ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 141 ปลายอุโมงค์

ยามที่เทียบเชิญของสกุลอวี้ส่งมาถึงมือเผยเยี่ยน เผยเยี่ยนกำลังคัดอักษรอยู่ในศาลาริมน้ำ

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย ใบหลิวลู่ลงผิวน้ำ ปลาจิ๋นหลี่พากันแหวกว่ายโผล่หัวขึ้นมา ไล่งับต้นหลิวที่ล่องลอยเหนือน้ำ

เขาเปิดเทียบเชิญดูแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเด็กรับใช้ที่มาส่งเทียบเชิญ “สกุลอวี้ยังฝากคำพูดอะไรไว้หรือไม่?”

เด็กรับใช้ค้อมศีรษะ เอ่ยอย่างนอบน้อม “ไม่ได้พูดอันใดขอรับ กล่าวเพียงว่าอยากเข้ามาพบท่านในวันพรุ่งนี้”

เผยเยี่ยนพยักหน้า ถือพู่กันที่ทำจากไผ่เซียงเฟยขึ้นมาอีกครั้ง “ไปบอกกล่าวกับพ่อบ้านใหญ่ให้เขาเตรียมพร้อมเสียหน่อย”

เด็กรับใช้รับคำสั่งก่อนจะจากไป

อาหมิงที่ฝนหมึกให้เผยเยี่ยนลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “นายท่านสาม พรุ่งนี้ท่านไม่ไปตรวจสอบบัญชีหรือขอรับ? ต้องการให้ข้าบอกกล่าวกับท่านเฉินหรือไม่?”

ท่านเฉินมีนามว่าเฉินฉี เป็นนายบัญชีที่รับเข้ามาจากข้างนอกหลังเผยเยี่ยนรับช่วงต่อสกุลเผยอย่างเป็นทางการ ยามนี้คอยดูแลรายการบัญชีในจวนสกุลเผย

เผยเยี่ยนไม่แม้แต่จะเงยศีรษะขึ้น “ไม่ต้อง อาหม่านรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไร”

อาหมิงขานว่า ‘อ้อ’ ก่อนจะก้มศีรษะจดจ่อกับการฝนหมึกอีกครั้ง

ทุกวันนายท่านสามต้องเขียนตัวอักษรเสี่ยวข่าย[1]สองพันตัว ยามที่เริ่มใหม่ๆ คัดตัวอักษรทั้งวันจนแทบยกมือไม่ขึ้น จนถึงวันนี้ค่อยๆ คุ้นชิน จึงรู้สึกผ่อนคลายลงมากแล้ว

ทางด้านตรอกชิงจู๋ อวี้เหวินได้รับจดหมายตอบกลับจึงไปเชิญนายท่านอู๋เข้ามา “พรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปด้วยกันหรือไม่?”

นายท่านอู๋ลอบตกตะลึงในใจ เมื่อเย็นวานเขายังดื่มสุรากับคหบดีชนบทสกุลหวงผู้หนึ่ง นายท่านหวงต้องการพบเผยเยี่ยนด้วยเรื่องผลผลิตฤดูใบไม้ร่วง เผยเยี่ยนกลับเอ่ยว่าติดธุระตรวจสอบบัญชี หากเรื่องไม่เร่งด่วนมาก ให้นายท่านหวงไปพบพ่อบ้านใหญ่ก่อน

วันนี้อวี้เหวินกลับได้รับเทียบเชิญ ให้มาเข้าจวนพรุ่งนี้ได้

เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของอวี้เหวินและสกุลเผยแน่นแฟ้นกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

เขานึกถึงฉากยามที่สกุลอวี้เปิดกิจการร้านค้าขึ้นมาอีกครั้ง

เผยเยี่ยนมาแสดงความยินดีด้วยตัวเองถึงที่

นายท่านอู๋ลอบพินิจอวี้เหวินอย่างเงียบเชียบ

ยังคงเผยท่าทีสุภาพเรียบร้อยของบัณฑิตอย่างเช่นเคย

หรือก่อนหน้านี้เขาจะประเมินอวี้เหวินและสกุลอวี้ต่ำไป?

