ตอนที่ 65
กลับมาอาร์คุยล่า
การวางแผนการเดินทางไปอาร์คุยล่าราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะเซเลนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทุกกระบวนการ คณะเดินทางของมิลานใช้เวลาเตรียมตัวไม่ถึงสองสัปดาห์ก่อนจะออกเดินทาง
“ว่ากันตามตรง ผมคิดว่าเซเลนจะมีท่าทีต่อต้านสักนิดนะครับ…”
“ฉันก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้าชายนะคะ แต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้ดี”
มิลานกับอาลัวคุยกันอยู่ในรถม้าระหว่างทาง
คณะเดินทางทั้งหมดจะมี เจ้าชายมิลานและเจ้าหญิงมารีเบลแห่งเฮลิฟาลเต้ ฮิโนเอะที่เป็นผู้ช่วยพิเศษและแขกจากต่างประเทศ เจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน ที่ปิดบังตัวตนร่วมเดินทางมากับพี่สาวของเธอ อาลัว ซึ่งการเดินทางจะถูกแบ่งออกเป็นขบวนรถม้าสองกลุ่มด้วยกัน
หากร่วมเดินทางออกไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดียว เหล่าทหารคนคุ้มกันจะกระจุกตัวกันอยู่ที่เดียวเหมือนกองทัพออกเดินขบวน ซึ่งจะทำให้ประชาชนที่พบเห็นเกิดความไม่สบายใจ
แม้จะมีริรินเป็นตัวแทนเซเลน แต่เธอก็ทำได้แค่ปรากฏตัวให้คนในเมืองหลวงได้เห็นเท่านั้น
ในตอนนี้ กลุ่มของมิลานกับอาลัวจะล่วงหน้าเข้าไปที่อาร์คุยล่าก่อน
เนื่องจากคนทั่วไปเข้าใจว่า มิลานมีความสัมพันธ์อันดีกับอาร์คุยล่าผ่านทางเซเลน จึงใช้เป็นเหตุผลในการเดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อทักทายเป็นครั้งคราว แม้จะผ่านมาไม่กี่ปีก็ตาม ส่วนอาลัวก็แค่อาศัยโอกาสนี้ติดตามกลับมายังบ้านเกิดเท่านั้น
และอีกกลุ่มหนึ่ง…
“หนอย! แกนะแก!”
เซเลนกำลังบ่นอู้อี้ นั่งคุดคู้อยู่บนพื้นพรมอันหรูหราในมุมหนึ่งของรถม้า ด้วยความหงุดหงิด
“เอ่อ คือว่า… ต้องไปช่วยอะไรท่านเซเลนหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“ปล่อยไปเถอะ คงกำลังเครียดนั่นแหละ ปฏิกิริยาปรกติของคนที่ต้องแยกห่างจากคนรัก”
ฮิโนเอะที่เริ่มกังวล ก็ได้มารีช่วยตอบขณะจิบชาอันหมอกรุ่น คำตอบของเธอถูกต้องที่สุด แต่คนรักที่ถูกแยกห่างจะหมายถึงใครก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
กลุ่มของเธอแยกออกจากกลุ่มของมิลาน ประกอบด้วย มารี ฮิโนเอะ และเซเลน เป็นกลุ่มสาวน้อย
ฉากหน้าของกลุ่มนี้คือการไปตรวจสอบงานสร้างสุสานนักบุญเซเลน แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า เซเลนไม่ได้อยู่ในนั้น
กลุ่มของเธอจะตรงไปยังทิศทางที่ตั้งสุสานจนถึงครึ่งทาง และจะออกนอกเส้นทาง มุ่งหน้าไปยังอาร์คุยล่า ซึ่งจะไปสมทบกับกลุ่มของมิลานในที่สุด
“ฮ่าฮ่าฮ๋า ท่านเซเลนอารมณ์เสียอยู่สินะขอรับ?”
“หืม… หมี…”
ด้านนอกรถม้า ที่นั่งสารถีมีคุมะฮาจิหันมาหัวเราะอยู่
เขาอยู่ที่นี่เพราะอีกกลุ่มมีมิลานและอาลัวซึ่งเป็นผู้ใหญ่ และมิลานก็เป็นกำลังรบชั้นยอดด้วยตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้น จึงให้คุมะฮาจิที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดคอยคุ้มกันเด็กทั้งสาม
“จะว่าไป รู้สึกว่าข้าน้อยได้รับมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยงเด็กบ่อยเหลือเกิน…”
“หมี ลำบาก?”
