the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 108 ลอบเข้าป้อม

ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ แล้ว ตั้งแต่เริ่นเสี่ยวซู่เกิดความคิดจะลอบเข้าป้อมปราการ 109 เขาก็เกิดความคิดพิเรนทร์ขึ้น เขาเรียกทุกคนมารวมตัวแล้วกระซิบพูด “จะปลอมเป็นชาวป้อมปราการ 113 ลอบเข้าป้อม 109 คิดไงกัน”

“ไม่ไหวหรอก” หวังฟู่กุ้ยส่ายหน้า “ชาวป้อมปราการมีเอกสารระบุตัวตนกันทั้งนั้น แต่พวกเราไม่มีเลย”

“ก็พูดว่าทำหายระหว่างหนีไม่ได้เหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ “หนีจากหายนะใหญ่มากว่าร้อยกิโลเมตร ทำหายไปก็ไม่น่าแปลกใจนี่”

หวังฟู่กุ้ยว่า “ก็พูดยากอยู่นะ เพราะข้อมูลข่าวสารของแต่ละป้อมนั้นไม่ได้ใช้ร่วมกัน ถ้าเธอบอกว่าเธอเป็นพลเมืองในป้อมปราการ 113 พวกเขาก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้หรอก เมื่อก่อนการเดินทางระหว่างป้อมต้องใช้หนังสือขออนุญาตก่อน และในหนังสือนั้นจะมีตราประทับของผู้ปกครองป้อมปราการด้วย แต่ตอนนี้ป้อมปราการ 113 ไม่มีอีกต่อไปแล้ว แถมผู้ปกครองป้อม 113 อย่างเหล่าหลิวก็โดนสมาคมตระกูลชิ่งส่งไปนอกด่านแล้วด้วย ไม่รู้ว่าตราประทับของเขาไปอยู่ที่ใคร…”

เริ่นเสี่ยวซู่เดาะลิ้น “ถ้าไม่ถูกส่งออกไปนอกด่านก่อน คงได้ตายคาป้อมแล้วแหง โชคดีในโชคร้ายแท้ๆ…”

“เธอพูดไปแล้วก็เหมือนว่าสมาคมตระกูลชิ่งเพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้นั่นแหละ” หวังฟู่กุ้ยพูดอะไรไม่ออกเลย “แต่ถ้าอยากจะลอบเข้าป้อมปราการ 109 จริง เธอต้องดูปัจจัยอื่นด้วยนะ อย่างเช่น มีผู้อพยพมากกว่าหกร้อยคนที่คุ้นหน้าเธออยู่ด้วย แล้วก็ถ้าป้อมปราการ 109 ไม่ยอมให้ใครสักคนเข้าเลยล่ะ ต่อให้เป็นชนชั้นสูงในป้อม 113 ก็กลายเป็นผู้อพยพเหมือนกันแหละ พวกเราจะไปเหลือเหรอ”

“ก็เป็นไปได้แฮะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ป้อมปราการ 109 ไม่น่าจะปล่อยให้ใครสักคนเข้าไปหรอก”

เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อน ไม่เคยมีป้อมปราการใดเคยพังทลายเช่นนี้ เริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ จึงไม่อาจหาอะไรมาวิเคราะห์เปรียบเทียบได้ มีแต่ต้องลองไปทีละขั้นเท่านั้น

ถ้าเข้าป้อมปราการได้ก็ดีเลย แต่ถึงเข้าไม่ได้ พวกเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้อยู่ดี

แต่ว่าพวกชนชั้นสูงในป้อมปราการอาจจะยากลำบากแล้ว เหลืออีกตั้งอย่างน้อยร้อยกิโลเมตรกว่าจะถึงป้อมปราการ 109 ระยะทางกว่าจะถึง เพียงพอจะทำให้คนเหนื่อยจนตายได้เลย

พอไปถึงป้อมปราการ 109 แล้วพวกเขาไม่ให้คนเข้าไป อาจจะมีคนได้สติแตกแน่

กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่เจอจุดใต้ลมแล้วจึงนั่งลงพักเสียหน่อย ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่ยังสามารถไปต่อไป หวังฟู่กุ้ย เสี่ยวอวี้ และคนอื่นๆ ไม่อาจทนไหวอีกต่อไปแล้ว

ตอนที่ผู้อพยพคนอื่นๆ ที่กำลังหนีอยู่เดินผ่านพวกเริ่นเสี่ยวซู่ไป พวกเขาเห็นว่ากลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่หยุดเคลื่อนไหวแล้วก็แปลกใจไม่น้อย เลยถาม “ทำไมไม่เดินต่อแล้วล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้ามองพวกเขา “พวกเราเดินต่อไม่ไหวแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ที่นั่งอยู่กับพื้นก้มตัวลงนวดขาตัวเอง

เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากยุ่งกับพวกตน ผู้อพยพจึงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ และเดินทางกันต่อไป

“พวกเขาเดินต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ เหรอ” หลังผ่านพวกเริ่นเสี่ยวซู่ไป ก็มีคนถามออกมา

“ไม่เห็นเหรอน่ะ พวกเขากำลังนวดขาตัวเองอยู่ ระหว่างทางพวกเรายังมีพักกันอยู่บ้าง แต่พวกเขายังไม่พักสักนิดเลยนี่ แบบนี้เรียกว่าคนฉลาดตกเป็นเหยื่อความฉลาดของตัวเอง”

“เดาว่าพวกเขาอยู่ห่างเกินจนไม่ได้ยินเสียงหมาป่าแหละมั้ง” มีคนแค่นเสียง “ถ้าเขาได้ยิน ป่านนี้คงวิ่งหนีนำโด่งพวกเราไปแล้ว”

คนกลุ่มนี้กระซิบกระซาบคุยกันไป เดินไปด้วย ไม่คิดจะบอกเริ่นเสี่ยวซู่แม้แต่น้อยว่ามีหมาป่า

แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีอยู่แล้วว่ามีหมาป่าตามล่าพวกเขาอยู่ ทั้งยังไม่ใช่แค่ฝูงหมาป่า ยังมีตัวที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าอย่างพวกตัวทดลองด้วย!

หลังจากพวกผู้อพยพเดินจากไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็กระซิบว่า “ฉันมีน้ำเปล่าอยู่ขวด ทุกคนเอาผ้ามาชุบน้ำแล้วเช็ดหน้าซะ หน้าของชาวป้อมปราการสะอาดหมดจด มีแต่หน้าของพวกผู้อพยพที่สกปรกเปื้อนฝุ่น แยกได้ง่ายมาก แล้วก็ใส่เสื้อผ้าดีๆ ที่มี จะได้เหมือนพวกชาวป้อมปราการหน่อย”

ผู้อพยพขาดแคลนน้ำ ต่อให้เป็นครอบครัวที่มีสายสัมพันธ์กับป้อมปราการอย่างครอบครัวของหวังฟู่กุ้ย ก็ยังไม่มีส่วนแบ่งน้ำเพิ่ม

เริ่นเสี่ยวซู่หยิบขวดน้ำออกมาจากช่องเก็บของที่อยู่ในพระราชวัง แม้แต่ตอนที่ยัดทองใส่ยกใหญ่ เขาก็ยังไม่ลืมที่จะวางน้ำไว้สองขวดข้างใน อยู่ในแดนรกร้าง น้ำสะอาดเป็นของจำเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าน้ำในขวดคือน้ำที่เพิ่งเติมมาใหม่ น้ำก่อนหน้านี้ดื่มไปนานแล้ว

ในฐานะที่เป็นผู้อพยพ พวกเขาเคยชินกับการที่นานๆ ทีจะล้างหน้าล้างตาแล้ว ทว่าตอนนี้กำลังคิดเนียนเข้ากลุ่มชาวป้อมปราการ อย่างไรก็ต้องล้างให้สะอาด ทว่าเกิดไปถึงแล้วมีโอกาสได้เข้าไปในป้อมปราการ 109 จริง แล้วถูกผลักไสไล่ส่งเพราะผิดสังเกตได้คงแย่มากแน่นอน

จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็มีโอกาสได้ล้างหน้าล้างตาให้สะอาดอยู่ อย่างไรเสียในแดนรกร้างก็ใช่ว่าจะหาแหล่งน้ำได้ยากอะไรนัก แต่ว่าใบหน้าสกปรกนี้ก็ถือเป็นเครื่องป้องกันประการหนึ่ง

ถ้าสูเสี่ยนฉู่ หยางเสียวจิ่น และลั่วซินอวี่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ฉบับล้างหน้าสะอาดแล้ว ถ้าไม่ตั้งใจมองดีๆ พวกเขาคงจำเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้แหง

ใบหน้าเขาก่อนหน้านี้นี่สกปรกเสียยิ่งกว่าสกปรกอีก

ตอนที่ผู้อพยพคนอื่นๆ เดินผ่านไป เริ่นเสี่ยวเสี่ยวซู่ตั้งใจให้เหยียนลิ่วหยวนก้มหน้าก้มตาไว้ ในหมู่พวกเขา ใบหน้าเหยียนลิ่วหยวนสะอาดสุด ผู้อพยพคนไหนเห็นก็จำเขาได้ง่ายดายยิ่ง

ตอนนี้พวกเขาล้างหน้าล้างตาให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดีๆ พวกไปเข้าพวกกับพวกชาวป้อมปราการแล้ว ก็คงไม่มีใครจำได้อีก อย่างไรเสียที่ตามหลังมามีคนตั้งหลายพัน เยอะแยะเป็นทะเลมนุษย์

พวกเขาปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า และทำความสะอาดหน้าอีกเล็กน้อย ตอนนี้เองเหล่าบรรดาผู้คนที่หนีออกมาจากป้อมปราการก็มาถึง

กระนั้นพอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกเขา เขาก็ต้องตะลึงพรึงเพริด ทำไมคนพวกนี้ถึงหน้าดำได้ยิ่งกว่าพวกตนอีกล่ะ

เชี่ยแล้ว!

คำนวณพลาดเว้ยเฮ้ย!

ในสมองของเขาติดอยู่กับแนวคิดที่ว่าใบหน้าชาวป้อมปราการจะสะอาดหมดจดตลอด แถมเหยียนลิ่วหยวนเองที่แม้จะหนีมาตลอดทาง หน้าก็ยังสะอาดอยู่ไม่สร่าง เริ่นเสี่ยวซู่จึงไม่ทันคิดเลยว่าคนพวกนี้ไม่ได้หนีตายเอาง่ายๆ แบบเหยียนลิ่วหยวนหรอก

เขาเห็นว่าคนที่โผล่มาเรื่อยๆ นั้น แต่ละคนดูโทรมยิ่งกว่าพวกที่เพิ่งผ่านไปอีก ใบหน้าอึมครึมจนดูเหมือนคนเพิ่งผ่านสงครามอย่างไรอย่างนั้น

ฝุ่นผงที่เกิดจากตึกถล่มเพราะแผ่นดินไหวเข้ามาเกาะติดบนใบหน้าของพวกเขา ตอนที่หนี เหงื่อก็หลั่งออก ทำให้ใบหน้าพวกเขาดำปิ๊ดปี๋แบบนี้!

ตอนนี้ ใบหน้าของเริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกสะอาดสะอาดขั้นสุดจนเหมือนพวกชนชั้นสูงของป้อมปราการไปแล้ว ส่วนพวกที่อยู่ตรงหน้าเขากลับกลายเป็นเหมือนผู้อพยพไป

กลุ่มพลเมืองของป้อมปราการชุดแรกที่มา พอเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ผงะวูบ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายกลับการหนี ไม่มีใครสนหรอกว่าใครจะหน้าสะอาดไม่สะอาด

เสี่ยวอวี้หัวเราะคิกคักอยู่ข้างเขา เริ่นเสี่ยวซู่พูดหน้าตาย “อะแฮ่ม เอาฝุ่นโปะให้หน้ากลับไปสกปรกสักหน่อยแล้วกัน…”

โคตรเสียดายน้ำครึ่งขวดเลย! เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าพวกตนไม่น่าหาทำล้างหน้าเลย

ตอนที่ชาวป้อมปราการกลุ่มหลักผ่านไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็นำพวกเหยียนลิ่วหยวนรวมกลุ่มเข้าไปในฝูงชนได้สำเร็จ ตอนนี้ทุกคนต่างอยู่ในช่วงสับสนไม่รู้สี่รู้แปด จึงไม่มีใครทันสังเกตว่าพวกเขามาร่วมกลุ่มด้วย

“พวกเราจะอยู่กันกลางกลุ่มนะ” เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบ “พยายามติดต่อสื่อสารกับพวกผู้อพยพให้น้อยที่สุด”

หวังฟู่กุ้ยที่กำลังกังวล พูดขึ้นมา “แบบนี้จะได้จริงๆ เหรอ เดี๋ยวต้องมีผู้อพยพสักคนจำพวกเราได้แน่”

“ไม่ต้องห่วงไปลุง” เริ่นเสี่ยวซู่มินำพา “ก็แค่ลองๆ เสี่ยงโชคดูเฉยๆ ลุงลองคิดแบบนี้สิ ถ้าพวกผู้อพยพตายกันหมดยกคณะ ก็ไม่มีใครจำพวกเราได้แล้วไง”

หวังฟู่กุ้ยเบิ่งตามองเริ่นเสี่ยวซู่ แบบนี้ก็ได้เหรอ

ทว่าพริบตานั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าคณะคนที่หนีไปก่อนหน้านั้นมีเรื่องทะเลาะกัน เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดตัวขึ้นเล็กน้อยมองไป ดูเหมือนว่าผู้อพยพกับชาวป้อมปราการในกลุ่มจะมีปากเสียงกัน หวังอี้เหิง ผู้จัดการโรงงานทรายกำลังชี้ปืนจ่อหัวคนผู้หนึ่งอยู่

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset