ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 140 แสงสว่าง

ช่วงนี้เพราะมีเรื่องกลุ้มใจ เจียงเฉาจึงนอนไม่หลับโดยสิ้นเชิง ท่าทีอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ย่อมไม่มีแรงพินิจวิเคราะห์เหมือนแต่ก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพิ่งค้นพบวิธีที่อาจจะช่วยชีวิตเขาได้ จึงไม่อาจปิดบังความตื่นเต้น ทั้งไม่ได้สังเกตถึงความระมัดระวังและหยั่งเชิงที่นายท่านอู๋เผยออกมาอย่างเลือนรางยามที่เขาถามขึ้นมา

“ไม่ๆ” เขาเอ่ยอย่างตื่นเต้น “เถ้าแก่หวังเกิดเรื่อง ก็ไม่ใช่เพราะว่าขุนนางอาศัยพรรคพวกกันหรือไร? บางครั้งทำการค้าก็เป็นเช่นนี้ ผู้ที่ไร้การปกป้องคุ้มครองจากขุนนางย่อมเกิดปัญหาได้มากกว่า ก่อนหน้านี้ข้ารู้จักสกุลเผยตรอกเสี่ยวเหมยในหลินอัน แต่ก็รู้เพียงว่าสกุลพวกเขามีจิ้นซื่อสี่คน เรื่องอื่นกลับไม่ทราบเท่าใด จวบจนปีก่อน เรือของสกุลซ่งติดด่านที่ไหวอัน พวกเจ้าคงรู้จักสกุลซ่งแห่งซูโจวกระมัง? สกุลพวกเขาก็เป็นขุนนางมาหลายชั่วอายุคน เป็นสกุลที่ร่ำรวยโดดเด่นที่สุดในเมืองซูโจวของพวกเรา พวกเจ้าคิดดู สกุลเช่นนี้เรือของพวกเขาก็ยังติดด่านที่หลินอันได้ ย่อมเป็นเพราะทำเรื่องฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่แน่ว่าอาจจะข้องเกี่ยวกับเบื้องสูง ผู้ที่พวกเขาขอความช่วยเหลือก็คือสกุลเผยเมืองหลินอันของพวกเจ้า ยามนั้นข้าได้ยินล้วนตื่นตะลึงอยู่นาน ข้ารู้จักสี่สกุลใหญ่ของเจียงหนาน เมืองหังโจวนั้นมีสามสกุล แต่สี่สกุลใหญ่กลับไม่มีสกุลเผย ปกติข้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ภายหลังเรื่องของสกุลซ่งได้คลี่คลาย ข้าจึงสืบเรื่องของสกุลเผยอย่างละเอียด คาดไม่ถึงว่าสกุลเผยแทบจะมีคนเดินสายขุนนางอยู่ทุกรุ่นทุกสมัย แต่ชื่อเสียงกลับไม่กระจ่างชัด นี่ก็นับว่าเก่งกาจแล้ว”

มีคนเดินสายขุนนางทุกรุ่นทุกสมัย?

อวี้เหวินและนายท่านอู๋ต่างไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้

เมื่อมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าสกุลเผยจะมีคนรับราชการทุกรุ่นจริงๆ เพียงแต่คนสกุลเผยรับราชการก็ดีสอบเข้าจิ้นซื่อได้ก็ช่าง น้อยครั้งที่จะเฉลิมฉลองอย่างเอริกเกริก กลับกันหากบ้านไหนให้กำเนิดบุตร ก็จะจัดงานเลี้ยงแบบหลิวสุ่ยสี[1]

มีจิ้นซื่อสี่คนในสกุล?

ในความทรงจำของพวกเขา สามพี่น้องสกุลเผยล้วนสอบจิ้นซื่อได้ ท่านผู้เฒ่าเป็นจวี่เหริน สกุลเผยก็ควรมีจิ้นซื่อสามคนสิ…ในความเป็นจริง สกุลเผยรุ่นนี้ยังมีจิ้นซื่ออีกหนึ่งคน เป็นญาติสายรองของสกุลเผย ลูกชายเผยอี้ญาติผู้พี่ของท่านผู้เฒ่าเผยที่นามว่าเผยวั่ง แต่เผยอี้เป็นคนไม่สนใจการงาน คล้ายว่าอาศัยแต่เงินของสกุลเผยใช้ชีวิตไปวันๆ หลังจากเผยวั่งสอบจิ้นซื่อ ไม่นานก็ไปรับราชการทางเหอหนาน เพราะครอบครัวแบ่งแยกกัน ยามที่ท่านผู้เฒ่าเผยล่วงลับ เผยวั่งก็ไม่ได้กลับมา งานศพของท่านผู้เฒ่าเผย หลี่อี้ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ ยามที่เผยเยี่ยนรับช่วงต่อสกุล เขายิ่งทำเหมือนไม่มีตัวตน ทำให้คนในเมืองหลินอันไม่มีภาพจำอะไรเกี่ยวกับบ้านนี้ของพวกเขาแม้แต่น้อย

นายท่านอู๋และอวี้เหวินกระดากอายอยู่บ้าง

พวกเขาเป็นคนหลินอันแท้ๆ กลับต้องให้คนซูโจวเป็นฝ่ายเตือนขึ้นมา

แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนในพื้นที่

อวี้เหวินอดกล่าวไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเผยวั่งอายุมากกว่านายท่านใหญ่สกุลเผยไม่กี่ปี ทั้งยังสอบจิ้นซื่อได้เร็วกว่านายท่านใหญ่หลายปี หลังจากนั้นก็รับราชการอยู่ข้างนอกตลอด ก็ไม่รู้ว่ายามนี้เป็นขุนนางขั้นไหนแล้ว? รับราชการที่ใด? แต่ข้าจำได้อย่างแม่นยำว่าเขามีลูกชายคนหนึ่ง อายุมากกว่าลูกสาวข้าอยู่ครึ่งปี ยามที่ลูกชายเขาให้กำเนิด ยังโปรยเงินอยู่หน้าตรอกเสี่ยวเหมย เวลานั้นข้าไปซื้ออุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่ร้านค้าริมธารเสี่ยวเหมยเป็นเพื่อนภรรยาพอดี ภรรยายังทอดถอนหายใจ กล่าวว่าเด็กคนนี้มาเกิดถูกที่จริงๆ ยังลูบท้องตัวเองเอ่ยว่าผู้ที่ตั้งท้องอยู่นี้ไม่รู้ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

เจียงเฉากระจ่างใจดี “นายท่านเผยคนนี้ปัจจุบันเป็นข้าหลวงอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง”

นายท่านอู๋และอวี้เหวินตกใจไม่น้อย

แม้ว่าข้าหลวงเป่าติ้งจะเป็นเพียงข้าหลวงขั้นสี่ แต่เมืองเป่าติ้งเป็นตำแหน่งภูมิศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเส้นทางที่สายใต้และเหนือต้องใช้ผ่านเข้าไปในเมืองหลวง ในขุนนางน้อยใหญ่ที่ถูกส่งออกไปรับตำแหน่ง ข้าหลวงเป่าติ้งนับว่าอยู่ใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุด ทั้งยังเป็นข้าหลวงที่มักจะถูกเลื่อนขั้นให้รับตำแหน่งในเมืองหลวงมากที่สุด

แม้ในราชสำนักมีคำพูดที่ว่าผู้ที่ไม่ใช่ซู่จี๋ซื่อย่อมไม่อาจเป็นขุนนางใหญ่ แต่หากจะมีใครทำลายคำพูดนี้ได้ ก็ย่อมเป็นคนที่สามารถเป็นข้าหลวงของเมืองเป่าติ้ง

เมืองหลินอันไม่เพียงไร้ข่าวคราวของนายท่านเผยผู้นี้ ตรงกันข้ามล้วนเอาแต่ยกยอปอปั้นหลี่อี้ ผู้ที่เคยรับตำแหน่งเป็นข้าหลวงรื่อเจ้าทุกหนทุกแห่ง

อวี้เหวินเผยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “หากข้าจำมิผิด นายท่านเผยอี้เมื่อก่อนก็เหมือนจะเคยรับตำแหน่งข้าหลวง ภายหลังได้ยินว่าปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศในพื้นที่ที่ควบคุมไม่ได้ เจ็บไข้ได้ป่วย เกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงลาออกกลับบ้านเกิดไปพักรักษาตัว นับตั้งแต่นั้นก็ไม่ออกไปเตร็ดเตร่ด้านนอกอีกเลย สำนักศึกษาเฉียนถังเชิญเขาไปบรรยายสอนหนังสือ เขาก็ยังปฏิเสธ ยามนั้นข้ายังเด็ก เพิ่งจะสอบผ่านระดับอำเภอ ยังไม่มีตำแหน่งซิ่วไฉ ยังเคยพูดคุยกับสหายที่เรียนด้วยกันว่า หากเผยอี้เป็นอาจารย์สอนหนังสือที่สำนักศึกษาเฉียนถังได้ บัณฑิตเมืองหลินอันอย่างพวกเรา อยากเข้าสำนักศึกษาย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นมิใช่รึ? หลังจากเขาปฏิเสธตำแหน่งอาจารย์ ทุกคนต่างยังเคยคาดเดาว่าเขาอาจจะล้มหมอนนอนเสื่อ อายุคงไม่ยืนยาวนัก”

คาดไม่ถึงว่าเขาจะอายุยืนกว่าท่านผู้เฒ่าเผยเสียอีก!

ไม่สิ ท่านผู้เฒ่าอี้ผู้นี้มีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว พวกเขาก็ยังไม่รู้แน่ชัด

อวี้เหวินมองนายท่านอู๋แวบหนึ่ง

นายท่านอู๋และอวี้เหวินคิดไปทางเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด เขาละล่ำละลักเอ่ย “ยังมีชีวิตอยู่! ยามที่ท่านผู้เฒ่าเผยจากไป ข้ายังเห็นเขาในงานศพด้วยตาของตนเอง ผมนั้นขาวโพลนไปหมด แต่ยังคงมีสง่าราศี ไม่ใช้ไม้เท้า ยามที่เดินก็ดูมีเรี่ยวมีแรง”

เจียงเฉาเอ่ย “สกุลพวกเขาก็อ่อนน้อมถ่อมตนเกินไป ข้าจึงพลั้งมองข้ามสกุลพวกเขาไป”

นายท่านอู๋และอวี้เหวินมาคิดในยามนี้ พลันนับถือสกุลเผยขึ้นมาอยู่หลายส่วน

สกุลเผยจึงจะนับว่าเป็นสกุลสูงส่งอย่างแท้จริง ไม่เพียงเป็นห่วงอาทรต่อเพื่อนบ้าน ยังโอนอ่อนถ่อมตัวมีการศึกษา เทียบกับสกุลธรรมดาทั่วไปไม่ได้จริงๆ

เช่นนั้นพวกเขาไปรบกวนคนอื่นเช่นนี้ก็ไม่ค่อยดีกระมัง?

นายท่านอู๋และอวี้เหวินแลกเปลี่ยนสายตากันอีกครั้ง

ครั้งนี้อวี้เหวินเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน “นายท่านของสกุลเผยกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ หากพวกเราขอความช่วยเหลือเรื่องพวกนี้กับสกุลเผย…”

เจียงเฉาคล้ายถูกน้ำเย็นจัดสาดกระทบร่าง ห่อเหี่ยวลงในชั่วพริบตา “ข้าก็ทราบว่าสกุลพวกเขายังเป็นญาติทางการแต่งงานกับสกุลซ่ง ยามที่ข้าหาคนร่วมหุ้นในซูโจว สกุลซ่งก็ไม่พอใจมาโดยตลอด คิดว่าข้าจะแย่งผลประโยชน์ทางการค้าของพวกเขา แล้วสกุลเผยจะช่วยพวกเราได้อย่างไรกัน?”

สกุลเผยและสกุลซ่งเป็นญาติเกี่ยวดองทางการแต่งงาน?

ในความทรงจำของนายท่านอู๋ ทั้งสองสกุลไม่ค่อยไปมาหาสู่เหมือนสนิทสนมกันนัก

เขาเอ่ยอย่างสงสัย “สกุลเผยและสกุลซ่งเป็นญาติทางการแต่งงานอย่างไร?”

อวี้เหวินเอ่ย “ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยและท่านแม่เฒ่าสกุลซ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”

นายท่านอู๋และเจียงเฉาเผยแววตาสว่างวาบมองมาทางเขา

ยามนี้อวี้เหวินจึงนึกขึ้นได้ คนในเมืองหลินอันที่รู้ว่าสกุลเผยและสกุลซ่งเป็นญาติทางการแต่งงานนั้นมีไม่มาก

เขาก็นับว่าทราบเพราะบังเอิญเกิดเรื่องกระมัง?

อวี้เหวินยิ้มเจื่อนในใจ ละล่ำละลักเอ่ย “ข้าก็ได้ยินคนพูดมาเช่นกัน ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง”

เจียงเฉาเอ่ย “เป็นเรื่องจริง! ข้าสนิทกับผู้ดูแลสกุลของสกุลซ่งคนหนึ่ง เขาบอกเรื่องนี้กับข้า”

เขายังรู้ว่า แม้ท่านแม่เฒ่าสกุลซ่งและท่านแม่เฒ่าสกุลเผยจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ทั้งสองคนอายุห่างกันกว่ายี่สิบปี ยามที่ท่านแม่เฒ่าสกุลซ่งออกเรือน ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่สนิทชิดเชื้อเท่าใด ภายหลังเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองสกุลมีรอยร้าว หลายปีก่อนจึงไปมาหาสู่ตามมารยาท ภายหลังลูกชายทั้งสามของท่านแม่เฒ่าสกุลเผยทยอยสอบจิ้นซื่อ ทางสกุลซ่งกลับมีลูกหลานรับราชการข้างนอกคนเดียว สกุลซ่งยอมค้อมศีรษะประจบสอพลอ ทั้งสองสกุลจึงค่อยไปมาหาสู่กันอีกครั้ง

แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อสกุลซ่งเกิดเรื่อง สกุลเผยก็ช่วยออกหน้า กอบกู้ทั้งคนทั้งเรือออกมา

“มีคนอยู่ในราชสำนักย่อมจัดการเรื่องราวได้ง่าย!” เขาถอนหายใจยาวเหยียด

นายท่านอู๋และอวี้เหวินล้วนไม่รับบทสนทนาต่อ

ยามนี้เจียงเฉาจึงค่อยสัมผัสได้ว่าทั้งสองเผยท่าทีไม่อยากยุ่งเกี่ยวอยู่บ้าง

เขาลอบยิ้มขื่น

ติดหนี้ทั้งสองคนมากมายขนาดนั้น ไม่เพียงทั้งสองจะไม่ทวงหนี้เขา แต่ยังช่วยมารดาเขาไว้ วันนี้ยังให้ที่พักกับเขาที่ไร้ทางไป เขาติดหนี้บุญคุณทั้งสองอย่างใหญ่หลวงแล้ว หากยังบีบให้พวกเขาขอความช่วยเหลือจากสกุลเผย เขาก็ทำไม่ถูกแล้ว

เขาค่อยหาวิธีอื่นภายหลังน่าจะดีกว่า

เจียงเฉาขบคิด ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามประวัติวัดเจาหมิงขึ้นมา

นาย่ทานอู๋และอวี้เหวินเผยรอยยิ้มขึ้นมาโดยพลัน

ไม่ว่าในใจทั้งสามคนจะคิดอย่างไร ตลอดทางก็เที่ยวเล่นพูดคุยที่วัดเจาหมิงทั้งวัน ยามที่ลงเขา ทั้งสามคนก็เริ่มเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องขึ้นมา

รอจนกลับมาถึงสกุลอวี้ เจียงเฉาก็ขอกลับไปพักด้วยความอ่อนล้า นายท่านอู๋กลับฉวยโอกาสยามที่อวี้เหวินออกมาส่งเขา รั้งเขาพูดคุยอยู่หน้าประตู “น้องอวี้ เจ้าพูดกับข้าตามตรง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสกุลเผยและสกุลซ่งเป็นญาติทางการแต่งงานกัน? ข้าก็นับว่ารู้จักคนมากหน้าหลายตาในเมืองหลินอัน แต่กลับไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน”

ใบหน้าอวี้เหวินปรากฏความลังเล

นายท่านอู๋เอ่ยทันที “เจ้าอย่าได้ใช้ลูกไม้ที่ปั่นหัวน้องเจียงมาใช้กับข้า ข้าไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไม่ประสาความอย่างเขา”

อวี้เหวินเกาศีรษะ ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี

นายท่านอู๋เอ่ยอย่างรู้แล้วรอดไป “ข้าก็ไม่ได้จะบังคับอะไรเจ้า เจ้าแค่บอกข้าก็พอว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและสกุลเผยเป็นอย่างไร? หากขอนายท่านสามให้ช่วยเรื่องสกุลหวัง เขาจะยอมพบพวกเราหรือไม่?”

อวี้เหวินคล้ายยกภูเขาออกจากอก พูดออกไปตามตรง “ข้าไม่รู้จริงๆ! นายท่านสามรึ ดูยังหนุ่มยังแน่น ในความเป็นจริงกลับเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่บ้าง แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยรบกวนเขาเช่นนี้”

การประมูลแผนที่ เขาคิดว่าสกุลเผยสามารถดึงผลประโยชน์ให้ตัวเองได้เช่นกัน ดังนั้นจึงกล้าไปขอความช่วยเหลือถึงหน้าประตู

แต่เรื่องนี้ หากสกุลเผยสอดมือยุ่ง ก็ย่อมเป็นการช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว

เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีความกล้าหรือไม่

“หรือเจ้าคิดจะช่วยผูกเส้นสายนี้ให้น้องเจียง” อวี้เหวินเอ่ย “คนค้าขายเห็นแก่ผลประโยชน์ไม่สนใจมิตรภาพ…”

นายท่านอู๋ส่ายศีรษะ เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “นี่ก็เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ทั้งคู่! ข้าคิดว่าแปดถึงเก้าในสิบ เงินของพวกเราคงไม่ได้กลับมา แต่น้องเจียงผู้นี้เจ้าก็รู้ดี ฝีปากคมคาย พูดจาโน้มน้าวผู้อื่นได้ง่าย หากแนะนำเขาให้นายท่านสาม ไม่แน่ว่าจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จริงๆ เขาสามารถอาศัยบารมีของสกุลเผยยืนขึ้นมาอีกครั้งได้!”

พูดโดยสรุปแล้ว ยังคงอยากได้เงินที่ลงทุนกับเจียงเฉากลับคืนมา

หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขาเพียงคนเดียว อวี้เหวินย่อมไม่รับปาก แต่เขาทำให้นายท่านอู๋สูญเสียเงินก้อนใหญ่ไปด้วย ทั้งนายท่านอู๋ขอร้องเขาเช่นนี้ เขาจึงจำต้องใคร่ครวญเรื่องนี้ว่าทำได้หรือไม่

“ไม่อย่างนั้น ข้าลองดูดีหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยอย่างลังเล “ข้าก็ไม่รู้ว่านายท่านสามจะรับปากหรือไม่?”

แค่ลองดูก็มีโอกาสแล้ว

นายท่านอู๋ดีใจอย่างยิ่ง “นายท่านสามสามารถรับช่วงต่อสกุลเผย ทั้งยังทำให้คนในสกุลเผยไม่กล้ามีปากมีเสียง ย่อมไม่ใช่คนที่ดีเพียงภายนอกแล้ว! แม้จะภายนอกจะดูดี นั่นก็คงเป็นรอยยิ้มซ่อนคมดาบ เจ้าอย่าคิดว่าข้าทำเพื่อเงินทอง ประเด็นหลักข้าอยากไปมาหาสู่นายท่านสามให้มากหน่อยเท่านั้น”

ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องเสียหน่อย นับประสาอะไรกับยามนี้มีเรื่องจริงๆ

อวี้เหวินเข้าใจความรู้สึกของเขา พยักหน้าระรัว

นายท่านอู๋กำชับเขา “เรื่องนี้เจ้าอย่าเพิ่งบอกกับน้องเจียง หากนายท่านสามยอมพบพวกเรา ค่อยพูดกับเขาเวลานั้นเถิด” พูดจบ ยังส่งสายตาเป็นนัยให้อวี้เหวิน

อวี้เหวินคิดว่าเขากลัวเสียหน้า ความเป็นจริงนายท่านอู๋อยากหลอกให้เจียงเฉาเข้าใจผิดว่า พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับเผยเยี่ยน ภายหลังเจียงเฉาจะได้พยายามทุกวิถีทางนำเงินที่พวกเขาลงทุนกลับมาให้ได้

———————————-

[1]หลิวสุ่ยสี คืองานฉลองที่เลี้ยงสุราอาหารอย่างไม่ขาดสาย แขกเหรื่อสามารถทยอยกันมา เมื่อกินเสร็จแล้วก็ทยอยกันกลับไป

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset