วันรุ่งขึ้น ในคาบเรียนโฮมรูมสั้นๆของอาจารย์มิยุ
ระหว่างนั่งฟัง ผมรู้สึกได้ถึงสายตาบางคน พอหันไปดูต้นทางคือชาร์ล็อตนั่นเอง
“..”
พอสบตาเธอ ชาร์ล็อตส่งยิ้มให้ผม เธอเอามือป้องปากเพื่อไม่ให้คนในชั้นเรียนสังเกต
ผมเกือบจะโบกมือตอบกลับแต่รีบห้ามตัวเองไว้เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ระวังตัวเอาซะเลย ถึงจะเอามือป้องปากก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย100%ซะหน่อย
แต่…ก็นะ การที่เธอส่งยิ้มแบบพิเศษให้ผม มันก็ทำให้ผมดีใจไม่น้อย เพราะรอยยิ้มของเธอช่างน่ารักเสียนี่กระไร
“เดี๋ยวคาบเรียนถัดไปจะเริ่มแล้วนะ อาโอยางิ มานี่หน่อย”
“เอ๋?”
ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆเรื่องรอยยิ้มของชาร์ล็อต แต่จู่ๆอาจารย์มิยุดันเรียกผมซะงั้น มีเรื่องอะไรรึไง
“เออน่า รีบมาเถอะ ระหว่างรออาจารย์ท่านถัดไปมา ใช้ไว้เวลาไม่นานหรอก”
อาจารย์มิยุพูดจบ ออกจากห้องไป
สรุปผมก็เดินตามอาจารย์ไปทั้งที่มึนๆแบบนี้
จังหวะที่ผมออกจากห้อง มีโอกาสได้สบตากับชาร์ล็อต เธอมีสีหน้าเป็นกังวล ให้ตายสิ เธอเป็นคนอ่อนโยนจริงๆ
เมื่อผมเจออาจารย์มิยุ ผมถาม
“สรุปอาจารย์เรียกผม มีธุระอะไรรึครับ”
อาจารย์มิยุจ้องหน้าผม ตอบกลับด้วยแววตาทะเล้น
“ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์กับชาร์ล็อตจะเป็นไปทางที่ดีนะ”
“เอ๋..?”
“คิดว่าจารย์ไม่เห็นช้อตขาร์ล็อตส่งยิ้มรึไง”
เชี่ย จารย์แม่งเห็นได้ไงวะ นี่อาจารย์จับตาดูนักเรียนได้ทุกคนรึไง
“แถมนายก็ส่งยิ้มหวานแหววตอบกลับเธอซะด้วย”
“ไม่ใช่ละครับจารย์”
คนอย่างผมเนี่ยนะจะส่งยิ้มหวานตอบ เป็นไปไม่ได้
“ไม่ใช่ปาก แต่เป็นสายตาต่างหาก”
“จารย์อย่าพูดอะไรเวอร์วังสิครับ”
“ชั้นเห็นละใจละลายแทนเลย”
“ฟังคำพูดคนอื่นบ้างสิคร้าบบ”
“ว่าไป เรื่องชาร์ล็อต ตอนนี้เธอเข้าใจความรู้สึกตัวเองรึยัง”
อาจารย์มิยุไม่ฟังคำพูดผม สมเป็นคนที่ทำอะไรตามอำเภอใจจริงๆ
สุดท้ายผมก็ตอบคำถามอาจารย์
“ถึงต่อให้เข้าใจ แต่จะพูดตรงไปตรงมากับเธอมันจะดีเหรอครับ”
“เรื่องนั้นนายต้องไปคิดเอง เธอเป็นชาวต่างชาติ บางทีพูดแบบสไตล์ญี่ปุ่น ผลลัพธ์มันอาจจะออกมาไม่ดีก็ได้”
ผมคิดว่า คุณชาร์ล็อตรู้ภาษาญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ไอ้เรื่องจะสื่อสารแล้วเธอไม่เข้าใจ ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้นะ แต่เพื่อกันความผิดพลาด บางทีผมอาจจะต้องไปศึกษาภาษาอังกฤษเรื่องนี้เพิ่มม
“รับทราบครับ ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อ แต่จะลองกลับไปคิดครับ”
“อืม ลองดุละกัน แต่ก็นะ เห็นนายมีสภาพแบบนี้ ชั้นล่ะสนุกจริงๆ”
เอาเหอะ ถึงแม้อาจารย์จะออกแนวกวนโอ๊ย แต่ผมก็รู้ดีว่าอาจารย์ไม่เคยมีเจตนาร้ายกับผม
“ถ้างั้น ผมขอตัวกลับห้องเรียนก่อนนะครับ”
“อ้อ ลืมบอกไปอย่างนึง”
“อะไรรึครับ”
“เรื่องชาร์ล็อต ถึงชั้นจะฝากฝังเธอไว้กับนาย แต่ตัวนายก็ต้องคิดถึงเรื่องของตัวเองบ้าง อย่าฝืนตัวเองมากไป แล้วก็ไม่ต้องเล่นบทคนเลวทำร้ายตัวเองเพื่อทำให้คนอื่นมีความสุขด้วย”
บางที่สิ่งที่อาจารย์มิยุพูดมาทั้งหมด เธออาจจะอยากคุยกับผมจริงๆคือเรื่องนี้ก็เป็นไปได้
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ฝืนตัวเองอยู่แล้ว ผมแยกแยะลิมิตได้ครับ”
“ไอ้การทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองมีความสุข คิดว่ามันคุ้มเหรอ”
“ก็อาจจะนะครับ อากิระเพื่อนผมเองก็เป็นผู้เสียหาย หากผมทำอะไรชดเชยให้หมอนั่นได้ ตัวผมจะเป็นยังไงก็ช่างมันครับ”
“เมื่อก่อนชั้นเคยบอกนายแล้วนะว่านายไม่ใช่คนก่อนเหตุ นายเองก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายด้วย”
“อาจารย์ครับ ถึงจะเป็นอาจารย์ก็ตาม แต่เรื่องนี้ล้ำเส้นเกินไปนะครับ ถึงอาจารย์จะรู้เรื่องราวในอดีต แต่อาจารย์ก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดีครับ”
ผมเลือกใช้คำพูดที่ค่อนข้างรุนแรงเพื่อให้อาจารย์เลิกคุยเรื่องนี้ ถึงตัวผมจะรู้สึกซาบซึ้งที่อาจารย์ห่วงใยก็เถอะ
การที่ผมเลือกใช้คำพูดเย็นชา ผมเชื่อว่ามันเป็นคำพูดทำร้ายจิตใจผู้ฟัง เชื่อว่าพูดแบบนี้อาจารย์น่าจะหยุดพูดถึงเรื่องอดีตผม
ทว่า
“ยังหัวแข็งไม่เปลี่ยนเลยนะ แต่ชั้นบอกเลย นายคิดว่าใช้คำพูดจาหยาบกระด้างแบบนั้นแล้วคิดว่าชั้นจะทิ้งปัญหานายรึไง”
ผมสะอึกในคำพูด เพราะรู้ว่าอาจารย์แกเป็นคนจริง คำไหนคำนั้นเหมือนกัน
“ขอโทษด้วยครับที่ผมพูดจาก้าวร้าวเกินไป”
“ไม่หรอก ช่างเหอะ ชั้นรู้นิสัยนายดีว่าสิ่งที่พูดกับสิ่งที่อยู่ในใจของนายมันคนละอย่างกัน สิ่งที่ชั้นจะสื่อคือ นายมักจะออกหน้าแบกรับปัญหาทุกอย่างไว้มากเกินแค่นั้นแหละ”
อาจารย์พูดจบ หัวเราะ เอามือทุบหน้าผากผมเบาๆ
“มองจากมุมอาจารย์ มันจะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้หรอก แต่พูดขนาดนั้นผมยอมก็ได้”
“จ้า วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ ชั้นแค่อยากจะเช็คด้วยตาตัวเอง”
“เช็คเรื่องอะไรครับ”
“เช็คว่า จะต้องใช้เวลาขนาดไหน แนวคิดของนายถึงจะเปลี่ยนไป”
อาจารย์มิยุพูดจบ เดินกลับเข้าห้องพักครู
สรุปว่าอาจารย์เช็คแล้วเห็นอะไรในตัวเราบ้างนะ
สุดท้าย ต่อให้คิดถึงคำพูดอาจารย์ แต่ก็ไม่มีคำตอบอยู่ดี ผมจึงเลิกสนใจ เดินกลับเข้าห้องเรียน
******
“ล็อตตี้ หนูอยากเล่นกับโอนี่จัง…..”
ชั้นนั่งอยู่บนโซฟา กำลังอ่านหนังสือเล่มโปรด แต่ว่าเอมม่าเดินเข้ามาดึงเสื้อ มองมาที่หน้าด้วยแววตาอ้อนวอน
หลายวันมานี้ เอมม่ามาเล่นที่ห้องอาโอยางิตลอด แน่นอนว่า วันนี้ก็อยากเล่นเช่นเคย
ตั้งแต่ได้อาโอยางิเป็นพี่ชาย เอมม่าก็อยากจะอ้อนอาโอยางิ
จริงๆชั้นก็อยากจะพาเอมม่าไปเล่น แต่คิดไปคิดมา ไปเล่นทุกวันก็เป็นการไปรบกวนอาโอยางิ วันนี้จึงตัดสินใจไม่พาเอมม่าไป
แน่นอนว่าถึงชั้นจะสื่อสารแบบนี้กับเอมม่า แต่เธอคงอดทนไม่ได้อยู่ดี
“ขอโทษนะคะเอมม่า ไปเล่นอาโอยางิทุกวันมันเกรงใจเขา วันนี้เราหยุดไปเล่นนะ”
ถึงแม้อาโอยางิจะเคยบอกว่า ไปเล่นทุกวันก็ได้ไม่มีปัญหา แต่บางทีมันอาจจะเป็นว่าสาเหตุที่บอกแบบนั้นเพราะเขาเป็นคนอ่อนโยนเลยไม่กล้าบอกตรงๆว่าเล่นทุกวันเป็นการรบกวนก็เป็นได้ หรือบางครั้งเขาอาจจะมีธุระส่วนตัวต้องไปทำแต่ก็ต้องสละเวลามาเล่นกับเอมม่าก็ได้
“บู่…..”
