ศพ – ตอนที่ 484 กังวลเรื่องการแต่งงานต้องห้าม

ตอนที่ 484 กังวลเรื่องการแต่งงานต้องห้าม

ภายใต้การนําของสาวใช้ผมมาถึงเรือนด้านหลังที่มู่หลงเหยียนอยู่อย่างรวดเร็ว

เพิ่งมาถึงหน้าประตูผมก็เห็นมู่หลงเหยียนและยายโม่กาลังดวลดาบกันอยู่

ทั้งสองคนสู้กันได้ดุเดือดมาก สายลมพาดพัดอย่างรุนแรง รู้สึกได้เพียงพลังหยินที่กลายเป็นสายลมอันเยือกเย็นพวกมันพัดไปรอบๆอย่างต่อเนื่อง

ทุกครั้งที่พวกเธอปะทะกันจะมีเสียงลม “ฮๆๆ” ดังขึ้นตลอด

เมื่อเห็นฉากนี้ ผมก็อดเคลิ้มไม่ได้ ร้ายกาจสุดๆไปเลย

รู้สึกแค่ระหว่างตัวเองกับพวกเธอ มีช่องว่างที่ใหญ่โครตๆกันอยู่

เพลงดาบของมู่หลงเหยียนทรงพลังมากดาบในมือเปลี่ยนเป็นพันท่าดูเฉียบขาดมาก

ไม้เท้าหัวมังกรในมือยายโม่ ก็ดูน่าเกรงขามทุกครั้ง ยายโม่ดูไม่เหมือนคนแก่เลยสักนิด

สาวใช้เพิ่งพาผมมาถึงตรงนี้ เธอก็พูดกับมู่หลงเหยียนที่กําลังดวลดาบอยู่ว่า “คุณหนู คุณผู้ชายมาเจ้าค่ะ !”

มู่หลงเหยียนไม่ได้หยุดทันที เธอตอบกลับในขณะสู้กับยายโม่ “ไปหยิบของที่อยู่ในห้องฉันออกมา !”

“เจ้าค่ะคุณหนู !” สาวใช้ตอบกลับได้แข็งมาก จากนั้นเธอก็คารวะ แล้วโค้งตัวถอยออกไป

สาวใช้เพิ่งออกไป ผมก็เห็นไม้เท้าหัวมังกรของยายโม่และดาบของมู่หลงเหยียนปะทะกันอีกรอบ

เสียง “ปัง” ดังขึ้น ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่รุนแรง ยายโม่โดนผลักให้ถอยออกไปทันที

หลังยืนได้ที่แล้ว ยายโม่ก็หยุดเคลื่อนพลัง จากนั้นก็ยิ้มให้มู่หลงเหยียน “ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ในที่สุดคุณหนูก็ทะลุคอขวด เลื่อนไปอีกขั้นแล้ว !”

พอได้ยินคําพูดนี้ ใจผมก็อดมีเสียงดัง “บิ๊ก” ไม่ได้พร้อมกันนั้นม่านตาก็ขยายใหญ่ทันที

แม่เจ้า มู่หลงเหยียนพัฒนาขึ้นอีกแล้ว

ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าล้มเหลวเวลาสั้นๆแค่นี้ก็ทะลุคอขวดได้แล้วงั้นเหรอ

ผมตกใจอย่างแรงแต่ก็ดีใจมากเช่นกัน

มู่หลงเหยียนยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ ความมั่นหน้าของผมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดูซิต่อไปใครจะกล้ามาหาเรื่องผม
ถ้ากล้าหาเรื่องผมผมก็จะเรียกเมียผีสุดแกร่งของผมออกมา อัดเจ้าหมอนั้นให้สิ้นเรื่อง

ผมยังไม่ทันได้สติ มู่หลงเหยียนก็เผยรอยยิ้มออกมา “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการไปสู้ที่เขาเขี้ยวหมาป่าจะทําให้หาจุดทะลุคอขวดได้ !”

พอยายโม่ได้ยินถึงตรงนี้ เธอก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ออกมา แล้วหันมาทางผม “คารวะคุณผู้ชายเจ้าค่ะ !”

ส่วนผมก็ได้สติกลับมาเช่นกัน ผมเดิมเข้าไปอย่างมีความสุข “คารวะยายโม่ น้องศพ ดีใจด้วย !”

ผมพูดไปทํามือคารวะยายโม่ไป

เห็นได้ชัดว่ามู่หลงเหยียนอารมณ์ดีมาก พอเห็นผมเดินเข้ามา เธอก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ากาก มาเร็วจริงนะ !”

“ฮ่าๆๆ ก็ไม่ได้คิดถึงเธอแล้วมาหาหรือไง ?” ผมทําหน้าด้าน

พอมู่หลงเหยียนได้ยินถึงตรงนี้ เธอกลับทําปากมุ่ย แล้วกลอกตาตามที่จิตใต้สํานักบอก

แต่คราวนี้ มันกลับไม่เหมือนครั้งก่อนๆ แม้จะทําหน้าดใส่ผม แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร

ส่วนยายโม่ที่อยู่ข้างๆ กลับทําตาที่ ส่งเสียงหัวเราะอันแหบแห้งออกมา

หลังมาถึงตรงหน้ามู่หลงเหยียนแล้ว มู่หลงเหยียนพึ่งยอมพูดกับผม “เจ้ากาก ช่วงนี้ไม่ได้ไปสั่งสอนนายกล้าขึ้นทุกวันแล้วนะยะกล้าพูดเล่นกับฉันแล้วใช่ไหมฮะ ?”

พอพูดมาถึงตรงนี้ มู่หลงเหยียนก็แกล้งทําตัวเป็นแม่เสือร้าย

ผมกลับเกาหัวไปมา “ก็ ก็ฉันพูดจริงนิ”

“จะจริงขนาดไหนกันยะ” มู่หลงเหยียนถามต่อ น้ําเสียงฟังดูขี้เล่นหน่อยๆ

“ฟ้าดินเป็นพยานจันทราและสริยันพิสูจน์ได้ !” ผมพูดต่อ แม้แต่ยิมออกมาด้วย

ถึงจะดูหน้าด้านไปหน่อย แต่สิ่งที่ผมพูดเป็นสิ่งที่มาจากใจจริงทั้งหมด ผมคิดถึงมู่หลงเหยียนจริงๆ

มู่หลงเหยียนกลับไม่สบอารมณ์ “ พอเถอะ ! อย่าคิดว่าช่วงที่ฉันเก็บตัวฉันจะไม่รู้ว่านายไปทําอะไรมาบ้างนะยะ ! รอบตัวนายมีสาวสวยวนเวียนอยู่ไม่น้อย รอให้ถึงเวลาที่ฉันหาวิธีแก้การแต่งงานนี่ได้ก่อนเถอะ

นายจะได้เป็นอิสระอยากจะคิดถึงใครก็คิดไปเถอะย่ะ ! ”

มู่หลงเหยียนกอดอกขณะพูดค่าพูดพวกนี้

แต่พอผมได้ยินแบบนั้นกลับรู้สึกเศร้าไม่มากก็น้อย

ความรู้สึกแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ หรือแม้แต่แอบคิดอย่างไม่รู้ตัวว่าอย่ายุติการแต่งงานของพวกเราสองคนหรือไม่ต้องแก้หาทางยุติมันตลอดกาล……

แน่นอน มันต้องมีเหตุอยู่แล้วว่าทําไมการแต่งงานกับผีถึงเป็นเรื่องต้องห้าม

หากไม่ยุติ คนที่ต้องทรมานก็คือผม

อาจารย์เคยบอกว่า ตอนที่จัดงานแต่งผีให้ผม เป็นแค่แผนชั่วคราว และอยากรักษาชีวิตของผมเท่านั้น

แม้การแต่งงานผีจะมีดี แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกัน

และข้อเสียก็คือจะส่งผลต่ออายุขัย

คนและผีมีเส้นทางที่แตกต่างในฐานะที่ผมเป็นคน หลังแต่งงานกับผีแล้ว อายุขัยของตัวเองก็จะค่อยๆเดินเร็วขึ้นกว่าสองเท่าของคนปกติ

เช่นผมอยู่ได้ 60 ปี ถึงผมจะไม่เข้าใกล้คู่ครอง รักษาระยะห่างระหว่างมู่หลงเหยียนตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ หรือเจอสถานการณ์ที่แตะต้องตัวกัน

ผมก็อาจจะมีชีวิตได้ถึงอายุ 40 หรือไม่ก็น้อยกว่านั้นหน่อย

ตอนผันมาเอาชีวิต อาจารย์เองก็ไม่มีทางเลือก ด้วยความอับจนหนทาง เลยคิดจะรักษาชีวิตของผมเอาไว้ด้วยวิธีนี้

เพราะมู่หลงเหยียนบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นวิญญาณเกือบแตกสลาย

ด้วยความบังเอิญ เธอเลยมาแต่งงานกับผม

เพราะเงื่อนไขพิเศษของการแต่งงาน ทําให้มู่หลงเหยียนไม่เพียงรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ เธอยังใช้งานแต่งงานนี้ใช้พลังชีวิตของผมมารักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง

ถึงการแต่งงานนี้จะเกิดขึ้นง่าย แต่หากคิดจะยุติ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นอย่างน้อยอาจารย์ของผมก็จนปัญญา

ในช่วงเวลาระหว่างนั้น ผมเลยมีชีวิตผูกติดกับเธอ

ในสมองมีเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงผุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน

มู่หลงเหยียนและยายโม่เห็นผมทําท่าครุ่นคิด หรือแม้แต่หน้าตายังดูเคร่งขรึมขึ้น สีหน้าของพวกเธอเลยอดเปลี่ยนไปไม่ได้

ยายโม่ที่ไม่พูดมาโดยตลอดกลับพูดขึ้นมาในเวลานี้ “ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะคุณผู้ชาย หากมีวิธีผูกก็ต้องมีวิธีแก้เจ้าค่ะ แม้การแต่งงานของคนเป็นกับคนตายจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่มันก็ต้องมีวิธียุติแน่เจ้าค่ะ”

“คุณผู้ชายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง ยังมีอายุอยู่ได้อีก 30-50 ปี พวกเรายังมีเวลาหาทางยุติเรื่องนี้อีกเยอะเจ้าค่ะ”

จู่ๆก็ได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น เธอคิดว่าผมกังวลว่าจะยุติการแต่งงานนี้ไม่ได้ แล้วตัวผมจะตายตาม

แต่กลับไม่คิดว่า ที่จริงแล้วสิ่งที่ผมคิดถึงมากกว่านั้นคือ การรักษาความสัมพันธ์นี้กับมู่หลงเหยียน

ผมไม่อยากสูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองคนไป

เพราะผมรู้ตัวแล้วจริงๆ ว่าผมชอบมู่หลงเหยียน

บางครั้งก็คิดถึงเธอขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แม้เธอจะดุมาก และเจ้าอารมณ์สุดๆ…

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ฉีกยิ้มให้ยายโม่ “ยายโม่ ผมไม่ได้คิดมากเรื่องนั้น ถ้าไม่ได้น้องศพผมคงตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ตายในมือเจ้าผีตนนั้น”

“ที่ผมมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็นท่าไรชีวิตทั้งนั้น ถึงสุดท้ายจะยุติเรื่องนี้ไม่ได้ แม้จะตายเพราะมันหรือวิญญาณแตกสลายผมก็ไม่กลัว”

ผมพูดอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ที่จริงนี่คือความในใจของผม

มู่หลงเหยียนกลับกลอกตาให้ผม “พูดบ้าอะไร ? นายอยากตาย แต่ฉันไม่อยากตายนะยะ ! จากความเข้าใจของพวกเรานายกับฉันยังอยู่บนเส้นขนานเดียวกัน มีชีวิตร่วมกัน หากอีกฝ่ายเป็นอะไรขึ้นมาอีกฝ่ายก็จะเจอหายนะตามไปด้วย”

“ถ้าเทียบกันแล้ว นายจะเจอปัญหาน้อยหน่อย แต่ถ้าฉันตายในการแต่งงานนี้ ฉันจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นยังไงก็ต้องหาทางยุติการแต่งงานนี้ไม่ว่าจะเป็นนายหรือฉัน มันก็ดีด้วยกันทั้งนั้น…..”

มู่หลงเหยียนพูดออกมาที่ละค่าๆ แต่จากแววตาของเธอมันบ่งบอกว่าเป็นห่วงผมอย่างชัดเจน

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset