บทที่ 120 รีบเสนอตัวเพราะเห็นคนหล่อสินะ
“ดีเลยครับ”
ซูเย่พยักหน้า
หลี่เคอหมิงอธิบายในขณะที่พวกเขาเดินกลับไปยังห้องตรวจโรค
“การรมยาจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวกมากขึ้น ระบบการเผาผลาญทำงานดีขึ้น เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ทำงานมากขึ้น และช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น”
หลังจากนั้นผู้เป็นอาจารย์ก็ถามออกมาด้วยความสงสัย “ในตำราโบราณก็เคยมีการกล่าวถึงวิธีการรักษาแบบรมยาอยู่พอสมควร เธอเคยอ่านบ้างไหม?”
“เคยอ่านและจำได้หมดแล้วครับ”
ซูเย่พยักหน้าตอบ “ในตำราจ้วงซื่อได้กล่าวไว้ว่า หากวิธีการฝังเข็มใช้ไม่ได้ผล ก็เหมาะสมสำหรับการรักษาด้วยวิธีรมยา ส่วนในตำราเมิ้งซื่อก็ได้กล่าวว่า ในโรคเจ็ดชนิดจะสามารถรักษาหายได้ด้วยการรมยาถึงสามชนิด”
เมื่อได้ยินคำตอบ
หลี่เคอหมิงก็จ้องมองชายหนุ่มด้วยความเหลือเชื่อ
ดูเหมือนว่านอกจากตำราแพทย์แล้ว ซูเย่ยังอ่านหนังสือนอกเวลาอีกไม่น้อยทีเดียว
อาจารย์อาวุโสกล่าวต่อไป
“ถึงการฝังเข็ม และการรมยาจะถูกใช้เพื่อกระตุ้นจุดลมปราณในร่างกายสำหรับการรักษาโรคต่าง ๆ เหมือนกัน แต่วิธีการรักษาของศาสตร์สองแขนงนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
“ในขณะที่การฝังเข็มจะเป็นการกระตุ้นร่างกายด้วยอุปกรณ์ภายนอก แต่การรมยานั้น จะหมายถึงการนำตัวยาสมุนไพรเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งสรรพคุณสำหรับตัวยาเหล่านี้สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ลดอาการป่วยเรื้อรัง เพิ่มสมดุลในร่างกาย ช่วยทำให้จุดลมปราณในร่างกายของคนเรามีความอบอุ่นมากขึ้น”
“การรมยาสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภท ประเภทแรกคือการรมยาโดยตรงร่วมกับการฝังเข็ม โดยจะให้ฤทธิ์ของสมุนไพรนั้นไหลผ่านตัวเข็มเข้าสู่ร่างกาย…”
“อีกประเภทหนึ่งนั้นเรียกว่าการรมยาทางอ้อม หมายถึงการนำแผ่นวางสมุนไพรไปติดไว้ตามจุดลมปราณของร่างกาย เมื่อจุดไฟแล้วก็จะทำให้สมุนไพรเหล่านั้นค่อย ๆ ระเหยในอากาศ โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่จะใช้ในการรมยาแบบทางอ้อมมักจะประกอบไปด้วยสมุนไพรจำนวนมาก เรื่อยไปจนถึงขิง กระเทียม เกลือ และดอกไม้อบแห้งชนิดต่าง ๆ เป็นต้น…”
หลี่เคอหมิงชะลอความเร็วฝีเท้าลงเล็กน้อย เพื่อให้สามารถอธิบายข้อมูลได้อย่างละเอียดครบถ้วน
ต่อจากนั้นเขาก็อธิบายถึงการเลือกจุดลมปราณ จุดที่เหมาะสมสำหรับการรมยา ข้อควรระวังก่อนการรมยา แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ คุณหมออาวุโสก็ไม่พลาดแม้แต่เรื่องเดียว
ซูเย่รับฟังอย่างตั้งใจ ในราชวังแห่งความทรงจำของเขา ตำราโบราณหลายเล่มปรากฏขึ้นในอากาศ และหน้ากระดาษก็เริ่มพลิกกลับเพื่อเทียบข้อมูลกับสิ่งที่หลี่เคอหมิงพูดออกมา
เมื่อเดินกลับมาถึงห้องตรวจโรคของแผนกแพทย์แผนจีน ผู้เป็นอาจารย์ก็อธิบายจบพอดี
“ที่ฉันได้อธิบายมาทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลพื้นฐานของการรมยา แต่การลงมือปฏิบัติจริงนั้นแตกต่างจากการเรียนทฤษฎีอยู่พอสมควร ถ้ามีคนไข้ต้องเข้ารับการรมยาเมื่อไหร่ ฉันจะสาธิตให้เธอดูก็แล้วกัน ความจริงมันอาจฟังดูเหมือนง่ายกว่าการฝังเข็ม แต่ก็จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางแพทย์แผนจีนระดับสูงทีเดียว”
หลี่เคอหมิงว่า
ซูเย่พยักหน้าพร้อมกับย่อยข้อมูลทั้งหมดเข้าสมอง
หลังจากตรวจคนไข้อีกห้าคนเรียบร้อย คนไข้รายต่อมาก็เป็นหญิงสาวอายุ 20 กว่าปีผู้หนึ่ง
“เป็นอะไรมาครับ?”
ซูเย่สอบถาม
“ปวดท้องค่ะหมอ” หญิงสาวตอบด้วยอาการเขินอาย
“ปวดท้องประจำเดือนใช่ไหมครับ?”
ซูเย่ถามอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่แล้วค่ะ”
“เป็นมานานแค่ไหนแล้วครับ?”
“เป็นมาได้สองปีแล้วค่ะ ฉันจะรู้สึกปวดท้องทุกครั้งที่มีประจำเดือน โดยเฉพาะวันแรกกับวันที่สองของรอบเดือน บางครั้งเจ็บปวดแทบทนไม่ไหวเลยค่ะคุณหมอ ยิ่งวันไหนอากาศหนาววันนั้นก็ยิ่งปวดทรมานมากกว่าเดิม แต่เทียบไม่ได้เลยกับตอนที่อากาศร้อน”
“แล้ววันนี้ปวดเป็นพิเศษไหมครับ?”
“วันนี้เป็นวันที่สองของรอบเดือนพอดีเลยค่ะ แถมเมื่อคืนฉันบังเอิญไม่สบายด้วย ตอนนี้เลยรู้สึกเจ็บปวดแทบทนไม่ไหวแล้วค่ะ”
“นอกจากปวดท้องตอนมีประจำเดือน แล้วยังมีอาการอะไรอีกไหมครับ?”
ซูเย่ใช้สายตาสำรวจตรวจสอบคนไข้อย่างรวดเร็ว เขาพบว่าเธอมีใบหน้าซีดขาว จิตใจอ่อนล้า นั่งหลังงอ เอามือประสานไว้ที่หน้าท้องตลอดเวลา
“รู้สึกปวดหลัง กับเหมือนจะมีไข้อ่อน ๆ ด้วยค่ะ”
ซูเย่ตรวจอาการเพิ่มเติมต่อไป
เมื่อตรวจดูสภาพลิ้น ก็พบว่าคนไข้มีลิ้นเป็นสีซีด และมีฝ้าขาวเกาะตัวอยู่เล็กน้อย
ชีพจรเต้นลึกและบาง
สามารถวินิจฉัยได้ว่า : อาการปวดท้องเวลามีประจําเดือนของคนไข้ เกิดขึ้นจากการที่อวัยวะภายในอย่างเช่นตับ และไตสูญเสียความร้อนจนขาดสมดุล เพราะมีความเย็นมากเกินไป
วิธีการรักษา : บำรุงตับและไต ขับไล่ความเย็นจากอวัยวะภายใน และให้ยาสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด
เมื่อดูประวัติการรักษาแล้ว ซูเย่ก็หันกลับมามองหน้าหลี่เคอหมิงและพูดว่า “เหมาะสมสำหรับการรมยาที่สุดเลยครับ”
หลี่เคอหมิงพยักหน้ายิ้มแย้ม ผายมือส่งสัญญาณให้ซูเย่ลองระบุจุดรมยาด้วยตัวเอง
ซูเย่เริ่มต้นเขียนการวินิจฉัยของเขาลงบนหน้ากระดาษ
จุดรมยาที่ถูกเลือกประกอบไปด้วย : จุดกวนหยวน จุดจงจี๋ จุดไต้ม่าย และจุดซานยินเจียว
หลี่เคอหมิงรับกระดาษจากมือซูเย่ไปดู และพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ดีมาก เธอนี่เรียนรู้ได้เร็วจริง ๆ”
หลังจากนั้นอาจารย์หลี่จึงได้เขียนแก้ไขลงไปสามจุด
“โอกาสดีมาถึงแล้ว เดี๋ยวฉันจะสาธิตวิธีการรมยาให้เธอดู” หลี่เคอหมิงพูดกับซูเย่เมื่อเดินนำคนไข้กลับมาที่ห้องฝังเข็ม
พูดจบหลี่เคอหมิงก็ชี้จุดสำหรับการรมยาบนร่างกายคนไข้ให้ชายหนุ่มดู
ขั้นตอนทั้งหมดเป็นไปอย่างเรียบง่าย เพียงแค่ต้องหาจุดรมยาที่ถูกต้องให้เจอเท่านั้น
ขณะนี้
ซูเย่เฝ้ามองการรมยาคนไข้ด้วยฝีมือของหลี่เคอหมิงไปพร้อมกับนำเข็มรมยาปักลงไปบนขาของตนเองเพื่อทำการรมยาด้วยเช่นกัน เพียงไม่กี่วินาทีชายหนุ่มก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังลมปราณที่อยู่ในร่างกาย
“หืม…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซูเย่ก็ถึงกับชะงักเล็กน้อย เขาลองโคจรพลังลมปราณมาที่นิ้วโป้งของตนเอง
แล้วปลายนิ้วโป้งของเขาก็รู้สึกอุ่นร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ซูเย่ลองทำเช่นเดียวกันนี้กับขาอีกข้างหนึ่ง
เขาตระหนักแล้วว่าตนเองสามารถโคจรพลังลมปราณได้รวดเร็วมากขึ้น
“หืม?”
เมื่อลองสังเกตรายละเอียด
ซูเย่จึงได้ค้นพบว่าวิธีการรักษาด้วยการรมยาดูจะได้ผลดีกว่าวิธีการรักษาด้วยการฝังเข็มโดด ๆ เพียงอย่างเดียวเสียอีก
“ดูเหมือนว่าในอนาคตนอกจากเราจะฝังเข็มด้วยมือเปล่าได้แล้ว เราก็น่าจะรมยาด้วยมือเปล่าได้เหมือนกันแฮะ!”
ซูเย่ยิ้มมุมปากออกมาโดยไม่รู้ตัว
“การรมยาต้องใช้เวลา ระหว่างนี้ฉันจะสาธิตวิธีการรมยาอีกหลาย ๆ อย่างให้เธอดู” พูดจบหลี่เคอหมิงก็หันไปมองกลุ่มนักศึกษาแพทย์แผนจีนที่ยืนอยู่ด้านข้างและถามว่า “มีใครอยากเป็นอาสาสมัครบ้าง? ยกมือหน่อย”
“พรึบพรับ!!!”
ปรากฏว่ากลุ่มนักศึกษาแพทย์แผนจีนพร้อมใจกันยกมือขึ้นมาแทบทุกคน
เพราะว่านี่คือโอกาสดีที่หาไม่ได้อีกแล้ว!
“เธอคนนี้ก็แล้วกัน”
หลี่เคอหมิงเลือกนักศึกษาแพทย์หนุ่มคนหนึ่ง
นักศึกษาหนุ่มเดินออกมาข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับทำท่าจะถอดเสื้อออกมาด้วย
หลี่เคอหมิงกระพริบตาปริบ ๆ
นายแพทย์ใหญ่ต้องรีบยกมือห้ามว่า
“ไม่ต้องถอดทั้งหมดหรอก แค่เปิดเสื้อข้างหลังขึ้นก็ใช้ได้แล้ว”
“อ้าว ก็ผมกลัวอาจารย์ไม่เห็นนี่ครับ” นักศึกษาหนุ่มหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะลงไปนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงคนไข้
ระหว่างที่คนไข้หญิงนอนรมยาอยู่ที่อีกเตียงหนึ่งนั้น หลี่เคอหมิงก็หยิบอุปกรณ์สำหรับการรมยาในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาสาธิตวิธีการใช้งานให้ซูเย่ได้รับชม
กลุ่มนักศึกษาซึ่งเดิมทีมาที่นี่เพื่อเรียนการฝังเข็ม ต่างก็มามุงดูด้วยความสนใจ บางคนถึงกับนำโทรศัพท์ออกมาถ่ายคลิปวิดีโอ
การรมยาหนึ่งจุดก็เหมือนกับการฝังเข็มหนึ่งจุด
อุปกรณ์สำหรับรมยานั้นมีมากมายหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเข็มหรือแบบแผ่นรอง มีแม้แต่วิธีการรมยาที่ไม่ใช้การระเหยของควันสมุนไพรด้วยซ้ำ…
เหล่านักศึกษาแพทย์แผนจีนถึงกับเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
___________________________
บอกเล่าความรู้ : การฝังเข็มและรมยาสามารถปรับสมดุลฮอร์โมนภายในเส้นลมปราณทำให้ลิ่มเลือด และความเย็นที่กระจุกตัวสลายไปคลายกล้ามเนื้อแก้ปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลที่ได้จากการรักษาจึงดีกว่าการฝังเข็มวิธีเดียว หรือการรมยาเพียงอย่างเดียวจุดหลักที่ใช้บ่อยที่สุดในการฝังเข็มและรมยา 3 อันดับแรกคือจุดซานอินเจียวจุดกวนหยวน และจุดไฟจุดซานอินเจียวอยู่บนเส้นลมปราณเท้าไก่อินม้าม ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์รวมของ 3 เส้นลมปราณอินของเท้า ได้แก่ เส้นลมปราณเท้าไก่อินม้ามเส้นลมปราณเท้าเจวอินตับ และเส้นลมปราณเท้าเส้าอินไต (ซึ่งอาการปวดประจำเดือนมีความเกี่ยวเนื่องกับอวัยวะตับ ม้าม และไตอย่างแน่นแฟ้น ดังนั้นการฝังเข็มที่จุดซานอินเจียวสามารถปรับสมดุลได้ทั้ง 3 อวัยวะในคราวเดียวกัน จึงรักษาอาการปวดประจำเดือนได้ จุดกวนหยวนอยู่บนเส้นลมปราณเริ่น ถือเป็นจุดมู่ (87) ของเส้นลมปราณมือไท่หยางลำไส้เล็ก และเป็นจุดฮุย (8) ของเส้นลมปราณเริ่น จุดนี้อยู่ใต้สะดือลงไป 3 ชั้นซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของอินและหยางของร่างกาย อีกทั้งยังถือเป็นประตูของหยวนซีและเป็นแหล่งรวมเลือดของสตรี การบำรุงจุดกวนหยวนจึงสามารถบำรุงไตหยางสร้างเลือดปรับสมดุลเส้นลมปราณชงและเริ่นได้ หากระบายจุดกวนหยวนจะสามารถทำให้ชีเดินสะดวกสลายลิ่มเลือดขจัดความเย็นแก้ปวดได้จุดไห่อยู่บนเส้นลมปราณ