“อื่ม? ไม่ได้มีความหมายในทางไม่ดีหรอกขอรับ อันที่จริง สำหรับอัศวินคนอื่นๆ คงจะรู้สึกเป็นเป็นเกียรติมากกว่าที่ได้ปกป้องเจ้าหญิงขอรับ”
คุมะฮาจิตอบพร้อมกับหัวเราะ ไม่ใช่การประชด แต่เขาไม่คิดว่าเป็นปัญหาจริงๆ
แม้จะอยู่กับคนที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่ด้วยตำแหน่งของคุมะฮาจิก็สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด
ในฐานะนักรบเองก็รู้สึกเป็นเกียรติเช่นเดียวกัน ที่ได้รับความไว้วางใจให้ปกป้องบุคคลสำคัญ แต่สำหรับเซเลนผู้ไม่ยึดติดกับเกียรติ จึงไม่เข้าใจ และคิดว่าเขาบ่นออกมาเพราะถูกบังคับให้ทำงานที่ไม่ถนัด
“หมี มานี่สิ”
เซเลนโน้มตัวออกไปข้างนอกหน้าต่างรถม้าและกวักมือเรียกคุมะฮาจิ
จากที่รู้จักกันมา เซเลนรู้ว่าคุมะฮาจิไม่ใช่โลลิคอน แต่เพราะเห็นว่าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวจนน่าสงสาร เพราะฉะนั้นจึงชวนมานั่งข้างใน สูดอากาศเดียวกับฮิโนเอะและมารี
เพราะเข้าใจความรู้สึกของชายวัยกลางคนที่ถูกใช้ให้ทำงานอย่างหนักจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว เซเลนจึงคิดจะให้รางวัลสักหน่อย
ขอย้ำอีกทีว่าความจริงแล้วคุมะฮาจิไม่ได้แก่ขนาดนั้น
“ขออภัย ข้าน้อยต้องคุ้มครองเจ้าหญิงและท่านเซเลนตลอดการเดินทาง ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ที่องค์ชายมอบหมายขอรับ”
“แย่จัง”
ถึงจะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เซเลนก็อยากทำอะไรบางอย่างเพื่อคุมะฮาจิผู้น่าสงสาร
ไม่คิดยกโทษให้มิลาน ที่ควงสาวออกไปเที่ยวเล่นสนุกอยู่คนเดียว แต่ใช้ให้คุมะฮาจิทำงานโดยไม่มีเวลาพัก เซเลนปรับค่าความเกลียดในใจขึ้นไปอีกระดับ
“ขนม เอาไปกิน”
“เอ่อ? ขอบพระคุณขอรับ”
หลังจากกลับเข้าไปในรถม้า ไม่นาน เซเลนก็โผล่ออกมาอีกครั้งพร้อมกับคุกกี้ในมือ ยื่นให้คุมะฮาจิ
มันคือส่วนของเซเลนที่กำลังจะเหลือ จึงไม่เสียดายสักเท่าไหร่
“จะเอาใจช่วย พยายามนะ”
“ถ้าท่านเซเลนว่ามาเช่นนั้น งานนี้ข้าน้อยคงต้องทุ่มสุดตัวเสียแล้วขอรับ”
คุมะฮาจิตอบพลางหัวเราะ
เมื่อพอใจแล้ว เซเลนก็กลับเข้าไปอีกครั้ง และดูเหมือนจะร่วมงานเลี้ยงน้ำชากับมารีและคนอื่นๆอยู่ข้างใน
ได้ยินเสียงเด็กสาวทั้งหลายคุยเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ข้างหลัง คุมะฮาจิเงยหน้ามองท้องฟ้า
“เมฆครึ้ม… อาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด”
คุมะฮาจิพูดกับตัวเองอย่างเรียบๆ จากตำแหน่งของเซเลน คุมะฮาจิคือคนรับใช้ที่ไม่ค่อยสุภาพคนหนึ่ง ดูไม่น่าคบหาสนิทสนม
แต่เด็กสาวคนนี้ก็ยังเอาใจใส่ แบ่งขนมของตนเองมาให้จากข้างในรถม้า
“ทั้งที่เป็นเด็กดีขนาดนี้ เพราะเหตุใดสวรรค์ถึงเลือกทางเดินอันยากลำบากให้กับเธอกันนะ…”
เธอเป็นเด็กดีอย่างไรข้อกังขา คุมะฮาจิบ่นออกมาขณะหยิบคุกกี้ในห่อขึ้นมาเคี้ยว
จากเฮลิฟลาเต้ถึงอาร์คุยล่า เดินทางได้ตามแผนการ แม้สภาพอากาศจะแปรปรวนบ้าง แต่ก็ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย คุมะฮาจิพาทุกคนไปรวมกลุ่มกับมิลานได้สำเร็จ กลายเป็นกลุ่มขนาดใหญ่
“อย่างกับขบวนแห่วีรบุรุษ คนละเรื่องกับครั้งที่แล้วเลยขอรับ”
“นั่นสินะ ตามความหมายก็เป็น กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ เหมือนกัน”
ปลายปีก่อนที่มิลานพาเซเลนออกจากอาร์คุยล่า มีเพียงรถม้าสำหรับเดินทางไม่กี่คันกับผู้ติดตามจำนวนไม่มาก และรับเซเลนมาทั้งอย่างนั้น
วันนี้ได้กลายเป็นขบวนรถม้าหลายสิบคัน ทั้งทหารและคนรับใช้มากมาย รวมถึงเจ้าหญิงแห่งเฮลิฟาลเต้กับผู้ใช้เวทมนตร์จากต่างแดนก็ตามมาส่ง การกลับมาในครั้งนี้ของเธอ ยิ่งใหญ่อย่างที่มิลานว่าไว้จริงๆ
เมื่อนึกถึงตอนนั้นทุกคนไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็น ถึงจะสวมใส่ผ้าขี้ริ้วแต่หัวใจก็ยังเป็นผ้าไหม* แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้ควรเป็น ถึงจะสวมใส่ผ้าไหมแต่หัวใจก็ยังเป็นผ้าขี้ริ้ว จะตรงที่สุด
เมื่อเข้ามาภายในอาณาเขตเมืองหลวงของอาร์คุยล่า ชาวบ้านหลายคนหมอบลงกับพื้นจนกระทั่งขบวนรถผ่านไป
แม้ไม่ต้องการให้พวกเขาทำเช่นนั้น แต่ชื่อเสียงของตรารูปนกอินทรีย์ที่ประดับอยู่บนรถม้า ส่งผลกระทบต่อพวกเขามากกว่าที่คิด
“ว้าว บ้านนอกอย่างที่เคยได้ยินจริงๆด้วย อย่างกับชายป่าแหนะ”
“มารี อย่าเสียมารยาทสิครับ”
“ก็มันจริงนี่นา หนูไม่ได้เกลียดบรรยากาศแบบนี้สักหน่อย เมืองที่ดูเรียบง่ายก็ดีเหมือนกันนะ”
อาลัวแอบยิ้มให้กับความซื่อตรงของมารี หลังจากรวมกลุ่มกันแล้ว ทุกคนยกเว้นคุมะฮาจิก็ย้ายมาอยู่ในรถม้าหลักคันเดียวกัน มุ่งหน้าสู่พระราชวัง
“ก็เพราะเป็นประเทศเล็กๆที่ไม่มีอะไรโดดเด่นนั่นแหละค่ะ ทุกคนถึงอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เด็กคนนี้เองก็ดูเหมือนจะชอบประเทศนี้เหมือนกัน”
“อือ”
เซเลนถูกลูบหัวขณะที่ยังเกาะติดอาลัวไม่ยอมปล่อย
เพราะถูกแยกออกห่างจากอาลัวตั้งหลายวัน จึงต้องได้รับการเยียวยา
“ไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านแม่จะยอมรับเธอได้หรือยัง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ หนูอุตส่าห์จับแต่งตัวให้ขนาดนั้นแล้ว รับรองว่าท่านแม่ของเซเลนเห็นแล้วจะต้องทึ่งแน่”