นายท่านอู๋เกาศีรษะ เอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าคงไม่ต้องเข้าไปกับเจ้าหรอก ไม่มีคนนอก พวกเจ้าจะคุยกันง่ายกว่า”

อวี้เหวินลำบากใจที่จะพบเผยเยี่ยนอยู่บ้าง

เผยเยี่ยนช่วยเหลือเขามากมายขนาดนั้น ผลปรากฏว่าไม่ทันได้กำเงินมั่นก็สูญไปแล้วถึงหกพันตำลึง พรุ่งนี้นายท่านอู๋ไม่อยู่ด้วยก็ดีเหมือนกัน หากเขาเอ่ยขอโทษต่อหน้าเผยเยี่ยนจะได้ไม่รู้สึกลำบากใจอะไร

วันรุ่งขึ้น อวี้เหวินก็จ้างเกี้ยวไปจวนสกุลเผย

หลังจากอวี้ถังรู้ก็อดโอดครวญไม่ได้ “ท่านพ่อไปจวนสกุลเผยก็ไม่บอกกล่าวกันสักคำ เมื่อวานพวกเราทำขนมถั่วกรอบอร่อยกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก”

คนสกุลเฉินขำพรืด “เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ให้อาเสาเข้าไปส่งที่จวนสกุลเผยอีกครั้งสิ”

อวี้ถังพยักหน้า

เผยเยี่ยนคิดว่าอวี้เหวินมาเพราะเรื่องเงินหกพันตำลึง ยังครุ่นคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไรดี ให้เขาอย่าได้ตั้งความหวังเรื่องที่จะนำเงินคืนกลับมาไว้มาก ใครจะรู้ว่าอวี้เหวินกลับพูดเรื่องเจียงเฉาขึ้นมา “เขานับว่าเป็นคนไม่แย่เลยทีเดียว มีใจทะเยอทะยาน ทั้งยังซื่อสัตย์รักษาสัญญา อยากให้ข้าช่วยเป็นธุระให้เข้าพบท่านเสียหน่อย ข้าก็ไม่อาจตัดสินใจแทนท่านได้ ยามนี้จึงได้มาบอกกล่าวก่อน” ก่อนจะเอ่ยเรื่องเงินหกพันตำลึงขึ้นมา กล่าวเพียงว่าทำลายความปรารถนาดีของเขา ตัวเองไม่มีหัวทางการค้า คาดว่าคงไม่มีโชคลาภทางด้านนี้ ยังเอ่ยว่า “ท่านดูสิ กระทั่งเงินประมูลแผนที่ที่ได้มาอย่างไม่คาดฝัน แค่พริบตาเดียวก็สูญหายไปเสียแล้ว”

จากคำพูดนั้นเผยให้เห็นความใจกว้างอย่างยิ่ง

เผยเยี่ยนเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อเขาใหม่ เอ่ยว่า “เหตุใดเจียงเฉาถึงอยากเจอข้า?”

อวี้เหวินก็ตอบไปตามตรง “กล่าวว่าอยากให้ท่านช่วยไปทักทายทางข้าหลวงหนิงปัว แต่ข้าคิดว่า เขาอาจจะอยากรู้จักท่านมากกว่า ยังเอ่ยว่าในสกุลท่านมีจิ้นซื่อถึงสี่คน กระทั่งพวกเราที่เป็นคนในพื้นที่ยังลืมนายท่านวั่งไปเสียแล้ว”

เผยเยี่ยนมุมปากกระตุก

ไม่ใช่ว่าคนนอกลืมเผยวั่ง แต่สกุลเผยตั้งใจลบตัวตนของเขาต่างหาก

“ข้าเข้าใจแล้ว” เขาเอ่ย “ในเมื่อเขาขอมาทางเจ้า คนบ้านใกล้เรือนเคียง จะไม่ให้พบก็คงไม่ดีเท่าไร เจ้าไปบอกว่าอีกสี่ห้าวันค่อยมาพบข้า อีกไม่กี่วันข้าต้องไปตรวจสอบบัญชีที่หังโจว” จากนั้นก็เอ่ยถึงเรื่องครั้งก่อนที่พบอวี้ถัง “นางได้วิ่งไปดูมหรสพที่สกุลหลี่หรือไม่?”

อวี้เหวินกระดากอายอยู่บ้าง

เขาและนายท่านอู๋ยังคิดว่าจะลอบซื้อที่นาสกุลหลี่ลับหลังสกุลเผยได้เสียอีก คาดไม่ถึงว่านายท่านสามจะทราบนานแล้ว

“ดูมหรสพ?” อวี้เหวินร้อนตัว ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเผยเยี่ยนอย่างไร เพียงยิ้มแห้งๆ “ดูมหรสพอย่างไร? ที่นาของพวกเขานั้นขายเป็นการส่วนตัว นางคงไม่อาจวิ่งไปดูที่หน้าประตูสกุลหลี่ได้หรอกกระมัง? ทั้งแม้นางจะไป ประตูใหญ่สกุลหลี่ก็ปิดอยู่ดี ไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ดูเสียหน่อย”

เผยเยี่ยนมองอวี้เหวินอย่างแปลกประหลาด

สกุลหลี่จะเล่นมหรสพหน้าประตูใหญ่จริงๆ ได้อย่างไร?

ไม่แปลกใจที่เรื่องในสกุลอวี้กลับมีคุณหนูอวี้คอยออกหน้า แม้ว่าอวี้เหวินจะเป็นซิ่วไฉ แต่ดูท่าแล้ว คาดว่าคงจะเรียนติดอยู่ในตำราจนตามใครไม่ทัน

คิดว่าพูดอะไรกับเขาไปก็คงสิ้นเปลืองเวลา

เผยเยี่ยนคร้านที่จะสนทนากับเขาต่อไป จึงยกน้ำชาส่งแขก

อวี้เหวินก็ไม่อาจรั้งตัวอยู่นาน หยัดกายขึ้นบอกลาทันที

เผยเยี่ยนเดินทางไปหังโจวภายในบ่ายวันนั้น

เจียงเฉาทำได้เพียงคอยเผยเยี่ยนอยู่ที่สกุลอวี้เท่านั้น

อวี้เหวินและนายท่านอู๋เป็นเจ้าบ้าน พาเขาออกไปเที่ยวเล่นทุกหนทุกแห่ง น่าเสียดายที่เมืองหลินอันไม่ได้กว้างใหญ่เพียงนั้น สถานที่ไกลหน่อยก็ไม่กล้าไป ช่วงเวลาเพียงสองสามวันก็ไม่มีสถานที่แปลกใหม่ให้เที่ยวชมแล้ว

ปกติเจียงเฉาก็วิ่งเต้นอยู่ในซูโจวและเจ้อเจียงแค่สองแห่ง นับว่าไม่ค่อยได้เปิดหูเปิดตา แม้ว่าทิวทัศน์ของหลินอันจะงดงาม ก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าไร้ที่ใดเทียบเคียง เขาเอาแต่พะว้าพะวังจะพบเผยเยี่ยนอีกไม่กี่วัน จึงไม่มีใจอยากเที่ยวต่อ “แค่ขึ้นเขาไม่กี่วัน ขาของข้าก็เริ่มสั่นเสียแล้ว เทียบพละกำลังของพี่ชายทั้งสองไม่ได้สักนิด น่าละอายนัก!”

นายท่านอู๋ได้ฟังก็คาดเดาความนัยออก เอ่ยทั้งหัวเราะ “พวกเราก็หมดแรงแล้วเช่นกัน หลายวันนี้ก็เอาแต่เที่ยวตามใจเจ้า ในเมื่อน้องเจียงพูดเช่นนี้ พวกเราก็พักสักวันสองวัน รอนายท่านสามกลับมาเถิด”

เจียงเฉาพักอยู่ในสกุลอวี้ ในใจก็ขบคิดว่ายามที่พบเผยเยี่ยนจะพูดเรื่องอะไรบ้าง ต้องทำอย่างไรถึงจะสั่นคลอนเผยเยี่ยน ทำให้เผยเยี่ยนรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง

โอกาสเช่นนี้ อาจจะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น

ครุ่นคิดตรึกตรองในใจเกือบค่อนวัน เมื่อถึงยามบ่ายจึงหน้ามืดตาลายอยู่บ้าง คิดจะกินข้าวเย็นเสียเดี๋ยวนั้น เขาพาเด็กรับใช้ไปทางห้องโถง

เมื่อผ่านชานเรือน เขาก็เห็นคุณหนูอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี สวมเสื้อคลุมผ้าไหมหังโฉวสีแดง กระโปรงทรงแคบสีขาว ผมดำขลับ ผิวขาวราวหิมะ กำลังสั่งการหญิงวัยกลางคนและสาวใช้ของสกุลอวี้บรรจุสิ่งของบางอย่างลงในกล่องไม้ “ระวังหน่อย! ตามขอบตามมุมจะบิดเบี้ยวไม่ได้เชียว เขาเป็นคนที่พิถีพิถันอย่างยิ่ง หากเห็นตรงไหนบิดเบี้ยว ก็คงจะคิดว่าทำทิ้งไว้หลายวัน ไม่หยิบขึ้นมาชิมสักคำเป็นแน่”

สายตาของเจียงเฉาหยุดอยู่ที่กล่องไม้เหล่านั้น

เมื่อมองดูก็พบว่าเป็นกล่องที่บรรจุขนม สีขาวสะอาด ไม่มีกระทั่งตัวอักษรและลวดลาย

ส่งของขวัญก็ควรใช้กล่องสีแดงไม่ใช่รึ?

กล่องไม้เช่นนี้ คล้ายกับ…ใช้ในยามที่เซ่นไหว้บูชา

เขาอดมองอยู่หลายครั้งไม่ได้

คุณหนูผู้นั้นหมุนกายมา

ก่อนเขาจะเห็นใบหน้างดงามปรากฏในครรลองสายตา

ดวงตาพร่างพราวราวหยดน้ำ สีขาวดำแยกกระจ่าง งดงามสว่างไสว มุมปากยกยิ้มขึ้น ดูสุขอุราคล้ายผึ้งที่รุมตอมเกสรดอกไม้

“ผู้นี้คือ…คุณหนูอวี้?” เขาเอ่ยถามอาโจวเสียงเบา

อาโจวเขย่งเท้ามองแวบหนึ่งก็หัวเราะขึ้นมา “ขอรับ เป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลอวี้ นางมีฝีมือทำขนมของว่าง ทำขนมถั่วกรอบอร่อยอย่างยิ่ง สองวันก่อนอาเสาเอามาให้ข้าน้อยชิมหนึ่งชิ้นขอรับ”

คุณหนูอวี้หน้าตางดงามยิ่ง

เจียงเฉาขบคิด เขายืนตรงนี้คงไม่เหมาะเท่าไร ยามที่กำลังหมุนกายหันหลัง อวี้ถังกลับบังเอิญกวาดสายตาเข้ามาก่อน

คนผู้นี้ก็คือเจียงเฉาหรอกรึ!

อวี้ถังลอบมองพินิจเขา

หน้าตาหล่อเหลา ไม่ค่อยเหมือนเจียงหลิงเท่าใด คนหนึ่งอ่อนแอผ่ายผอม อีกคนกลับสูงใหญ่องอาจ

บางทีอาจเป็นความแตกต่างของชายหญิงกระมัง?

อวี้ถังครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าเป็นมารยาทให้เจียงเฉา

เจียงเฉาละล่ำละลักคารวะแก่อวี้ถัง ก่อนจะออกจากชานเรือน สาวเท้าเร็วไปยังห้องโถง

อวี้เหวินไม่อยู่

เจียงเฉากระซิบถามอาโจว “เจ้าทราบหรือไม่ว่าคุณหนูอวี้กำลังทำอะไร? ขนมพวกนั้นจะส่งไปที่ไหน?”

อาโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นขนมถั่วกรอบที่คุณหนูอวี้ทำขอรับ ส่งไปที่จวนสกุลเผย ได้ยินว่านายท่านสามของสกุลเผยโปรดปรานอย่างยิ่ง ครั้งก่อนยามที่พ่อบ้านสกุลเผยมาส่งของขวัญเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ยังตั้งใจเอ่ยออกมา สกุลอวี้เก็บเกี่ยวถั่วลิสงใหม่ คุณหนูอวี้จึงตั้งใจทำขนมถั่วกรอบส่งให้ขอรับ”

เจียงเฉาขานรับว่า ‘อ้อ’ ออกมา

สกุลอวี้และสกุลเผยสนิทสนมกันเพียงนี้เชียว!

ยามที่เขาพบอวี้เหวินอีกครั้ง ก็กระตือรือร้นขึ้นมาหลายส่วน หยั่งเชิงถามนิสัยของเผยเยี่ยนจากอวี้เหวิน “ข้าสืบข่าวมาอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็พูดไม่ชัดเจนเท่าใด เหมือนว่าแต่ไหนแต่ไรนายท่านสามก็ไม่ค่อยอยู่ในหลินอัน แต่ยามที่ท่านผู้เฒ่าเผยจากไป จึงได้รับช่วงต่อสกุลเผย ปักหลักอยู่ที่หลินอันเรื่อยมา ได้ยินว่าเขาเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่บ้าง เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

อวี้เหวินได้ฟังก็ขมวดคิ้วแน่น เอ่ยอย่างไม่พอใจเท่าใด “เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่านายท่านสามเอาแน่เอานอนไม่ได้? นี่เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น! นายท่านสามเที่ยงตรงใจกว้าง ชอบช่วยเหลือผู้คนเหมือนท่านผู้เฒ่าเผย เพียงแค่เขาอายุยังน้อย มีความกระด้างกระเดื่องบ้างเท่านั้น…”

เจียงเฉาฟังเขาเอ่ยชื่นชมเผยเยี่ยนอย่างใจลอย ไม่เชื่อเท่าไรนัก

หากเผยเยี่ยนเป็นคนเช่นนี้จริงๆ ไฉนคุณหนูอวี้ต้องบรรจุขนมลงกล่องอย่างละเอียดยิบย่อยขนาดนั้นด้วยล่ะ?

หากไม่ใช่ว่านายท่านอวี้พูดจาให้เกียรติเผยเยี่ยน ก็คงเป็นเพราะว่าเดิมทีเขาก็ไม่เข้าใจเกี่ยวกับเผยเยี่ยนโดยสิ้นเชิง

ฉับพลันในศีรษะของเขาก็ปรากฏภาพดวงตากลมโตแฝงด้วยรอยยิ้มของอวี้ถังขึ้นมา

บางทีคุณหนูอวี้อาจจะรู้อะไรมากกว่า?

เขาคิดคล้อยตาม “พี่อวี้ ข้าเห็นคุณหนูอวี้กำลังเตรียมขนมส่งไปให้จวนสกุลเผย ท่านรู้ไหมว่านายท่านสามชอบกินของคาวหรือของหวาน? ยามที่ข้าไปจวนสกุลเผย จะได้ส่งของที่ไม่เสียมารยาทและสร้างความประทับใจต่อนายท่านสามได้”

อวี้เหวินกระแอมไอสองครั้ง ยังคงไม่อาจช่วยเขาตัดสินใจได้จริงๆ

“ข้าจะไปถามคนในเรือนให้” เขาเอ่ย “ปกติข้าก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้!”

เจียงเฉาขอบคุณทั้งรอยยิ้ม ก่อนส่งสายตาให้อาโจว

รอจนกินข้าวเย็นเสร็จกลับไปที่ห้อง อาโจวก็มากระซิบบอกเจียงเฉา “รายการที่นายท่านอวี้เขียนให้ท่านเมื่อครู่นี้ เขาไปถามมาจากคุณหนูอวี้ขอรับ”

เป็นดังที่คาดคิดไว้จริงๆ ด้วย

เช่นนั้นเขาควรหาโอกาสพูดคุยกับคุณหนูอวี้เสียหน่อยหรือไม่?

เจียงเฉานอนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องค่อนคืน ท้ายที่สุดยังคงไหว้วานอวี้เหวินให้อวี้ถังช่วยตรวจสอบดูรายการของขวัญที่เตรียมส่งให้เผยเยี่ยน

อวี้เหวินก็ไม่คิดมาก นำรายการส่งให้อวี้ถัง

กระดาษเสวี่ยเทา[2]สองร้อยแผ่น จานฝนหมึกฮุยมัว[3]ของสกุลหลี่สองตลับ พู่กันหูปี่ของสกุลอู๋สองกล่อง แท่งฝนหมึกกลิ่นหอมของสกุลหูสองชุด ที่ทับกระดาษไม้หวงหยาง[4]ของหลิ่วฟางไจหนึ่งคู่…ล้วนแต่เป็นของหายากในสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ[5]

อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่กล่าวว่านายท่านเจียงไม่มีกระทั่งชุดเปลี่ยนหรอกรึ? ไฉนจึงมีเงินก้อนโตมาซื้อของให้สกุลเผยได้?”

“เห็นได้ชัดว่าแม้ต้องยอมอดอยาก ก็ยังเหลือวิธีให้ตัวเองได้พลิกสถานการณ์ลืมตาอ้าปากได้!” อวี้เหวินเอ่ยทั้งถอนหายใจ “ดังนั้นพ่อจึงคิดอยากช่วยเขา!” ยังเอ่ยต่อว่า “ข้าเห็นว่าทุกครั้งที่เจ้าส่งของ นายท่านสามก็ชื่นชอบมาโดยตลอด เจ้าก็ช่วยเขาดูรายการของขวัญหน่อยเถิด เมื่อครู่อาเสากลับมาบอกว่า ผู้ดูแลสกุลเผยพอได้รับขนมถั่วกรอบของพวกเรา ก็ส่งไปเรือนในทันที”

————————-

[1]ตัวอักษรเสี่ยวข่าย เป็นตัวอักษรบรรจงขนาดเล็ก มีต้นกำเนิดสมัยซานกั๋ว

[2]กระดาษเสวี่ยเทา กระดาษซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยโบราณ

[3]หมึกฮุยมัว หมึกที่ผลิตในเมืองเฮยโจวซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหมึกที่มีคุณภาพดีที่สุดในสมัยราชวงศ์ซ่ง

[4]ไม้หวงหยาง เป็นไม้ชนิดหนึ่งของจีน เนื้อไม้แน่นละเอียด มักจะนำมาเป็นวัสดุแกะสลัก

[5]สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ได้แก่พู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึก

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset