เจี่ยนอีหลิงเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่ว่าเจี่ยนชูฉิงและเวินน่วนจะถามอย่างไรก็ตาม ย่าเจี่ยนก็ไม่บอกอะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อยว่าเจี่ยนอีหลิงนั้นกำลังทำอะไรอยู่
จนกระทั่งในวันที่สาม เมื่อตอนที่เจี่ยนอีหลิงได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ย่าเจี่ยนจึงค่อยแจ้งให้เจี่ยนหยุ่นเฉิงว่าเขาต้องมาเป็นแรงงานฟรีรับผิดชอบในการรับตัวเจี่ยนอีหลิงกลับไปที่บ้านเก่า
หลังจากที่ได้รับข้อความจากย่าเจี่ยนแล้ว เจี่ยนหยุ่นเฉิงจึงได้รับรู้ว่าเจี่ยนอีหลิงได้เข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง แค่เพียงแต่เปลี่ยนห้อง
เจี่ยนหยุ่นเฉิงดูเจี่ยนอีหลิงปีนขึ้นรถด้วยมือและเท้าเล็กๆ แล้วไปนั่งอยู่อย่างเงียบๆ ที่เบาะหลัง ถือโทรศัพท์ไว้ในมือ จิ้มนิ้วที่ขาวและบอบบางลงบนหน้าจอด้วยสีหน้าท่าทางจดจ่อ
เจี่ยนอีหลิงคิดถึงแต่ปัญหาเรื่องงานที่เธอประสบเมื่อก่อนหน้านี้ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นคนขับรถ เป็นคนขับรถที่บ้านหรือว่าเป็นคนอื่น
เมื่อเห็นพฤติกรรมที่เรียบร้อยของเจี่ยนอีหลิง เจี่ยนหยุ่นเฉิงก็คิดสงสัยว่าทำไมจึงมีความรู้สึกเสียวแปลบอยู่ในใจเล็กๆ
ครั้งหนึ่งเขาเคยยินดีกับการกระทำแบบนี้ ยินดีกับมารยาทที่เรียบร้อย ยินดีกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเธอ
แต่ตอนนี้เมื่อความจริงถูกเปิดเผย สิ่งที่เรียกว่ากิริยามารยาทเรียบร้อยนั้นก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
“เซี่ยวหลิง”
เจี่ยนหยุ่นเฉิงเรียกเธอ
เจี่ยนอีหลิงเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเจี่ยนหยุ่นเฉิง ดวงตาเธอใสกระจ่าง ไม่มีอารมณ์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าหรือว่าความสุข
เจี่ยนอีหลิงมองไปยังเจี่ยนหยุ่นเฉิง รอให้เจี่ยนหยุ่นเฉิงพูด
เจี่ยนหยุ่นเฉิงมองดูเจี่ยนอีหลิงอยู่อย่างเงียบๆ มีหลายสิ่งหลายอย่างในใจที่เขาต้องการจะพูดกับเธอ แต่เมื่อเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขามองเข้าไปในตาของเธอ เจี่ยนหยุ่นเฉิงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
คำพูดต่างๆล้วนจืดชืด และไร้ความหมาย
“ลำไส้อักเสบหายดีแล้วเหรอ”
“อื้อ” เจี่ยนอีหลิงตอบตามความเป็นจริง
ในเวลาเดียวกัน ย่าเจี่ยนที่อยู่บนรถก็พูดไม่ออกกับคำถามงี่เง่าของเขาที่ถามออกมา เซี่ยวหลิงต้องออกจากโรงพยาบาลเมื่อตอนที่เธอหายแล้วสิ เธอจะปล่อยให้หลานสาวของเธอออกจากโรงพยาบาลทั้งที่ไม่หายดีได้อย่างงั้นเหรอ