มารีตอบอย่างภูมิใจ เธอกำลังจะเข้าพบราชินีแห่งอาร์คุยล่า ไอโรเน่ แม่ของเซเลน อีกในไม่ช้า ก่อนหน้านี้ มารีได้ใช้เวลาไปมากในการแต่งตัวให้เซเลนออกมาดูดีที่สุด
ตั้งแต่การแต่งหน้าทำผม รอมถึงชุดที่ถูกเลือกมาอย่างดี
ชุดที่เธอสวมอยู่ตอนนี้ เป็นแบบเดียวกับชุดพิธีการของนักบวชมังกร ที่เธอมักสวมใส่ไปเข้าประชุมกับเอลฟ์ และยังตกแต่ง เพิ่มเครื่องประดับเข้าไปอีก และเนื่องจากมันถูกทำให้เป็นชุดที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน มันจึงถูกเสริมการป้องกันด้วยเวทมนตร์ในระดับที่ไม่ธรรมดา
กลายเป็นชุดที่แข็งแกร่งพอจะต้านทานคำสาปของแมลงดับแสงสุริยาได้ระดับหนึ่ง ซึ้งแน่นอนว่าคนกับอาวุธทั่วไปไม่สามารถทำอันตรายได้เลย
ชุดของเซเลนที่ได้รับมาจากมิลานเมื่อนานมาแล้วก็เป็นชุดเสริมเวทมนตร์ที่มีมูลค่าพอจะซื้อบ้านได้หลายหลัง แต่ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับชุดนี้ซึ่งอยู่ในระดับสมบัติประจำชาติที่ไม่สามารถใช้เงินซื้อได้ ความปลอดภัยของเซเลนจะถูกรับประกันอย่างแน่นอนเมื่อสวมใส่สิ่งนี้อยู่
หลังจากทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเรียบร้อยแล้ว มิลานก็นำกลุ่มเข้าไปภายในเขตพระราชวังอาร์คุยล่า
ช่วงเวลาที่เซเลนจะได้พบกับแม่ของเธอ ใกล้เข้ามาทุกที
[“องค์หญิง ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง กระผมมีเรื่องต้องขออนุญาตท่านเป็นการเร่งด่วน…”]
“อะไร?”
ในตอนที่ลงจากรถม้าเมื่อถึงที่หมาย บัตเลอร์ก็แอบพูดกับเซเลน
[“อันที่จริง กระผมควรอยู่ข้างกายองค์หญิง แต่เหล่าสัตว์ที่อยู่ในป่ารู้ว่ากระผมกลับมาแล้ว จึงเริ่มร้องเรียกหา ไม่แน่ว่าพวกเขาจะแห่กันเข้ามาถึงในปราสาท จำเป็นต้องไปปรากฏตัวให้พวกเขาเห็นจะได้ใจเย็นลง…”]
บัตเลอร์บอกอย่างรู้สึกผิด
ถ้าลองฟังดีๆ ก็จะได้ยินเสียงร้องของสรรพสัตว์มาสักพักแล้ว แม้เซเลนกับคนอื่นๆจะได้ยินแค่เสียงของสัตว์ แต่สัตว์น้อยใหญ่บริเวณรอบๆปราสาท กำลังตะโกนบอกต่อๆกันว่า ‘ราชากลับมาแล้ว!’ และเริ่มรวมตัวกัน
พวกมันกำลังดีใจที่บัตเลอร์ ราชาแห่งป่า กลับมาอีกครั้ง
แม้ว่าพวกมันจะให้ความเคารพเซเลนเป็นเจ้านายสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว แต่พวกมันก็รู้สึกใกล้ชิดกับบัตเลอร์ ผู้ที่ได้พบและพูดคุยโดยตรงมากกว่า
[“กระผมไม่มีประโยชน์ในการทูตของมนุษย์ก็จริง แต่อย่างน้อย กระผมจะหยุดสัตว์ป่า ไม่ให้เข้ามาก่อกวนการประชุมครั้งสำคัญขององค์หญิง…”]
“ได้”
[“ขอบคุณครับ! ขออภัยที่ไม่สามารถติดตามไปด้วยได้! กระผมจะรีบกลับมา!”]
