หลัวซิ่วเอินตัดบทหงไปจางด้วยสายตารังเกียจ “จะเล่นเกมอะไรกันอีก ไปให้พ้นเลย มีคนตั้งมากมายมารวมกันอยู่ที่นี่ทำให้บรรยากาศในห้องนี้ไม่สดชื่น แล้วคนไข้จะพักผ่อนให้ดีได้ยังไง”
คนตั้งแปดเก้าคนมายืนอยู่ในหอผู้ป่วย พูดกันไม่รู้จักจบสิ้น แล้วคนไข้จะยังพักผ่อนไหวเหรอ
หลัวซิ่วเอินเริ่มไล่คนออกไปจากห้อง และหงไป่จางก็เป็นคนแรกที่ถูกไล่ออกไป
ย่าเจี่ยนก็พูดขึ้นบ้างว่า “ย่าเห็นด้วย พวกเราควรจะพูดเรื่องพวกนี้ทีหลัง หลานรักฉันยังคงป่วยอยู่”
จากนั้นย่าเจี่ยนก็หันหน้าไปยังเจี่ยนหยุ่นน่าวที่กำลังกระวนกระวายอยู่ตรงประตูแล้วกล่าวว่า “เธอต้องจำไว้ว่านี่เป็นน้องสาวของเธอ กระดูกหักก็ยังต่อได้ เธอควรจะคิดเกี่ยวกับเรื่องไปในทางที่ดีบ้าง อย่ามัวแต่ดื้อรั้น วุ่นวายอยู่กับความคิดที่ยุ่งเหยิง”
ย่าเจี่ยนไม่ได้พูดเฉพาะเจาะจงว่าเธอหมายถึงอะไร คนที่รู้ต้นสายปลายเหตุย่อมสามารถที่จะฟังเข้าใจได้เป็นอย่างดี
เจี่ยนหยุ่นน่าวนั้นเคยคิดที่จะทำร้ายเจี่ยนอีหลิงให้พิการมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่ควรที่จะคิดแบบนั้นเป็นครั้งที่สอง
ย่าเจี่ยนหวังว่าเจี่ยนหยุ่นน่าวนั้นจะได้เรียนรู้ที่จะเชื่อถือน้องสาวของตัวเองบ้างและหัดปล่อยวางความคิดที่ไม่ดีในใจออกไป
เจี่ยนชูฉิงนั้นโน้มตัวลงไปพูดเบาๆกับเจี่ยนอีหลิงที่นอนอยู่ในเตียงพยาบาล “เซี่ยวหลิง พ่อกับพี่ชายจะกลับบ้านก่อนนะ แล้วจะกลับมาเยี่ยมลูกหลังจากเสร็จงานตอนเย็นแล้ว ลูกจะได้พักฟื้นไข้ พี่ชายของลูกก็จะแจ้งไปทางโรงเรียนขอลาป่วยให้ลูก ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น”
“อื้อ” เจี่ยนอีหลิงยอมรับเบาๆ
เธอทำให้หัวใจของเจี่ยนชูฉิงสั่นไหวขึ้นมา
แม้ว่าลูกสาวของเขานั้นจะตอบกลับมาอย่างเชื่อฟัง แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตใดจึงทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีระยะห่างระหว่างเขากับลูกสาวขึ้นมา
เจี่ยนชูฉิงนั้นลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะจากหอผู้ป่วยไปพร้อมกับลูกชายคนโต
เมื่อทุกคนจากหอผู้ป่วยของเจี่ยนอีหลิงไปทีละคนสองคน เจี่ยนหยู่หมินก็พูดกับแม่บ้านของบ้านเก่าตระกูลเจี่ยนว่า “คุณแม่บ้านช่วยนำเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยนหน่อยนะตอนกลับมาครั้งหน้า”
เขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย
เพื่อให้ปลอดภัย เจี่ยนอีหลิงจะต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกคืน
เจี่ยนหยุ่นน่าววางแผนที่จะอยู่กับเธอที่โรงพยาบาลคืนนี้
ไม่ว่ายังไง ในสองวันถัดไปนี้เขาก็ไม่ได้มีการนัดหมายอะไร แม้ว่าเขาจะมีนัดหมายกับสมาชิกทีมเพื่อที่จะซ้อมกันในตอนเย็น แต่ตอนนี้เขาก็เพียงได้แต่ส่งข่าวไปว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น
เมื่อเจี่ยนหยู่หมินพูด หลัวซิ่วเอินก็ชำเลืองมองไปในทันที
เสียงนี้ฟังดูคุ้นหูนัก
เธอเพียงแค่ฟังก็จำเสียงที่เหมือนแม่เหล็กนี้ได้
หลัวซิ่วเอินหันไปมองด้านหลังของเขา
สายตาของเธอปะทะเข้ากับชายในชุดนอน รองเท้าแตะ และผมทรงสุ่มไก่
ชายคนนี้…
ดูจะเละตุ้มเป๊ะอยู่บ้าง
แต่…
“นาย… ทำไมนายจึงดูคล้ายกับ เซี่ยหมินหยู่”
เสียงของหลัวซิ่วเอินนั้นค่อนข้างจะดัง และสายตาของเธอก็จับจ้องแต่เจี่ยนหยู่หมิน
เซี่ยหมินหยู่นั้นเป็นชื่อฉายาที่เจี่ยนหยู่หมินใช้บนเวทีแสดง เพราะว่าเหอเยี่ยนนั้นพยายามอย่างที่สุดในการต่อต้านการเข้าสู่วงการบันเทิงของเจี่ยนหยู่หมิน ดังนั้นเจี่ยนหยู่หมินจึงใช้ชื่อฉายาเมื่อเขาเข้าสู่วงการธุรกิจการแสดง ไม่สนใจที่จะเชื่อมโยงตัวเขากับตระกูลเจี่ยนเข้าด้วยกัน
เซี่ยนั้นเป็นนามสกุลของย่าเจี่ยน
หลัวซิ่วเอินจ้องมองไปยังเจี่ยนหยู่หมิน ยิ่งมองก็ยิ่งคล้าย
กระทั่งเฉิงอี้เองที่อยู่ข้างกายเธอ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเฉิงอี้นั้นไม่ได้เป็นแฟนของวงบอยแบนจูปิเตอร์ แต่เพราะว่าโต๊ะของหลัวซิ่วเอินนั้นแปะเต็มไปด้วยสิ่งของจากบอยแบน เขาก็ยังรู้จักอีกฝ่ายไปด้วยเช่นกันจากความสามารถทางด้านสายตาของเขา
เจี่ยนหยู่หมินเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังหลัวซิ่วเอิน ถึงแม้ว่าจะมองเห็นความประหลาดใจในดวงตาของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ
“ยังไงล่ะ ผมเอง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
เขารู้ว่าภาพพจน์ของตัวเขาเองในตอนนี้เละตุ้มเป๊ะเป็นอย่างมาก และภาพพจน์ก่อนหน้านี้ในการแสดงจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
แต่มันจะสำคัญแค่ไหนเชียว
อย่างมากก็แค่เสียแฟนเพลงไปหนึ่งคน
เมื่อแฟนเพลงต้องการจะแยกตัวไป เขาก็ไม่อาจที่จะหยุดยั้งพวกเขาได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่งอนง้อหรือว่าเอาอกเอาใจอีกฝ่าย
——————————————————
เฉิงอี้ – ทำไมผมถึงถูกทอดทิ้งเหมือนขยะ