“ไม่ทำหน้าทำปากแบบนั้นสิ ให้อาโอยางิคุงมีเวลาส่วนตัวบ้างนะคะ”
“บูบูบูบู…..”
เอมม่าไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน เอาหัวพุ่งชนท้องชั้น แน่นอนว่าน้องยังเด็ก ถึงชนมาก็ไม่ได้เจ็บอะไร
“ถ้าเอมม่าเป็นเด็กดี อาโอยางิคุงจะมาเล่นด้วย เพราะฉะนั้นเอมม่าต้องอดทนนะ”
ชั้นเอามือลูบหัวเอมม่าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ดูเหมือนว่าเอมม่าจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งแล้ว ชั้นเอามือลูบหัว กล่าวให้รางวัล
“เอมม่า เดี๋ยวเราไปซื้อของด้วยกันมั้ย
ตอนนี้ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ไหนๆก็ต้องไปซื้อวัตถุดิบมาทำกับข้าว ชวนเอมม่าไปด้วยเลยแล้วกัน
“อื้อ…!”
เอมม่าเงยหน้ามองชั้นด้วยสีหน้าดีใจ ดูเหมือนว่าจะถูกใจที่ได้ออกไปข้างนอก
ด้วยความที่เอมม่ายังเล็กเลยไม่ได้ส่งไปเตรียมอนุบาล ช่วงกลางวันตอนชั้นไปเรียน จะปล่อยเอมม่าอยู่ในห้องตามลำพัง
คิดว่าด้วยความเหงา เอมม่าเลยออกจากบ้านจนกลายเป็นเด็กหลง
ถ้าว่าตามปกติ เอมม่านี่เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะดื้อในระดับหนึ่งเลย จริงๆจะออกอาการวิ่งไปมา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดที่ชั้นบอกว่า ถ้าเป็นเด็กดี อาโอยางิคุงจะมาเล่นด้วย ทำให้เธอดูสงบกว่าปกติ ต้องขอบคุณอาโอยางิเรื่องนี้จริงๆ
ชั้นกับเอมม่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกไปข้างนอก เดินจูงมือไปด้วยกัน
พอเอมม่าโดนจูงมือ น้องส่งรอยยิ้มแสดงความพึงพอใจออกมา
เป็นเรื่องปกติของน้อง ด้วยวัยเท่านี้ ยังไงก็ต้องชอบการโอบกอด อุ้ม หรือจูงมืออยู่แล้ว แต่ว่า ต่อให้เอมม่าอยู่ที่ประเทศอังกฤษ คนที่สามารถกอด อุ้ม หรือจูงมือ มีเพียงแค่ชั้นกับแม่เท่านั้น ถ้าเป็นคนอื่น เอมม่าจะไม่ชอบ ชั้นเลยทึ่งมากที่เอมม่ายอมให้อาโอยางิอุ้มหรือจูงมือ
ชั้นคิดว่าในสายตาเอมม่า อาโอยางิเป็นคนพิเศษ เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่ใจดีช่วยเหลือเลี้ยงดูเธอ
“เอมม่า มื้อเย็นอยากทานอะไรคะ….. อ้าว”
หันกลับมาดูอีกที ไม่รู้ว่าเอมม่าปล่อยมือชาร์ล็อตตั้งแต่เมื่อไร
พอหันซ้ายหันขวาดูรอบๆ ปรากฏว่า เอมม่าไม่รู้ไปหาไม้กวาดมาจากที่ไหนกำลังฟาดไม้กวาดเหมือนเล็งอะไรบางอย่างที่ประตูห้องอาโอยางิ
“นี่แน่ะ นี่แน่ะ”
“เอมม่า ทำอะไรน่ะ”
—-ปิ๊งป่อง–
จังหวะที่ชั้นถาม ปรากฏว่าเสียงอินเตอร์โฟนดังขึ้นมาพอดี
ตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่าเอมม่าเล็งอะไร เธอเล็งไปที่ปุ่มอินเตอร์โฟนนั่นเอง
“โดนแล้วค่า….”
เจอผลงานเอมม่าเข้าไปเล่นเอาชั้นอึ้งและทึ่ง เป็นเด็กตัวแค่นี้แต่รู้ได้ไงว่าถ้ากดโดนปุ่มนี้แล้วเสียงจะออกมา
“นี!ไม่ฟาดสิ”
“แง ล็อตตี้ปล่อยหนูน้า”
ชั้นอุ้มเอมม่าให้ออกห่างจากประตู เอมม่าที่สูญอิสรภาพจึงสะบัดมือและขา ดิ้นเร่าๆพยายามจะหลุดไปให้ได้
“โม่ พี่บอกแล้วไงคะว่าวันนี้ไม่เล่นไง”