นาม ‘การันเต้’ เขาคือชายร่างยักษ์ผิวสีน้ำตาล ตัวใหญ่ขนาดที่ต้องใช้ผู้ชายโตเต็มวัยราวๆสองคนกว่าๆถึงจะมีขนาดเท่ากับร่าง และราชาการันเต้ก็มีส่วนสูงที่สูงเกือบจะถึงสามเมตร ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ไม่ใช่บาดแผลที่ร้ายแรงอะไร กลับกันกล้ามเนื้อที่มากมายของเขาทำให้บาดแผลดูเป็นเพียงแค่แผลจิ๊บจ๊อยไปเสียด้วยซ้ำ เป็นชายที่ไว้หนวดและมีผมที่ตั้งสีน้ำตาล และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่สุดของเขาก็คือ ‘ดวงตาสีมรกต’ ที่ดูสง่างามและทรงปัญญาขัดกับรูปร่างอันป่าเถื่อน
การันเต้ในเวลานี้สวมใส่ชุดราชการของแซร์อิซแบบจัดเต็ม และบริเวณเอวของเขาก็มีดาบคู่ใจที่ถูกติดตั้ง ‘มณีวายุ’ เอาไว้
ใช่แล้ว การันเต้คือเจ้าผู้ถือครองแห่งสายลม เป็นชายที่ถูกสายลมของโลกใบนี้เลือก
ด้วยรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามและผลงานระหว่างที่เขาขึ้นปกครองบ้านเมือง ผู้คนพากันจดจ้องการันเต้ ในฐานะของ ‘ราชาผู้ทรงพลัง’
ถัดจากการันเต้ก็คือ—เจ้าหญิงของอาณาจักรแซร์อิซ ‘เจ้าหญิงมรกต’ ผู้เลื่องชื่อด้านดวงตาที่งดงามซึ่งได้มาจากพ่อ และสติปัญญาที่เข้าขั้นอัจฉริยะในตัว
นามของเธอคือ ‘อาเบล’
อาเบลสวมใส่ชุดเจ้าหญิงอย่างเป็นทางการ เมื่อเธอเข้ามาสู่ในตัวงานด้วยรถม้าแล้วเธอก็โบกมือให้กับทุกคนด้วยรอยยิ้ม ทำเพียงแค่นั้น ราชากว่าครึ่งก็ตั้งใจจะเสนอตัวหมั้นกับเธอโดยไม่สนเหตุผลอะไรแล้ว
เจ้าหญิงมรกตหรืออาเบล ถูกระบุไว้ว่าเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในโลก เหมือนกับเจ้าหญิงมังกรของฟัฟนิร์และเจ้าหญิงโทมิเรียของเนลยอน
เมื่อไปถึงปลายแถวของขบวน ผู้คนก็พากันหยุดหายใจต่อตัวตนที่ก้าวเข้ามาภายในงาน—แน่นอนว่าผู้ที่เด่นที่สุดในขบวนนี้มิใช่ราชาแห่งแซร์อิซหรือว่าเจ้าหญิงมรกตผู้ทรงด้วยปัญญาและหน้าตา
ทั้งหมดเมื่อเทียบความโดดเด่นกับชายคนสุดท้ายย่อมไม่ได้ ทำไมน่ะหรือ? นั่นก็เพราะว่า—เขาคือ ‘ผู้กล้า’ ยังไงละ
ฮีโร่ของโลกใบนี้ ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบทหนึ่งบนโลก นั่นคือผู้กล้า
เกราะสีขาวที่ทำจากแร่ Aเทียร์ ดาบแห่งผู้กล้าที่เหน็บไว้ข้างเอว และเหนือสิ่งอื่นใดคือรูปร่างที่หล่อเหลาเกินกว่าใครๆ
เหมือนกับอาเบล ‘ผู้กล้าแอสทอเรียส’ ถูกระบุไว้ว่าเป็นผู้ชายที่งดงามที่สุดบนโลกใบนี้
เจ้าหญิงจากทุกอาณาจักรรู้สึกราวกับได้เจอรักแรก—อาเบลเห็นอย่างนั้นก็เล่ห์มองผู้กล้าอย่างนึกสนุก ด้วยระยะห่างที่ไกลทำให้พูดคุยไม่ได้ แต่ทั้งสองก็สื่อสารได้ทางสายตา
‘วันนี้คิดจะหิ้วเจ้าหญิงคนไหนกลับไปบ้างไหมคะ?’ อาเบลถามเช่นนั้นในใจ
‘อย่าล้อเล่นสิครับ กระผมคือผู้กล้านะ มิอาจทำพฤติกรรมเช่นนั้นได้หรอก’ ผู้กล้าตอบกลับตามสถานะของตัวเอง
สิ้นสุดการสนทนาในใจของทั้งสอง เมื่อราชา เจ้าหญิงและผู้กล้าได้เข้าที่แล้ว ขบวนเสด็จต่อไปก็มาเลย
ต่อจากนั้นก็เป็นขบวนของเกรล
ทุกอย่างในอาณาจักรเกรลนั้น—ธรรดมามาก ทุกคนต่างรู้กันดีว่าอาณาจักรเกรลคือมหาอำนาจตกอับ ภายในอาณาจักรมีดีเพียงแค่เทคโนโลยีเวทมนตร์และปราการลอยฟ้าซึ่งเป็นพลังของมหามังกรเท่านั้น นอกจากนั้นไม่มีอะไรเลย ทั้งทหารที่อ่อนแอยิ่งกว่าอาณาจักรทั่วๆไป เทคโนโลยีเวทมนตร์ที่บางด้านได้ถูกจักรวรรดิราชามังกรแซงไปแล้ว วิชาเล่นแร่แปรธาตุที่เริ่มไร้ค่าขึ้นทุกวัน สุดท้ายก็—ราชาที่น่าสิ้นหวังที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกรล
ราชาคนปัจจุบัน ‘จูเลียส เลอว์ฟานเซียส’ รึ ‘ฟานเซียสที่เก้าสิบ’ ทุกคนต่างรู้จักเขาในฐานะราชาไม่ได้เรื่อง
เขานั่งอยู่บนบังลังค์ด้วยท่าทีตื่นสนามจนสร้างความขายหน้าให้แก่อาณาจักรอื่น ทหารเองก็รู้สึกเอือมระอาต่อราชาคนนี้ ..ท่ามกลางบรรยากาศที่สิ้นหวังนั้น เหล่าทหารแม้จะไม่ได้มองผู้เป็นราชาอย่างยกย่อง แต่ก็มีบุคคลหนึ่งที่ทุกคนต่างให้การยอมรับ
“โตขึ้นเยอะเลยไม่ใช่รึไง”
การันเต้พึมพำขึ้นขณะมองข้ามหัวจูเลียสไป—-การันเต้ให้ความสนใจแก่ ‘เจ้าชายแห่งเกรล ลีออน’
ทันทีที่ลีออนปรากฏ ผู้คนก็พากันเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยรึดูถูกอาณาจักรเกรลในตอนที่ลีออนยังอยู่
เจ้าชายผู้มีชะตาจะต้องเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต มิใช่ราชาที่น่าผิดหวังดั่งพ่อของตัวเอง นั่นแหละคือลีออน
ลีออนนั่งอยู่บนเครื่องจักรเวทมนตร์โดยที่ข้างๆมีมนุษย์ผ้าคลุมร่างเล็กอยู่ข้างกาย
“เหมือนจะพาของแปลกมาด้วยแฮะ—เห้ ไอ้หนูลีออน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นยังไงบ้างล่ะ”
การันเต้เดินมาลีออนแบบไม่สนใจจูเลียสเลย นั่นถือว่าเป็นการหักหน้าอย่างหนึ่ง—ถึงอย่างนั้นราชาอย่างจูเลียสก็ไม่กล้าพอจะสู้หน้ารึตำหนิการันเต้เลย ได้แต่ก้มหน้าขดตัวหนีอย่างขี้ขลาด
“สบายดีเหมือนเดิมครับ ..ท่านเรลันต้าต่างหากเป็นเช่นไรบ้างครับ”
“แข็งแกร่งกว่าเก่าเสียอีก ถ้าเป็นตอนนี้ข้าคงไม่โดนอุบายกระจอกของเจ้าหรอกเอาเหมือนคราวก่อนแล้วละ”
ลีออนกับเรลันต้ายิ้มให้กันอย่างเป็นกันเอง
“อยากพิสูจน์เหมือนกัน แต่ไว้ทีหลังดีกว่าครับ”
“คงต้องอย่างนั้น ไว้หลังจบงานแล้วค่อยเจอกันละกันไอ้หนู”
เมื่อคุยกันเสร็จอาณาจักรเกรลก็เข้าที่ประชุมให้เรียบร้อย เพื่อรออาณาจักรต่อไปนั่นก็คืออาณาจักรเนลยอน
ขบวนเริ่มด้วยการเสด็จของเจ้าหญิงตระกูลอามาเทราซึ— ‘อามาเทราซึ โทมิเรีย’ เธอนั่งอยู่บนบังลังค์ที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าบางๆ สวมใส่ชุดเต็มยศของเจ้าหญิง และข้างๆของเจ้าหญิงตระกูลอามาเทราซึผู้เป็นประมุขให้แก่ระบบการปกครองของเนลยอนก็คือ ‘ราชาดาบมาร ไรเดน อาคาสะ’ นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุด
ทั้งโทมิเรียทั้งไรเดนต่างมีออร่าที่สุดยอด จนทำให้หลายคนในที่แห่งนี้รู้สึกเคราพนับถือทั้งๆที่ไม่เคยได้พูดคุยกันมาก่อนเลย
“นั่นน่ะเหรอ ไรเดน อาคาสะ” ลีออนพึมพำขึ้นอย่างเคร่งเครียด “ก็ว่าทำไมท่านเซียนถึงได้เตือนนักเตือนหนาว่าอย่าตั้งตนเป็นศัตรูกับคนๆนี้”
“ชื่อนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ได้มาเล่นๆหรอกนะครับ ท่านลีออน”
ผู้กล้าเอ่ยขึ้นจากข้างหลัง
อนึ่ง เหล่าผู้นำของอาณาจักรมหาอำนาจและผู้ติดตามอันดับหนึ่งจะได้ยืนอยู่ตรงกลางของงานประชุม เพราะพวกเขาต่างเป็นตัวหลักของงานประชุมกันทั้งนั้น
“ไรเดน อาคาสะ เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่สามารถต่อกรกับสัตว์ประหลาดได้อย่างสมน้ำสมเนื้อครับ”
ผู้กล้ากล่าวอย่างนับถือ ยังไงซะ ในฐานะนักดาบด้วยกัน ไรเดนก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่ยังเดินตามหลังอยู่อีกไกล
ถัดจากเจ้าหญิงและไรเดนก็คือ ‘นายกรัฐมนตรี’ ของอาณาจักรเนลยอน ‘ทานากะ ฮิโรชิ’ ชายแก่ร่างเล็กผู้ทรงไปด้วยปัญญา
เขาเป็นคนที่ได้รับเลือกให้ดูแลอาณาจักรเนลยอนโดยประชาชน ในที่แห่งนี้มีเพียงอาณาจักรเนลยอนเท่านั้นที่มีระบบการปกครองต่างกับทุกที่ ถึงกระนั้น การปกครองของฮิโรชิก็ทำให้อาณาจักรเยลยอนพัฒนาขึ้นจนสามารถพูดได้เต็มปากว่าอาณาจักรเนลยอน คือสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลกแล้ว
ฮิโรชิ เจ้าหญิงโทมิเรียและไรเดน เดินไปนั่งตรงกลางของที่ประชุม
“ไม่ได้พบกันนานนะ ท่านจูเลียส ท่านเรลันต้า”
ฮิโรชิเอ่ยทักเหล่าผู้นำ แต่ปฏิกิริยาที่ได้กลับดูไม่ค่อยน่าพอใจเสียเท่าไหร่
“มะ ไม่พบกันนานตั้งแต่สมัยของท่านพ่อเลยนะ ท่านฮิโรชิแล้วก็เจ้าหญิงโทมิเรียด้วย ฮะๆๆ”
ราชาจูเลียสตอบกลับโดยไร้ซึ่งมาด ส่วนเรลันต้านั้น—
“ไม่เจอกันนาน วันก่อนได้ข่าวว่าแก่ตายแล้วแท้ๆ ยังอุตส่าห์คืนชีพมาได้อีกนะ”
“เกรงว่าท่านเรลันต้าจะได้ข่าวสารผิดๆมานะครับ ยังไงก็ช่ายไตร่ตรองเรื่องราวให้ดีขึ้นด้วยนะครับ”
ทั้งสองจ้องหน้ากัน เพียงแค่นั้นบรรยากาศภายในงานประชุมก็เปลี่ยนไป
“นั่งลงเถอะ”
“ขอทำตามนั้นนะครับ”
ทุกอย่างจบง่ายๆด้วยคำพูดปิดท้ายของเรลันต้า
“ต่อไปก็ไอ้ขี้ขลาดอัลเบโด้สินะ”
“ราชาอัลเบโด้ต่างหากค่ะ”
เจ้าหญิงอาเบลช่วยแก้คำพูดหยาบคายของพ่อตัวเองให้—ว่าแล้วขบวนของอาณาจักรฟัฟนิร์ก็ปรากฏขึ้น
บนรถม้ามีราชาแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ ‘อัลเบโด้’ และเจ้าหญิงของอาณาจักร ‘มิร่า’ อยู่ด้วย แน่นอนที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘ราชาจอมเวทย์’ ที่ตามหลังรถม้าของอัลเบโด้ราวๆสองเมตร
ราชาจอมเวทย์อยู่ในชุดคลุมสีแดงลวดลายสีทอง สวมหมวกสมกับเป็นจอมเวทย์ต้นตำหรับ คทาที่ถืออยู่ในมือคือคทาเวทย์ที่สืบต่อกันมากว่าหลายร้อยปีอย่าง ‘เซปเตอร์เดธ’ คทาที่มีพลังทำร้ายล้างสูงสุดบนโลก นอกจากนั้นข้างๆเอวของเขาก็มี ‘มณีอัคคี’ ติดเอาไว้อยู่ด้วย ทั้งคทาเวทย์ ทั้งมณีอัคคี ต่างเป็นสัญลักษณ์ของราชาจอมเวทย์ที่สืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น
ทว่าหากตัดภายนอกที่แสนยิ่งใหญ่ไป เขาก็เป็นเพียงคนที่มีอายุมากแล้ว หากไม่ได้สวมใส่เครื่องแบบรึได้ชื่อว่าเป็นราชาของจอมเวทย์ เขาคงเป็นเพียงแต่ตาแก่ธรรมดาที่ควรเอาเวลาช่วงสุดท้ายไปนั่งเล่นกับหลาน
“ขอโทษที่พาคุณมาลำบากนะ ‘วินดาฟ’”
อนึ่งราชาจอมเวทย์มีนามว่า ‘วินดาฟ’
“ช่วยไม่ได้นี่ แม้ข้าจะไม่ชอบในแสงสีเสียงและผู้คนที่มากไปเสียเท่าไหร่ แต่นี่เป็นงานประชุมโลก ยังไงก็มีหน้าที่ต้องเข้าร่วมอยู่แล้ว คึๆ”
อนึ่งราชาจอมเวทย์วินดาฟติดนิสัยชอบหัวเราะเสียงแปลกๆในลำคอ
“ต่อไปก็ ..มาแล้วสินะ”
ไรเดน อาคาสะ หันไปมองที่ท้ายขบวน—-ส่งสายตาไปให้ ‘เอเธอร์’
“ตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุด”
ในฐานะสิ่งมีชีวิต
“หนึ่งในกฏของโลก”
กฏที่ว่าไม่มีทางโค่นเอเธอร์ได้
“ทางเดินสู่สวรรค์”
หนังสือที่ถูกเขียนเล่นๆโดยเอเธอร์ และเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก
“ผู้สยบเจ็ดคาบสมุทร”
วีรกรรมในตำนาน
“สัตว์ประหลาด”
สิ่งที่นิยามเอเธอร์ได้ง่ายที่สุด
ชื่อเรียกมากมาย ฉายามากมาย เรื่องราวมากมาย ต่างไหลเข้ามาในหัวเมื่อเอเธอร์ปรากฏในที่แห่งนี้ เพียงแค่สิบปี เอเธอร์ใช้เวลาเพียงแค่นั้นในการสลักชื่อของเขาลงบนหัวของทุกคน
ผู้คนต่างชื่นชม หวาดกลัว อิจฉา หลงใหล เคียดแค้น มีหลากหลายความรู้สึกที่มีให้แก่เอเธอร์ก็จริง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางทำอะไรกับเอเธอร์ได้ ไม่มีทางจะเหมือนกับคนๆนี้ได้ เพราะว่ายังไงซะ–ตัวตนของเอเธอร์ก็เปรียบเสมือนกฏๆหนึ่งของโลก กฏที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไม
ราชาอัลเบโด้ เจ้าหญิงมิร่า ราชาจอมเวทย์และเอเธอร์เข้าที่ประชุมของตัวเอง
เมื่ออัลเบโด้และมิร่าทักทายทุกคนในที่แห่งนี้จบแล้ว—-เอเธอร์ก็เริ่มเข้าหาไรเดน
“ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ยังสบายดีอยู่สินะครับ”
“ก็อย่างที่เห็น ทางนั้นเองก็เถอะ ดูอารมณ์ดีเหมือนเดิมเลยนะ”
“นั่นสินะ—ชีวิตผมในช่วงนี้ ค่อนข้างมีความสุขเลยละ”
“เหรอ”
“..น่าเสียดาย อยากคุยกับคุณให้มากกว่านี้นะ แต่เหมือนจะไม่ได้”
เอเธอร์หันไปมองตรงหน้าที่มีคนๆหนึ่งเดินออกมา
ชายร่างยักษ์โผล่มาในชุดสวมใส่น้อยชิ้นประหนึ่งว่าตัวเองเป็นทวยเทพ
‘ราชามังกร กิโดร่า’ ได้เดินมายืนอยู่ตรงกลางสุด