ทุกคนล้วนรู้สึกว่า ที่ชวีฉิวหมิงสามารถดูดพลังวิญญาณและพลังปีศาจได้ เป็นเพราะว่าผนึกบนตัวเขาเขา หลักฐานคือตั้งแต่ผนึกนั้นหายไป ชวีฉิวหมิงราวกับไม่มีความสามารถวิเศษนั้นอีก
เพียงแต่ผนึกนั้นหายไปเร็วเกินไป ไม่มีใครรู้ว่ามันคือผนึกอะไร ใครเป็นคนปิดผนึกให้เขา
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผนึกเพียงอันเดียวจะสามารถกำจัดพลังวิญญาณและพลังปีศาจได้” เจ้าสำนักสวียิ่งคิดยิ่งรู้สึกประหลาด
“อาจจะไม่ใช่การกำจัด” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้น
ทุกคนผงะไปในทันใด ก่อนจะหันมามองเธอพร้อมกัน “ไม่ใช่กำจัด?” หมายความว่าอะไร
“ยังจำนายพรานคนนั้นได้หรือ” เธอพยักหน้า “ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เจ้าสำนักสวีไม่เข้าใจความหมายของเธอ แต่ก็ยังคงตอบคำถาม “ลูกศิษย์มารายงานว่า เขาฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่บาดแผลต้องใช้เวลาในการรักษา”
“อย่าลืม ก่อนที่ชวีฉิวหมิงจะรักษา ในร่างกายของเขายังคงมีเสี้ยวพลังชีวิตอยู่” อวิ๋นเจี่ยวมองพวกเขา “พวกท่านไม่รู้สึกว่าเขาฟื้นเร็วเกินไปหรือ”
ทุกคนตะลึง ทันใดนั้นเข้าใจในทันที ใช่! ตอนที่นายท่านอวี๋ต้องคำสาปสาวหวานั้น ในร่างกายของเขาก็เหลือเพียงเสี้ยวพลังชีวิตเช่นนั้น แต่ว่าเขานอนสลบอยู่กว่าครึ่งเดือนถึงจะฟื้น แต่ร่างกายของนายพรานนี้ไม่เหมือนกับลูกศิษย์เสวียนเหมินที่ผ่านการฝึกฝน กลับใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ฟื้นขึ้น
“ท่านหมายความว่า…” เจ้าสำนักสวีเบิกตาโต “ชวีฉิวหมิงเรียกพลังชีวิตเขากลับมาด้วย!”
“ไม่!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว “ข้าหมายถึง ความสามารถของฉิวหมิงไม่ใช่การกำจัดพลังวิญญาณและพลังปีศาจ แต่เป็นการถ่ายพลังชีวิตเข้าร่างกายของอีกฝ่าย”
“…” เฮ้ย! ทำไมถึงเป็นพลังชีวิตอีกแล้ว
เจ้าสำนักสวีและคนอื่นล้วนตะตกลึง แต่เมื่อครุ่นคิดแล้วก็มีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณหรือว่าพลังปีศาจ เมื่อมันรุกรานเข้าร่างกายมนุษย์ ก็จะกลืนกินพลังชีวิตคนผู้นั้น หากความสามารถของชวีฉิวหมิงเป็นการถ่ายพลังชีวิตจำนวนมากเข้าร่างกาย เช่นนั้นพลังวิญญาณและพลังปีศาจในร่างของอีกฝ่ายก็จะถูกขับไล่ออกไป ดูแล้วเหมือนกับกำจัดทิ้งไป!
“แต่ว่า” เจ้าสำนักชิวหวาจิ้นซ่างเหมือนนึกอะไรขึ้น ถามขึ้น “แล้วผีเสื้อน้อยล่ะ? พลังปีศาจบนตัวนางเกิดอะไรขึ้น” พลังของนาถูกดึงออกมา
“อาจเป็นเพราะว่านางเป็นปีศาจ!” อวิ๋นเจี่ยวพูดต่อ “ชวีฉิวหมิงทำได้เพียงเรียกคืนพลังชีวิตของคน”
ทุกคนถึงได้กระจ่างแจ้ง พลังชีวิตของปีศาจและคนแตกต่างกัน ชวีฉิวหมิงถ่ายพลังชีวิตของคนเข้าร่างของปีศาจ ทำให้ขับไล่พลังปีศาจออกมา ทำให้ผีเสื้อน้อยที่มีพลังต่ำนั้นดูเหมือนคนธรรมดา นอกจากอวิ๋นเจี่ยวที่เปิดตาทิพย์แล้ว ไม่มีใครสามารถรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางได้
“หากพูดเช่นนี้…” มีเจ้าสำนักอดอุทานออกมาไม่ได้ “วิชาของชวีฉิวหมิงยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เสียดายที่ผนึกนั้นหายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจรักษาคนได้มากขึ้น…”
“ไม่แน่!” อวิ๋นเจี่ยวโต้แย้งขึ้น
“ทำไม”
อวิ๋นเจี่ยวมองเขายังจริงจัง ก่อนจะอธิบาย “เขาสามารถถ่ายพลังชีวิตของคนเข้าร่างกายของคนอื่นได้ แต่พวกท่านไม่สงสัยหรือว่าพลังชีวิตพวกนี้มาจากไหน”
ทุกคนผงะ ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป จริงสิ พลังชีวิตไม่ใช่กุยช่ายที่สามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นกอบเป็นกำ เมื่อพลังชีวิตสลายไป ทำได้เพียงค่อยๆ เลี้ยงกลับมา อย่างชวีฉิวหมิงที่ยัดมั่วแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พลังชีวิตเดิมของคนเหล่านั้น อย่างน้อยไม่ใช่ของปีศาจผีเสื้อ! เช่นนั้น ลังชีวิตเหล่านี้มาจากไหน หรือ…ของใคร?