อันที่จริง เซเลนมีแนวโน้มว่าจะก่อกวนการประชุมมากกว่าสัตว์ป่าพวกนั้นอีก หลังจากตอบตกลง บัตเลอร์กระโดดลงจากตัวเซเลนและวิ่งออกไปทันที
“ไปกันเถอะครับ เซเลน”
“อือ”
มิลานยื่นมือมาหา และเซเลนเอื้อมมือไปจับเอาไว้แน่น
“(ยังกลัวอยู่สินะ)”
มือเล็กๆที่จับอยู่นั้น มิลานรู้สึกได้เลยว่าจับแน่นกว่าปรกติ เพราะเซเลนพยายามบีบมือของมิลานให้กระดูกหัก แต่ก็อ่อนแอจนไม่มีอะไรนอกจากจับแน่นขึ้นเท่านั้น
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะครับ เจ้าชายมิลาน มีธุระอันใดกับประเทศอันห่างไกลเช่นนี้กันครับ…”
“ถ้าจำไม่ผิด ท่านคือนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ขอบคุณที่ออกมาต้อนรับการมาเยือนอย่างกะทันหันของผม”
“มิได้ครับ! เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ มิลาน เฮลิฟาลเต้…”
นายกรัฐมนตรีร่างผอมคนนี้ เป็นคนเดียวกับที่มิลานเคยเจอในครั้งก่อน
เขายังดูเหมือนเดิม ยกเว้นมีผมขาวมากขึ้นตามอายุ
“องค์ราชินีไอโรเน่ รออยู่ที่ท้องพระโรงแล้วครับ”
“ครับ”
หลังจากแสดงความนอบน้อมเกินความจำเป็นและก้มหัวต่ำต่อหน้ามิลาน นายกรัฐมนตรีก็ฉีกยิ้มและนำทางกลุ่มของมิลานเขาไปด้านใน
มิลานกับเซเลนยังจับมือกันอยู่ มารี อาลัว ฮิโนเอะ รวมถึงคุมะฮาจิที่พกดาบในฐานะคนคุ้มกัน ทั้งหมดเข้าไปในท้องพระโรงด้วยกัน ถ้าเทียบกับที่เฮลิฟลาเต้แล้วจะดูคับแคบ องครักษ์ก็มีเพียงไม่กี่คน แต่ก็ให้บรรยากาศตึงเครียด
เบื้องหน้ามีผู้หญิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอื่นนอกจากไอโรเน่ ราชินีแห่งอาร์คุยล่า
เส้นผมสีทองและดวงตาสีฟ้าเหมือนกับอาลัว แต่โดยรวมแล้วดูเป็นคนที่เข้าหายาก
“ยินดีต้อนรับสู่ประเทศของข้า เจ้าชายมิลาน เจ้าหญิงมารีเบล และผู้ติดตามคนอื่นๆ”
เมื่อเข้ามาถึง ไอโรเน่กล่าวทักทายมิลานและคนอื่นๆด้วยที่ทีสุภาพแต่น้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตร
มิลานและคนอื่นๆโค้งตอบรับตามมารยาท
“แล้วก็ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน อาลัว แค่ไม่กี่ปีก็งดงามขึ้นมาขนาดนี้ ในฐานะแม่ เจ้าเป็นลูกสาวที่น่าภูมิใจเหลือเกิน”
ไอโรเน่หันไปยิ้มให้กับอาลัว
“ขอบคุณค่ะ ท่านแม่ แต่วันนี้ หนูมาเพราะเรื่องอื่น…”
“ข้าเข้าใจ เรื่องของสัตว์ประหลาดตัวนั้นสินะ?”
“เธอไม่ใช่สัตว์ประหลาดนะคะ ท่านแม่!”
อาลัวตะโกนตอบเสียงดัง ไอโรเน่ไม่ได้พูดอะไรอีก และหันไปทางเซเลนที่ถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาด
“ต่อให้แต่งตัวสวยงามเพื่อปกปิดเนื้อในมากแค่ไหน ก็หลอกข้าไม่ได้หรอก อุตส่าห์คิดว่าไม่ต้องเห็นหน้าอีกแล้วแท้ๆ”
ไอโรเน่แสดงความเกลียดชังต่อเซเลนออกมาตรงๆ
เป็นการแสดงออกที่รวดเร็วและชัดเจนจนมิลานและคนอื่นๆถึงกับพูดไม่ออก
แม้แต่เซเลนที่เป็นสัตว์ประหลาดซ้ำยังหัวช้าก็ยังรู้ว่า คุณป้าคนนี้ น่ากลัวชะมัด
____________________
*สำนวน ボロを着てても心は錦 = ถึงจะสวมใส่ผ้าขี้ริ้วแต่หัวใจก็ยังเป็นผ้าไหม(ผ้าปักลวดลาย)
หมายถึง แม้ภายนอกจะสวมใส่ผ้าขี้ริ้ว(ไม่มีราคา) แต่ภายในก็ยังงดงามดุจผ้าไหม(ของแพง)
สำนวนไทย ‘ผ้าขี้ริ้วห่อทอง’