ย่าเจี่ยนก็สังเกตเห็นว่าเจี่ยนหยุ่นเฉิงก็สวมเสื้อกันหนาวที่เจี่ยนอีหลิงถักให้กับเขาในวันนี้ด้วยเหมือนกัน ทั้งยังพันผ้าพันคอที่เจี่ยนอีหลิงให้ไปด้วย
เสื้อกันหนาวเป็นเสื้อคอเต่า ดังนั้นมันจึงไม่รับกับผ้าพันคอ
รูปแบบการตอบคำถามของเจี่ยนอีหลิงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับที่เธอเป็นเมื่อตอนก่อนที่จะได้แสดงหลักฐาน
ใช่ สำหรับเธอแล้ว ทุกสิ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เธอรู้ดีมาโดยตลอดว่าเธอไม่ได้ผลักพี่ชายของเธอ
สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือพวกเขา
เมื่อพวกเขาไปถึงบ้านเก่าตระกูลเจี่ยน เจี่ยนหยู่เจี๋ยก็ออกมาต้อนรับเจี่ยนอีหลิง เขาก็สวมเสื้อกันหนาวที่เจี่ยนอีหลิงให้กับเขาเหมือนกัน
วันนี้เป็นวันหยุด เจี่ยนหยู่เจี๋ยไม่ต้องไปโรงเรียน และเมื่อเขาบอกแม่ว่าเขาจะไปที่บ้านเก่า แม่ของเขาก็ยอมตกลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“น้องสาวอีหลิง ขอแสดงความยินดีที่น้องหายแล้ว และสามารถที่จะทานอาหารอร่อยๆได้แล้ว”
“อื้อ” เจี่ยนอีหลิงพยักหน้าให้กับเจี่ยนหยู่เจี๋ย
“น้องสาวอีหลิง พี่เพิ่งกำกับห้องครัวให้ทำอาหารอร่อยๆทุกอย่างให้กับน้อง”
เจี่ยนหยู่เจี๋ยอยู่ในห้องครัวตอนที่รอเจี่ยนอีหลิงกลับบ้าน คอยดูแลกระบวนการทำงานภายในห้องครัว
“ขอบคุณ พี่ชาย”
เจี่ยนอีหลิงยังคงไม่คุ้นกับการขานคำว่า “พี่ชาย” แต่เธอก็พยายามที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน
“ไม่ต้องพูดขอบคุณ หากว่าน้องชอบอาหาร พี่ก็ชื่นใจแล้ว” เจี่ยนหยู่เจี๋ยยิ้มอย่างหวานชื่นและพึงพอใจ “เข้าไปกันเถอะ ครัวมีเนื้อตุ๋นให้น้อง ลองชิมดูสิ”
เจี่ยนหยู่เจี๋ยพาเจี่ยนอีหลิงเข้าไปทานอาหาร
เจี่ยนหยุ่นเฉิงถูกทิ้งไว้ด้านข้าง
เมื่อกี้นี้ตอนที่เจี่ยนอีหลิงเรียกเจี่ยนหยู่เจี๋ย “พี่ชาย” เจี่ยนหยุ่นเฉิงได้ยินอย่างชัดเจน
เสียงนั้นทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน ให้ความรู้สึกสนิทสนม
และเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่เจี่ยนอีหลิงไม่ได้เรียกเขาว่าเป็นพี่ชายใหญ่
ช่องว่างนี้ทำให้เจี่ยนหยุ่นเฉิงใบหน้าเปื้อนไปด้วยความผิดหวังและเศร้าใจ
หลังจากนั้นเจี่ยนหยุ่นเฉิงก็อยู่ที่บ้านเก่าเพื่อทานอาหารมื้อเที่ยง
ที่โต๊ะอาหาร บรรยากาศระหว่างเจี่ยนหยู่เจี๋ยกับเจี่ยนอีหลิงนั้นเป็นไปอย่างกลมเกลียว เจี่ยนหยู่เจี๋ยจะช่วยเจี่ยนอีหลิงด้านอาหาร แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่พวกเขาก็รู้สึกสนิทสนมกันมาก