พวกเขายิ่งคิดยิ่งกังวล เจ้าสำนักชิวหวาลุกพรวดขึ้นทันที “ไม่ได้ ข้าต้องไปเมืองเถียนฟางดูอาการของคนที่เขารักษาก่อนหน้านี้อีกครั้ง”
เจ้าสำนักสวีพยักหน้า ก่อนจะเรียกหมอรักษาพลังลมปราณมาอีกสองคนตามเขาไป จากนั้นส่งข่าวไปทั่วเสวียนเหมิน หากพบเจอความผิดปกติ ให้รีบรายงานขึ้นมา
ทันใดนั้นทั้งเสวียนเหมินตกอยู่ในความวุ่นวาย แม้แต่เรื่องการทดสอบขึ้นทะเบียนก็รีบเร่งขึ้นมา
อวิ๋นเจี่ยวกลับนึกถึงเรื่องของชือเซียว ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพลังชีวิตเหมือนกัน เธอรู้สึกว่าผนึกแปลกประหลาดบนตัวชวีฉิวหมิงอาจมีความเกี่ยวข้องกับยมโลก
ผนึกแสดงถึงพลังของคน ตัวผนึกนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เพียงแต่สามารถทำให้เกิดความเชื่อมโยงบางอย่างกับคนที่ต้องผนึกเท่านั้น เหมือนกับตอนที่เธอถูกอาจารย์ปู่ดึงกลับมาจากยมโลก อาจารย์ปู่ต้องเคยลงผนึกไว้บนตัวเธอ ดังนั้นถึงสามารถใช้คาถาขนส่งระหว่างสองโลกได้
เพียงแต่ผนึกของชวีฉิวหมิงหายไปรวดเร็วเกินไป เนื่องจากมุมที่เธอยืนนั้น ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด
ครุ่นคิดอยู่สักพัก เธอตัดสินใจว่าหลังจากคุมสอบเสร็จ ต้องกลับไปถามอาจารย์ปู่ ผนึกของคนแบบไหนถึงจะสามารถฟื้นคืนพลังชีวิตได้ในชั่วพริบตา
แต่ยังไม่รออวิ๋นเจี่ยวคุมสอบเสร็จ ทางชิงหยางกลับเร่งให้เธอกลับไป
“เจ้าหนู อาจารย์อาหยวนเจียงบอกว่ามีคนมาหาเจ้า ถามว่าเจ้ามีเวลากลับไปหรือไม่” ชายแก่พลางถือยันต์ส่งสาร พลางหันมาถาม
“ใคร” อวิ๋นเจี่ยวผงะ คนที่เธอรู้จักมีไม่มาก คนที่สามารถหาไปถึงชิงหยางยิ่งนับนิ้วได้
“ไม่รู้” ชายแก่ส่ายหัว “อาจารย์อาหยวนบอกเพียง มาจากด้านล่าง รอเจ้าอยู่สองวันแล้ว ราวกับมีเรื่องด่วน!”
“ด้านล่าง?” เธอผงะไป ยมโลก?
เมื่อนึกถึงเหวินชิงที่หายไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า เธอจึงส่งต่อการทดสอบการขึ้นทะเบียนให้ชายแก่คิดจะกลับไปดู โชคดีที่สำนักเทียนซือมีข่ายพลังขนส่ง กลับไปได้สะดวก
เมื่อเดินไปถึงตำหนักในสำนักชิงหยาง เธอก็เห็นหยวนเจียงและชายหนุ่มในชุดยาวสีดำนั่งอยู่ด้านใน ด้านหน้าของทั้งสองคนยังกองเต็มไปด้วยยันต์วิเศษ พวกเขากำลังช่วยกันตรวจดู
“อาจารย์อาหยวน?” ทั้งสองคนตรวจอย่างตั้งใจเกินไป ไม่ได้สังเกตเห็นเธอแม้แต่น้อย เธอจึงทำได้เพียงส่งเสียงเรียก
“ศิษย์หลานกลับมาแล้ว” หยวนเจียงมองเธอ จากนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมกับหมุนพู่กันในมือ กากบาทใส่ยันต์วิเศษในมือ จากนั้นเขียนประโยคหนึ่งไว้ด้านหลัง: คัดหนึ่งร้อยรอบ ก่อนที่จะวางไว้ด้านข้าง และลุกขึ้นยืน “เขาคือลูกศิษย์ของเหวินชิง มาส่งข่าวแทนเขา”
ชายชุดดำด้านข้างยืนขึ้น”ศิษย์น้องอวิ๋น!”
“ท่านคือ…จี้ฉี?” อวิ๋นเจี่ยวพูด
ชายหนุ่งผงะไปเล็กน้อย ดวงตาฉายแววตะลึง “เจ้ารู้จักข้า?”
“เคยได้ยินอาจารย์เหวินพูด” เหวินชิงบ่นถึงลูกศิษย์ทั้งสองในยมโลกไว้มาก หนึ่งในนั้นคือหานซู ส่วนอีกคนคือจี้ฉี คนตรงหน้ามีพลังวิญญาณแผ่อยู่รอบตัว อีกทั้งยังมาจากยมโลก ตัวตนของเขาก็เดาได้ไม่ยาก “ท่านมีธุระอะไรกับข้า”
“ข้ามาส่งข่าวแทนอาจารย์” จี้ฉีตอบ “อาจารย์บอกว่าท่านไม่อาจหลุดออกมาได้ในเวลานี้ อาจต้องอยู่ต่ออีกสักพัก ดังนั้นจึงมอบหมายให้ข้ามาส่งข่าว” พูดจบเขาก็ยื่นจดหมายในมือออกมา
หลุดออกมา? หมายความว่าอะไร