the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 107 บุญคุณแม้เพียงน้ำหยด

ตอนที่รถออฟโรดกับรถบรรทุกทหารของสมาคมตระกูลชิ่งโผล่เข้าสายตา เริ่นเสี่ยวซู่ก็คิดได้ทันทีว่าทำไมพวกหมาป่าถึงไม่รีบร้อนบุกเข้ามา

เริ่นเสี่ยวซู่คุ้นตากับสัญลักษณ์สมาคมตระกูลชิ่งที่อยู่บนรถพวกนั้นดี เขาเพิ่งเห็นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง

บนรถสีดำมีสัญลักษณ์เป็นใบแปะก๊วยสีขาว จากตามคำบอกเล่าของจางจิ่งหลิน โลกใบนี้ผ่านพันหมื่นแปรเปลี่ยนมาตลอดหลายร้อยล้านปี ทว่ามีเพียงต้นแปะก๊วยเท่านั้นที่ยังมีหน้าตาเหมือนเดิมตั้งแต่ยุคควอเทอร์นารี[1]

เป็นสายพันธุ์ไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่มี ‘ยีน’ ที่ทรงพลังที่สุดด้วย

ครั้งแรกที่เริ่นเสี่ยวซู่เห็นตราสัญลักษณ์ของสมาคมตระกูลชิ่งเป็นครั้งแรกที่เขาจิ้งซาน เขาก็คิดว่าที่สมาคมตระกูลชิ่งใช้ใบแปะก๊วยขาวนั้นเพราะอยากให้ตนเองสามารถอยู่ยงคงกระพันไปตลอดกาล

รถมาถึงพร้อมเสียงคำรามลั่น แต่พอพวกเขาขับมาถึง เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าพวกเขามีน้อยเสียเหลือเกิน คนน้อยจัดจนแทบไม่ต้องนับด้วยซ้ำไป รถออฟโรดสามคัน และรถบรรทุกทหารอีกสอง

ไหนสูเสี่ยนฉู่บอกว่ากองพลน้อยของสมาคมตระกูลชิ่งมีทหารถึงสี่พันห้าร้อยนายไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีคนรอดออกมาแค่นี้เองล่ะ รถบรรทุกทหารบรรทุกกำลังได้อย่างน้อยห้าสิบนาย หมายความว่ามีทหารแค่ราวหนึ่งร้อยนายบวกลบเท่านั้นที่รอดออกจากป้อมปราการได้อย่างนั้นหรือ

ที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ที่จริงแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ประเมินความหายนะของภัยพิบัตินี้น้อยเกินไป ในเมืองน้อยนั้นมีสิ่งก่อสร้างที่ทำจากปูนจากอิฐนิดเดียว ต่อให้พวกมันจะพังเขาก็มิแล หรือต่อให้เป็นตึกสูงหน่อยก็ยังมิแลอยู่ดี แต่ว่าสิ่งก่อสร้างในป้อมปราการส่วนใหญ่นั้นสร้างจากอิฐและปูน

พูดได้ว่าจินตนาการของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นจำกัดนักเพราะความยากจนของตัวเขาเอง

แผ่นดินไหวก่อให้เกิดแผ่นดินแยก แบ่งป้อมปราการออกเป็นสองส่วน เปลี่ยนแม่น้ำให้กลายเป็นน้ำตก

นี่คือพลังอำนาจของธรรมชาติ และมนุษยชาติก็มิอาจทำอะไรกับมันได้ด้วย

หลังจากสิ่งก่อสร้างที่ทำจากอิฐปูนของป้อมปราการพังลง ก็มีคนมากมายที่ถูกฝังทั้งเป็น มีผู้เสียชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งรวมไปถึงคนของสมาคมตระกูลชิ่งด้วย

ที่โชคร้ายที่สุดคือฐานทัพตั้งอยู่กลางรอยเลื่อนพอดี จึงโดนแยกแตกออกเป็นสองส่วนด้วย

หลัวหลานหอบแฮกๆ อยู่บนรถออฟโรด ที่น่าอายที่สุดคือตอนนี้เขาสวมบ็อกเซอร์ลายลูกไม้อยู่ตัวเดียว ตอนเกิดแผ่นดินไหว เขาหลับสนิทอยู่ โชคดีที่ค่ายที่พักของเขาแข็งแรงมาก แถมตัวอาคารมีชั้นเดียว จึงรอดมาได้

ตอนนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว ในค่ายทหารมีฮีตเตอร์ ในรถออฟโรดมีฮีตเตอร์ แต่ในแดนรกร้างไม่มีสักกะเครื่อง

ตอนนี้ที่หลัวหลานกลัวที่สุดคือรถยนต์น้ำมันจะหมดก่อนถึงป้อมปราการ 109 พอถึงตอนนั้นคงต้องเดินเท้าจนกว่าจะถึงป้อมปราการ 109 แล้ว!

คิดแล้วหลัวหลานก็พูดขึ้น “พวกเราเหลือน้ำมันอยู่เท่าไร”

ทหารที่เป็นคนขับว่า “เหลืออยู่ในหนึ่งในสาม น่าจะขับได้อีกประมาณร้อยสามสิบกิโลเมตร”

“จะไปถึงป้อม 109 หรือเปล่า” หลัวหลานถาม

ทหารผู้นั้นอึกอักพูด “พวกเราอยู่ห่างจากป้อมปราการ 109 อยู่อีกตั้งสองร้อยสิบกิโลเมตร น้ำมันไม่พอแน่ครับ แต่พวกเราสามารถให้คนในรถออฟโรดคันอื่นเดินเท้า และถ่ายน้ำมันมาเครื่องเราได้…”

“หืม?” หลัวหลานตาทอประกาย ก่อนจะถอนหายใจ “ช่างเหอะ คนบนรถออฟโรดก็คนเจ็บทั้งนั้น พวกที่อยู่ท้ายรถบรรทุกเองก็บาดเจ็บเหมือนกัน”

ทหารนายนั้นเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ท่านครับ ท่านกับคุณชิ่งเจิ่นดูแลพวกเรามาอย่างดี ไม่เหมือนกับพวกผู้นำคนอื่นๆ ในสมาคมเลย พวกเราลำบากนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกครับ”

“เลิกเลย ไม่ต้องเอาเรื่องนั้นมาพูดเลยนะ” หลัวหลานโบกมืออย่างรำคาญใจ “นายพูดอย่างกับฉันเป็นคนดีมากงั้นแหละ ฉันไม่ใช่สักหน่อย คนดีตายไวไม่รู้เหรอไง”

“ท่านครับ ข้างหน้ามีคนกำลังวิ่งอยู่” ทหารนายนั้นเห็นเหล่าผู้อพยพกำลังวิ่งหนีอยู่ก็พูดขึ้น

หลัวหลานเหยียด “ข้างหลังก็มีคนอีกกลุ่มไม่ใช่เรอะ ไม่เห็นมีอะไรหนักหนาเลยนี่ ขับแซงพวกเขาโลด ปล่อยให้พวกเขากินฝุ่นซะ!”

พอผู้อพยพเห็นขบวนรถผ่านไปก็ตาลุกโชนด้วยความริษยา ถ้าพวกเขามีรถให้ขับบ้างจะดีขนาดไหนกันนะ

จริงๆ แล้วที่โรงงานทรายก็มีรถอยู่ แต่ว่าเอาออกไปใช้ขนทรายหมด ที่โรงงานจึงเหลือแต่พวกรถขุด ซึ่งทั้งช้าทั้งกินน้ำมัน!

ตอนนั้นเองก็มีคนในกลุ่มผู้อพยพโพล่งขึ้น “เถ้าแก่หลัว ผมหวังอี้เหิงเป็นผู้จัดการของโรงงานทราย รับผมไปด้วยครับ ผมเคยพบท่านมาก่อน!”

พลขับของหลัวหลานว่า “รับเขาขึ้นมาไหมครับ”

“ที่จะให้คนเจ็บอยู่ยังไม่พอเลย จะเอาเขามาทำเพื่อ” หลัวหลานบ่น “ช่างหัวเขาสิ”

หวังอี้เหิงเห็นขบวนรถขับไกลออกไปลับสายตา ก็โมโหจัดจนแทบอยากจะใช้ปืนที่อยู่ในมือยิงปืนใส่เจ้าอ้วนหลัวอยู่รอมร่อ ทว่าใจหนึ่งได้แต่คิดไม่กล้าลงมือ ส่วนอีกเรื่องคือเขาวิ่งเข้าหารถไม่ทันหรอก

เริ่นเสี่ยวซู่มองขบวนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วบอกหวังฟู่กุ้ยกับคนอื่นๆ ว่า “คิดว่าคนที่รอดมาจากป้อมปราการน่าจะหนีมาทางนี้กันไม่น้อย แต่ไม่ต้องกังวลมากไป ยิ่งมีคนเยอะ ยิ่งมีคนดึงดูดสัตว์ป่าแทนเรา แต่ถ้ายังมีสัตว์ป่าตัวไหนคิดโจมตีพวกเรา ก็ปล่อยให้ฉันจัดการเอง”

หวังฟู่กุ้ยหัวแหลม สามารถสัมผัสได้ถึงความมั่นอกมั่นใจในน้ำเสียงของเริ่นเสี่ยวซู่ได้

เริ่นเสี่ยวซู่น่าจะรู้ว่าที่ตามล่าพวกตนอยู่มีอันตรายอะไรบ้าง แต่กลับไม่กลัวแม้แต่น้อย หวังฟู่คิดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า บางทีเริ่นเสี่ยวซู่เองก็น่าจะเป็น…ผู้มีพลังพิเศษด้วยกระมัง?

ไม่อย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จะรอดกลับมาจากการเดินทางไปเขาจิ้งซานอยู่คนเดียวได้อย่างไร ทั้งที่การเดินทางมีคนตั้งมากมายขนาดนั้น แล้วก็ อย่าบอกนะว่าเริ่นเสี่ยวซู่ฆ่าคนหมกเขาด้วยน่ะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ถึงสามารถฆ่าคนที่เฝ้าจับตาอยู่ได้โดยตาไม่กะพริบเลยได้ล่ะ

“อืม เสี่ยวซู่ ไม่รู้ว่าควรถามดีไหมนะ” หวังฟู่กุ้ยสองจิตสองใจ “แต่เกิดอะไรขึ้นที่เขาจิ้งซานกันแน่ แล้วคนอื่นๆ หายไปไหนหมด”

“พวกเราออกเดินทางด้วยสมาชิกยี่สิบคน” เริ่นเสี่ยวซู่คิด และพูดต่อ “มีแค่สี่คนที่รอดกลับมา”

สี่คนที่ว่าคือสูเสี่ยนฉู่ หยางเสียวจิ่น ลั่วซินอวี่ และเขา เริ่นเสี่ยวซู่

“ส่วนที่ว่าในเขาจิ้งซานเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน มันมีแมลงกินคน มีมนุษย์ทดลองที่สติปัญญาถดถอย” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “แต่ว่าพวกมันยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด”

กรงเล็บของเจ้าสัตว์ประหลาดที่โผล่ออกมาเหนือปล่องไฟนั่นยังเป็นภาพจำติดตาของเริ่นเสี่ยวซู่ เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นตัวใหญ่มโหฬาร ทั้งยังสามารถแหวกว่ายอยู่ในแมกมาได้อีก

ตอนนี้ขบวนรถของสมาคมตระกูลชิ่งขับผ่านพวกเริ่นเสี่ยวซู่ไปแล้ว เริ่นเสี่ยวเห็นเจ้าอ้วนหลัวผ่านหน้าต่างรถ ก่อนจะสงสัยว่าคนผู้นี้ใช่เถ้าแก่หลัวในตำนานที่ส่งป้าย ‘มือมหัศจรรย์ ไม้ผลิกลับคืน’ มาให้เขาหรือเปล่า

“จะอะไรก็ช่างเถอะ พวกเราโชคดีแล้วที่มีเธอน่ะ” หวังฟู่กุ้ยถอนหายใจ “ถ้าเธอไม่พาพวกเรามาด้วย ต้าหลงกับฉันคงไม่เหลือซากแล้วละ ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”

ตอนนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็จ้องไปที่หวังฟู่กุ้ยแล้วว่า “บุญคุณแม้เพียงน้ำหยด ก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร…”

หวังฟู่กุ้ย “???”

ไม่ใช่ว่าพวกเราควรจะเกรงใจกันหน่อยหรอกเหรอ!

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองหาเนินสูง เพื่อจะมองไปข้างหลัง จะได้รู้ว่ามีคนอีกมากน้อยเพียงไรที่รอดมาจากป้อมปราการได้

“เดี๋ยวพวกเราต้องหาที่ใต้ลมพักผ่อน” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ดูเหมือนว่าข้างหลังเรามีกลุ่มคนหลายพันเลย ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้วละ แถมฉันคิดว่าพวกนายทุกได้สลบกันก่อนแน่ถ้าไม่พักเสียหน่อย”

ตอนนี้จันทราแขวนอยู่กลางฟ้ารัตติกาล ทุกคนหนีมาตั้งแต่เช้า และแทบจะเป็นลมสลบอยู่รอมร่อ เริ่นเสี่ยวซู่ต้องกลับมารวมกลุ่มใหญ่อีกครั้งเพื่อใช้พวกเขาต่างโล่

ถ้ากลุ่มคนหลักหลายร้อย อาจจะโดนหมาป่าโจมตีได้ แต่เป็นกลุ่มคนแข็งแรงหลายพันเช่นนี้ ถ้าหมาป่าจะพุ่งจู่โจมก็คงต้องคิดซ้ำสองหน่อยแหละ

สมมุติถ้าเจออันตรายอะไรอีก ก็แค่ให้พวกเหยียนลิ่วหยวนวิ่งหนีให้ไวกว่าคนอื่นๆ อีกหลายพันก็จบแล้ว

อาจจะฟังดูโหดร้ายไปบ้าง แต่คนอื่นๆ ก็คิดแบบนี้ไม่ต่างกันหรอก

และถ้าพวกเขาตามฝูงชนไปป้อมปราการ 109 อาจจะมีโอกาสแอบเนียนเป็นผู้พักอาศัยอยู่ในป้อมปราการ 113 และลอบเข้าป้อม 109 ไปก็ได้

เริ่นเสี่ยวซู่อยากรู้นักว่าป้อมปราการ 109 จะปล่อยพวกเขาเข้าไปไหม

………………

[1] ยุคควอเทอร์นารี (Quaternary) เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2.588 ล้านปีก่อนและสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็นสองช่วงใหญ่ๆ คือ สมัยไพลสโตซีน (2,588,000 – 11,700 ปีก่อน) และโฮโลซีน (11,700 ปีก่อน – ปัจจุบัน)

สมัยไพลสโตซีน (Pleistocene epoch) ธารน้ำแข็งเกิดขึ้นมากมายหลายระยะจนมีสมญาว่าเป็นยุคน้ำแข็งใหม่ (Modern Ice Age)

สมัยโฮโลซีน (Holocene) หมายถึงช่วงสมัยที่ธารน้ำแข็งถดถอยไปและอากาศร้อนขึ้น

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset