ตอนที่ 87 คำเชื้อเชิญจากฟันเฟืองแห่งค้อนเหล็ก
“เดี๋ยวนะ มีไวไฟงั้นเหรอ!?”
เพราะลูกระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาอย่างกะทันหันทำให้ฟาร์มาหลุดพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จักรพรรดินีและเหล่าคาร์ดินัลก็หันมามองเขาด้วยความแปลกใจ แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะมาแก้ตัวอะไรได้ทันแล้ว จักรพรรดินีจึงถามเขา
“หือ? เจ้าเป็นอะไรไปหรือฟาร์มา ไวไฟอะไรของเจ้ากัน?”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้สึกปวดท้อง ขอเวลาสักครู่จะได้หรือไม่”
ฟาร์มาจำเป็นต้องปลีกตัวออกไปเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ถึงจะทำให้คนอื่นต้องเสียเวลาในการรอเขา แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำแบบนี้ แถมไม่รู้ว่าไวไฟจะติดอยู่ได้นานอีกแค่ไหน จักรพรรดินีและคาร์ดินัลก็ไม่มีทางเลือกที่จะยอมเสียเวลาอีกสักหน่อยเนื่องจากสภาพร่างกายของฟาร์มาเกิดเปลี่ยนแปลงไปกะทันหัน
“เราไม่มีปัญหาอะไรหรอก ค่อยกลับมาหลังทำธุระของเจ้าเสร็จเถิด หรือหากใช้เวลานานกว่าที่คิดเดี๋ยวเราจะไปบอกท่านปิอุสให้เอง”
“ขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ…แต่กระหม่อมรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก”
แล้วฟาร์มาก็ถูกพาไปที่ห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด
ห้องน้ำของนครศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นแบบชักโครกซึ่งถือว่าทันสมัยที่สุดในโลกนี้ก็ว่าได้
เป็นชักโครกสมัยวิกตอเรียที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 18 โดยด้านล่างของโถส้วมจะเป็นเซรามิกที่มีรูพรุนซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับท่อน้ำทิ้งและน้ำที่ถูกเก็บเอาไว้ชั้นบนซึ่งมีหน้าที่ในการชำระล้างสิ่งปฏิกูล เท่าที่เขาจำได้ขนาดของห้องน้ำแบบนั่งที่จักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ยังมีส่วนที่เป็นลิ้นชักติดอยู่ด้านล่างของที่นั่งซึ่งวิธีการทำความสะอาดนั้นจะเป็นหน้าที่ของข้ารับใช้ดึงมันออกมาแล้วนำไปทิ้งในพื้นที่ที่กำหนดไว้
พอมองแบบนี้ก็ทำให้ทราบว่าห้องน้ำของนครศักดิ์สิทธิ์นั้นสะอาดแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาสนใจ
ด้วยสมาร์ตโฟนในมือ เขาทำการซูมภาพของประตูที่นำพาไปสู่ห้องใต้ดินที่เพิ่งถ่ายไว้ก่อนหน้านี้
หน้าจอภาพถ่ายไม่แสดงอะไรแปลกๆ ออกมา
นับตั้งแต่ฟาร์มามาถึงนครศักดิ์สิทธิ์ เขาได้ถ่ายภาพด้วยสมาร์ตโฟนโดยไม่หยุดหย่อน ทั้งเพื่อการเที่ยวชม ค้นคว้า และบันทึกภาพ แน่นอนว่าสมาร์ตโฟนที่ฟาร์มานำออกมาจากห้องปฏิบัติการมันก็ได้กลายเป็นสมบัติลับและมองไม่เห็นด้วยตาของมนุษย์ และไม่ได้ยินเสียงชัตเตอร์ด้วย
ตั้งแต่ที่เขานำสมาร์ตโฟนมาที่โลกใบนี้ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะจับสัญญาณไวไฟได้
ใช่แล้ว ไม่เคยมีแต่ครั้งเดียว
ตอนนี้ก็ดูเหมือนเขาจะอยู่นอกระยะสัญญาณไวไฟ ฟาร์มาจึงพยายามเข้าไปใกล้กับหน้าต่างที่ใกล้กับประตูเมื่อกี้ให้มากที่สุด เพื่อรับสัญญาณไวไฟพอเขาเปิดหน้าต่างที่เชื่อมกับห้องนี้ออก สัญญาณไวไฟก็กลับมาติดอีกครั้ง
แปลว่าทิศทางของสัญญาณยังคงมาจากจุดเดิม แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมนครศักดิ์สิทธิ์ถึงมีตัวส่งสัญญาณไวไฟออกมาได้
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมาเจอในที่แบบนี้แถมยังเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้อีก หรือมันมีบริษัทที่รับหน้าที่ปล่อยสัญญาณในต่างโลกกันนะ….”
จากนั้นเขาก็ตรวจสอบ SSID ที่เชื่อมต่อเพื่อจะดูชื่อของมัน
แต่ชื่อที่ปรากฏก็ต้องทำให้เขาตกใจอีกครั้ง
“เดี๋ยวนะ?! นี่มันชื่อ….ไวไฟในห้องปฏิบัติการของเรา…”
เป็นชื่อของไวไฟที่ฟาร์มาใช้ภายในมหาวิทยาลัยซึ่งเขาทำงานอยู่ในชาติที่แล้ว และเขาก็ใช้มันในห้องปฏิบัติการของเขาเองด้วย แถมพอจะดูสัญญาณตัวอื่นว่ามีอยู่ไหมก็พบว่ามันไม่มีอยู่เลยแม้แต่อันเดียว
อีกทั้งฟาร์มาก็จำได้ว่าตนไม่ได้เอาของอย่างพวก เครื่องปล่อยสัญญาณไวไฟหรือสายแลนออกมาจากห้องของเขาที่อยู่ตรงบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ด้วย หรือจะบอกว่านครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อยู่ใกล้กับโลกเดิมของเขางั้นเหรอ ฟาร์มาคิดแล้วก็มือสั่นจนทำให้สมาร์ตโฟนหล่น สมาร์ตโฟนของเขาตอนนี้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในโลกของเขาได้ ทั้งข้อมูลต่างๆ และแอปพลิเคชันจำนวนมากเริ่มส่งสัญญาณแจ้งเตือนออกมา
(มันเริ่มซิงโครไนซ์ข้อมูล…)
ฟาร์มาจมอยู่กับความคิด เหมือนตอนนี้เขาได้เดินทางกลับสู่โลกเดิม
(เอาละ ดูหน่อยซิว่าตอนนี้บนโลกของเขามันวันที่เท่าไหร่กันแล้ว!)
แล้วมันก็ปรากฏเป็นวันที่ยาคุทานิเสียชีวิตขึ้นที่หน้าจอ
พอเขาใช้เวลาประมาณห้านาทีในการดูข้อมูลต่างๆ เวลาที่แสดงบนหน้าจอมันก็ไหลกลับไปประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
(เอ๋? กลับมาที่เดิมงั้นเหรอ นี่แปลว่าสมาร์ตโฟนนี้ก็ติดอยู่ในลูปของเวลาที่เขาตายไม่ต่างกับห้องปฏิบัติการต่างโลกนั่นสินะ…)
แม้ฟาร์มาจะโพสต์อะไรลงไปใน SNSได้ แต่มันกลับไม่สามารถอัปโหลดข้อความนั้นลงไปได้ เขาสามารถโหลดข้อมูลจากภายนอกเข้ามาได้ แต่ไม่สามารถอัปโหลดข้อมูลที่มีลงไปได้ อีกทั้งเขายังไม่สามารถส่งอีเมลอะไรออกไปได้เลยแม้แต่ฉบับเดียว
หรือก็คือถึงแม้เขาจะเชื่อมต่อดูข้อมูลจากโลกของเขาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนจะวนลูป แต่เขาไม่สามารถจะสื่อสารอะไรกับคนอีกฝั่งได้ราวกับเขาถูกตัดขาดออกมาเป็นเอกเทศ
นอกจากนี้พอเขาเปิดGPSดูตำแหน่งสถานที่ มันก็ไม่สามารถระบุได้ ดูเหมือนจะเป็นต่างโลกของจริงเลย
(โดยสรุปแล้วพื้นที่และเวลาของห้องปฏิบัติการที่เราอยู่จะถูกตัดขาดออกมาเป็นเอกเทศ และเราก็เชื่อมต่อกับอีกโลกหนึ่งในช่วงเวลาก่อนที่เราจะตายได้…)
เขาสามารถมองเห็นโลกเดิมผ่านหน้าจอสมาร์ตโฟนของเขาได้เท่านั้น
และก็น่าเสียดายที่ข้อมูลที่เขาสามารถนำออกมาจากระบบได้ มันไม่ได้ถูกอัปเดตต่อไปเรื่อยๆ หลังจากเวลาที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว คิดแล้วก็ได้แค่เศร้า
หรือนี่จะเป็นความรู้สึกของวิญญาณที่วนเวียนอยู่ที่เดิมกันนะ? นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
(แต่อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณที่เขาไม่จำเป็นต้องมาเจอข่าวงานศพของตัวเองในเน็ต)
หลังจากการตายของยาคุทานิโลกจะต้องเกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน
ยาคุทานิ คันจิ ได้ละทิ้งความสำเร็จระดับโลกไว้เบื้องหลังอยู่มากมาย อย่างน้อยโลกของงานวิชาการก็ต้องกล่าวถึงเขาบ้างแหละ และเขาก็มั่นใจว่าตนมีชื่อเสียงพอจะเป็นข่าวใหญ่ในญี่ปุ่นได้ สื่อมวลชนก็คงจะขุดค้นอดีตของเขาก่อนจะเอามาเผยแพร่ทั้งด้านดีๆ และเรื่องอื้อฉาวถึงการจากไปของเขา พวกเขาอาจจะไปสัมภาษณ์เพื่อนร่วมชั้นของผม ไม่ก็ญาติให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการจากไป
หรือบางทียาคุทานิอีกคนที่อยู่ในเส้นเวลาที่ยังไม่เสียชีวิตครั้งก่อน อาจจะดำเนินชีวิตของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ จะมีก็เพียงอัตตาของฟาร์มาที่ล่องลอยออกมาอยู่ในต่างโลกนี้ ทฤษฎีนี้ก็ยังไม่สามารถล้มล้างไปได้ แต่พอนึกแบบนั้นก็ทำให้รู้สึกว่างเปล่าอยู่เหมือนกัน
แต่มันก็ดีไปอีกแบบตรงที่ว่าความเป็นไปได้มันไม่ได้มีแค่อย่างเดียว
ยังไม่มีใครพบว่ายาคุทานินั้นได้ตายลงไปแล้ว หรือบางทีเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ ก็แค่ว่าช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมันทับซ้อนจนเกิดเป็นลูปเฉยๆ
แล้วฟาร์มาก็เข้าไปในช่วงเส้นเวลานั้นได้
ถ้างั้นแล้วตรงนี้มันไปอยู่ส่วนไหนของโลกเรากันล่ะ? ฟาร์มาคิด
เขาเหมือนถูกบีบคั้นด้วยความรู้สึกที่โดดเดี่ยว
“ฟาร์มา เจ้ายังปวดท้องอยู่หรือเปล่า”
เสียงของจักรพรรดินีดังออกมาจากนอกห้องน้ำ
เสียงของเธอดูเหมือนจะอยากเข้ามาช่วยฟาร์มาให้หลุดพ้นจากวังวนความคิดนี้
“เราขอโทษด้วยนะ ที่ช่วยอะไรเจ้าในเรื่องนี้ไม่ได้”
“พอดีข้างในมันเหลืออยู่ค่อนข้างเยอะ กระหม่อมเลยต้องค่อยๆ เอาออกมา…”
ฟาร์มารู้สึกเขินอายเล็กน้อย เมื่อคิดว่าทำไมเขาถึงตอบเช่นนั้น เขาจะต้องกลายเป็นเรื่องเล่าในหมู่คนของจักรวรรดิไปอีกนานแน่
แต่นั่นก็หมายความว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ใต้ดินของมหาวิหารนี้อย่างแน่นอน
ถึงตรงที่เราเจอไวไฟมันจะอันตรายไปสักหน่อย แต่ถ้าสามารถหาแหล่งที่มาของมันได้ ข้อมูลที่เขาสามารถหาได้ต่อจากนี้คงจะพัฒนาไปอีกมาก
ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องลงไปที่ใต้ดิน
ตอนนี้ทั้งจักรพรรดินีและเหล่านักบวชก็รอเขาอยู่พอเสร็จจากเรื่องนี้ เขาก็เลยต้องออกไปขอโทษแล้วเดินทางกันไปยังสถานที่ประชุมต่อ
บันไดที่นำไปสู่ชั้นใต้ดินนั้นสูงชัน และเมื่อเขาลงไปลึกกว่าเดิม วัสดุของบันไดก็เปลี่ยนจากหินเป็นคริสทัล ฟาร์มาระมัดระวังไม่ให้ตนพลาดบันไดและหกล้มขณะเดิน โดยใช้สมาร์ตโฟนของเขาส่องนำทาง สัญญาณไวไฟเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นยิ่งทำให้ฟาร์มารู้สึกตื่นเต้น ดูเหมือนว่าจะมีกระจายสัญญาณอยู่ที่ชั้นใต้ดินจริง
และสิ่งที่ฟาร์มาและคนอื่นๆ พบคือประตูประดับคริสทัลที่หนาและโปร่งใส ความสูงและความกว้างของมันมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่าตัว
“นี่คือประตูแห่งการทดสอบพ่ะย่ะค่ะ”
นักบวชที่นำทางกล่าวว่าเฉพาะผู้ที่ได้รับเลือกเท่านั้นที่สามารถเปิดประตูนี้ได้
ราวกับประตูคริสทัลเป็นเหมือนมาตราวัดพลังแห่งเทพ ว่ากันว่าหากบุคคลที่มีพลังแห่งเทพไม่เพียงพอในการเปิดประตูเข้าไปข้างใน ดวง วิญญาณของพวกเขาจะถูกทำลาย จึงทำให้มีเพียงปิอุสและคาร์ดินัลอาวุโสอีกสองคนเท่านั้นที่รออยู่ข้างใน
“จะให้พูดก็คือมีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะเปิดประตูแห่งนี้ได้”
“ประตูที่ทดสอบพลังแห่งเทพงั้นเหรอ? เชิญแขกเข้ามาและวัดความแข็งแกร่งของพวกเขาเหรอ น่าสนุกดีนี่ เราจะเป็นคนเปิดเองพวกเจ้าจะได้ระลึกได้ว่าใครคือจักรพรรดินีตัวจริง”
จักรพรรดินีแตะประตูด้วยมือทั้งสองและเทพลังแห่งเทพลงไปในขณะที่ดันเข้าไปข้างใน
จากนั้นลวดลายเหมือนสัตว์ร้ายสามชนิดก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของประตู และหลังจากพวกมันจ้องมองที่จักรพรรดินี ดูเหมือนมันจะยอมรับเธอและเปิดประตูให้เข้าไปข้างใน
“ฮ่าๆๆ ของแค่นี้ไม่เท่าไหร่นี่”
“องค์จักรพรรดินีผ่านการทดสอบ พระองค์มีสิทธิ์เข้าไปข้างในส่วนพวกเราจะรออยู่ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ผมก็จะลองดูเหมือนกันครับ”
เมื่อฟาร์มาพยายามจะเปิดประตูที่ปิดอยู่ตามจักรพรรดินีไป ประตูกลับเปิดออกโดยสมบูรณ์ก่อนที่เขาจะสัมผัสมันด้วยซ้ำ
หลังจากมันต้อนรับฟาร์มาให้เข้าไปตามลำพังแล้ว ประตูก็ปิดลง หลังจากนั้น ในบรรดาอัศวินหลายคนที่ติดตามจักรพรรดินี มีเพียงผู้ที่ฟาร์มามีความสัมพันธ์ด้วยเป็นพิเศษเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ ซาโลม่อนปลอมตัวอยู่ในกับฝูงชนนั้น ก็ยังไม่ถูกจับได้แต่อย่างใด แต่ทางพวกนักบวชกลับมีสีหน้าประหลาดใจและปลื้มใจ ก่อนจะกล่าวว่า “คนระดับสูงของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟนั้นช่างแข็งแกร่ง”
ภายในนั้นเป็นห้องกว้างราวกับปราสาทที่ทำมาจากคริสทัล มีโต๊ะกลมอยู่ตรงกลางห้อง การตกแต่งภายในนั้นก็ช่างงดงาม ปิอุสและคนอื่นๆ ก็รอพวกเขาอยู่ในนั้นแล้ว จากนั้นฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็นั่งตามที่ของตน
“ยินดีต้อนรับทุกท่าน โหว มีคนเข้ามาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ข้าได้ยินมาว่าสุขภาพของท่านฟาร์มาแย่ลงกะทันหันเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ตอนนี้ผมสบายดีครับ ขอบคุณที่เสียเวลารอ”
“จากนี้ไปนี่จะเป็นการประชุมลับที่ไม่มีการจดบันทึกใดๆ ข้าจึงอยากจะขอให้ทุกท่านพูดกันอย่างตรงไปตรงมา แน่นอนจักรพรรดินีก็อยู่ที่นี่กับพวกเราด้วย แต่ครั้งนี้พวกเราคงไม่จำเป็นต้องฟังคำของฝ่าบาทนะ”
จักรพรรดินีแสดงสีหน้ารังเกียจปิอุสอย่างชัดเจน แต่เขาก็พูดตั้งแต่แรกแล้วว่าตนต้องการคุยกับฟาร์มา จักรพรรดินีนั้นก็เป็นเพียงแขก หรือจะให้อธิบายชัดๆ ก็แค่คนติดตามที่มาเป็นผู้ดูแล
“ถึงจะหยาบคายไปบ้าง แต่ข้าจะขอเรียกท่านว่าเทพโอสถเลยได้หรือไม่?”
“ผมขอปฏิเสธก็แล้วกันครับ”
ถึงจะยิ้มอยู่ แต่ฟาร์มาก็ปฏิเสธเขาไปอย่างเด็ดขาด
และก่อนจะพูดอะไรต่อ ฟาร์มาก็ได้นำกล่องที่ใส่คทาแห่งเทพโอสถมาวางไว้ที่บนโต๊ะ
“ก่อนอื่นผมขอพูดเรื่องการคืนคทาแห่งเทพโอสถครับ เนื่องจากผมได้ขอยืมผ่านคุณซาโลม่อนมาเป็นเวลานานแล้ว ขอขอบคุณสำหรับความกรุณานะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็ไม่ได้หวังจะให้ท่านเอามาคืน ถึงกระนั้นหากท่านไม่ใช่เทพโอสถจริงๆ แล้วทำไมท่านถึงสามารถใช้คทานี้ได้กันล่ะ ไม่คิดว่าแปลกหรือ?”
“ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นหรอกครับนอกจากคำว่าที่ใช้ได้เพราะผมใช้ได้ แถมการใช้มันก็ไม่ได้เป็นเครื่องหมายยืนยันว่าผมเป็นเทพโอสถเสียหน่อย ผมยังไม่เคยคิดจะใช้ชื่อนั้นเลยด้วย”
“ข้าละไม่เข้าใจประเด็นที่ท่านต้องการปิดบังตัวตนจริงๆ”
ปิอุสรู้สึกสงสัยกับท่าทีที่แน่วแน่ของฟาร์มา แต่เขาก็สั่งให้คาร์ดินัลที่อยู่ข้างๆ เขาเดินไปรับกล่องที่ใส่คทาแห่งเทพโอสถไว้ ก่อนจะทำการตรวจสอบมองหารอยขีดข่วนหรือชิ้นส่วนที่ผิดปกติไปจากเดิม
เหนือสิ่งอื่นใดเขาไม่อาจปัดเป่าความสงสัยในเรื่องที่ว่านี่อาจจะเป็นของปลอมก็ได้ดังนั้นเขาจึงต้องยืนยันในสิ่งที่คนทั่วไปทำกับคทานี้ไม่ได้ด้วยเช่นการสัมผัส
“ยอดเยี่ยม เป็นของจริง ถ้าเช่นนั้นท่านเทพโอ ไม่สิ ท่านฟาร์มาเรามาเริ่มคุยกันเลยดีกว่า ท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องตะขอและฟันเฟืองมาจากจูเลียน่าบ้างแล้วสินะ”
“ก็เคยได้ยินเรื่องนี้ตอนที่คุณจูเลียน่าเข้ามาทำร้ายผมนั่นแหละครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ตอนนี้หรือเปล่าครับ ถ้าใช่ก็ถูกต้องครับผมได้ยินมาบ้างแล้ว นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมยอมมอบพลังแห่งเทพมาให้กับเธอ ก็หวังว่าพลังที่ได้ไปมันจะเอาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนะครับ”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็ได้จะฟังคำอธิบายของท่านอย่างละเอียดเช่นกันนะ ท่านปิอุส”
จักรพรรดินีได้เริ่มเกมรุก ก่อนฟาร์มาเสียอีก เพราะเธอรู้สึกสงบใจเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แต่ทางปิอุสก็เพิกเฉยต่อคำพูดของจักรพรรดินี ก่อนจะกล่าวขอโทษฟาร์มาอย่างใจเย็น
“ข้าขออภัยในเรื่องนี้เนื่องจากข้อผิดพลาดของดุลยพินิจผู้ใต้บังคับบัญชา ครั้งหน้าข้าจะป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
ปิอุสยืนกรานว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ ถ้าเขาพูดอย่างนั้นฟาร์มากับจักรพรรดินีก็ทำอะไรต่อไม่ได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าเขาเป็นคนสั่งการด้วย
“เอาเป็นว่า จากนี้ไปท่านคิดจะทำเช่นไรกับตะขอและฟันเฟืองนี้กันล่ะท่านฟาร์มา”
“เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ตะขอและฟันเฟือง” นั่นมันคืออะไรกันแน่?”
จากนั้น ปิอุสก็ทำหน้าสงสัยกับคำพูดของฟาร์มา
จากปฏิกิริยานั้น ฟาร์มมาเดาได้ว่าเขาอาจสงสัยยาที่เขาใช้ก่อนหน้านี้ได้ผลจริงหรือไม่
“ไม่รู้จริงๆ เหรอครับ?”
“ครับ ผมไม่รู้จริงๆ ก่อนอื่นคุณช่วยอธิบายหน่อยครับว่าฟันเฟืองนั่นคืออะไร แล้วทำไมมันถึงต้องการพลังแห่งเทพของผมด้วย”
สำหรับฟาร์มา ข้อมูลที่เข้าได้ยินมาจากจูเลียน่านั้นจะเป็นดังนี้
เพื่อให้ตะขอที่ป้องกันโลกทั้งสองไม่เข้ามาปะทะกัน จำเป็นต้องมีฟันเฟืองที่เชื่อมเข้ากับตะขอ และเพื่อให้กลไกนั้นทำงานต่อไปได้จำเป็นต้องมีพลังแห่งเทพในการขับเคลื่อนเครื่องจักรนั้น นอกจากนี้เขาก็ไม่ทราบอะไรอีกเลย
“แล้วอุปกรณ์ที่ว่ามันอยู่ไหนเหรอครับ ผมขอไปดูได้หรือเปล่า”
“เดี๋ยวก่อนฟาร์มา แบบนั้นอันตรายเกินไปนะ อย่าเข้าไปใกล้มันจะดีกว่า”
จักรพรรดินีพยายามห้ามไม่ให้ฟาร์มาเข้าใกล้อย่างไม่ระมัดระวัง ส่วนปิอุสก็ยิ้มกว้างออกมา
“หากท่านสนใจ ก็อาจจะเป็นความคิดที่ดีหากท่านต้องการเห็นมันจริงๆ ถึงตัวข้าจะไม่เคยเห็นมันมาก่อนเหมือนกันก็ตาม เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดวงตาของมนุษย์จะมองเห็นได้ บางทีท่านอาจจะมองเห็นมันก็ได้..แล้วจะได้มาบอกพวกเราว่าเป็นเช่นไรด้วย”
“งั้นผมขอดูหน่อยเถอะครับ ไหนๆ พวกเราก็มากันไกลขนาดนี้แล้ว”
“ด้วยความยินดี”
ปิอุสลุกจากที่นั่ง และทิ้งเหล่าคาร์ดินัลไว้ข้างหลัง ก่อนจะหยิบคทาแล้วค่อยๆ เดินนำลงไปยังพื้นที่อันมืดมิดของชั้นใต้ดิน
มันค่อนข้างจะใช้เวลานานพอสมควรเนื่องจากเป็นทางที่ชัน
เสียงฝีเท้าของปิอุส จักรพรรดินี และฟาร์มาดังก้อง
เขาไม่รู้ว่าเขาลงไปไกลแค่ไหนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาน่าจะจะมาถึงชั้นใต้ดินที่ลึกกว่าเดิมแล้ว
เมื่อปิอุสร่ายมนตร์สร้างลำแสงออกมาจากคทาแทนแสงสว่างที่อยู่ภายในห้อง ภาพของโถงที่ทำจากคริสทัลใสราวกับกระจกก็สะท้อนออกมาให้เห็น
ผนังและพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยคริสทัลสีดำ มีลวดลายเรขาคณิตปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของมันก่อนจะเรืองแสงหลากสีกะพริบไปมาสลับกันเหมือนหิ่งห้อย
จักรพรรดินีดึงคทาแห่งเทพออกมา ซาโลม่อนก็เช่นกัน ฟาร์มาเดาว่ารูปแบบเรขาคณิตนี้น่าจะเป็นวงเวทของศาสตร์แห่งเทพ
และเนื่องจากเขาไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า เขาจึงถ่ายวิดีโอด้วยสมาร์ตโฟนก่อนจะเดินเข้าไปในนั้น
จากนั้น ก้อนสีฟ้าอมขาวซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็สะท้อนภาพออกมาจากกล้อง มันเหมือนกับวิญญาณมนุษย์เขารู้สึกได้ว่าพวกมันกำลังไปรวมตัวกันอยู่รอบๆ ตัวเขา แม้คนอื่นจะไม่ทราบ แต่ที่แห่งนี้ก็มีคนตายอยู่นับไม่ถ้วน
(อะไรกัน…)
หมอกสีขาวหนาทึบที่เหมือนกับศาสตร์แห่งเทพค่อยๆ เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา
ปิอุสหยุดเดินแแล้วหันไปเผชิญหน้ากับฟาร์มาและคนอื่นๆ
“สิ่งนี้คือสิ่งที่เรียกกันว่าฟันเฟือง ถึงข้าจะไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับอุปกรณ์นี้ก็เถอะ”
“แล้วของที่ว่ามันอยู่ไหนล่ะ?”
ปิอุสตอบคำถามจักรพรรดินี โดยการชี้นิ้วไปที่พื้นด้วยคทาของเขา
“ฟันเฟืองเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมระหว่างสองโลกเอาไว้ และมันขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งเทพของเหล่าเทพเจ้า เชื่อกันว่าเมื่อฟันเฟืองนี้หยุดหมุน โลกของเราก็จะล่มสลาย เคยมีหนึ่งถึงสองครั้งที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ท่า ฟันเฟืองนี้เคยหยุดทำงานไปถึงหนึ่งปี จนเป็นผลทำให้ 2 ทวีปและอีกหลายชีวิตต้องสูญพันธุ์ไปจากเหตุครั้งนั้น ร่องรอยของการล่มสลายของผืนทวีปสามารถพบเห็นได้ทุกที่บนโลกนี้ ไม่ว่าพวกท่านจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็จะขอเป็นผู้ที่เชื่อในตำนานนั้น ด้วยระเบียบที่เคร่งครัด และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราจำเป็นต้องช่วยปกป้องไม่ให้โลกใบนี้ล่มสลาย”
จนถึงท้ายที่สุด ขนาดตัวปิอุสเองก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ได้
ซาโลม่อนที่ได้ยินคำพูดของปิอุสจากระยะไกล เขาจึงทำการร่ายมนตร์ให้สายลมปัดเป่าหมอกนี้ออกไป จนทำให้เห็นพื้นคริสทัลที่แวววับอยู่
“คริสทัลพวกนี้ก็เหมือนกับกระจกสะท้อน ซึ่งเราก็จะเห็นตัวเราในกระจกนี้ แต่กับท่านมันแตกต่างออกไป เพราะตัวท่านนั้นไม่ได้ถูกกระจกนี้สะท้อน นั่นก็หมายความว่าท่านสามารถไปยังอีกด้านของมันได้ยังไงล่ะ”
ฟาร์มาไม่มีเงาสะท้อนในคริสทัลนั้น
และปิอุสก็เป็นคนยืนยันในเรื่องนั้นเอง
ขณะที่ฟาร์มากำลังยืนตัวแข็งทื่อ ปิอุสก็ทำการสลักมนตร์ลงไปยังใจกลางของพื้นกระจกด้วยคทาของเขา จากนั้นแท่นคริสทัลก็ปรากฏขึ้นราวกับมันงอกออกมาจากกระจกสะท้อนนั้น แล้วปิอุสก็เรียกฟาร์มาไปยังแท่นนั้น
“ว่ากันว่านี่คือส่วนปลายของฟันเฟืองที่เชื่อมตะขอเอาไว้ซึ่งเทพผู้พิทักษ์เป็นคนทำให้คนปกติสามารถมองเห็นมันได้ ใบมีดที่จูเลียน่านำกลับมาเราจะใช้มันกับสิ่งนี้ พลังของท่านที่พวกข้านำมาจะถูกส่งไปยังฟันเฟืองที่ทำงานอยู่”
อักษรที่อยู่บนแท่นนั้นฟาร์มาไม่สามารถอ่านมันออกได้ แต่หากอ้างอิงจากคำพูดของปิอุสหากมันหยุดทำงานโลกก็จะเริ่มเข้าสู่การล่มสลาย
ลำแสงคล้ายแสงเลเซอร์สีขาวอมน้ำเงินนับร้อยถูกยิงออกมาจากใต้แท่นที่อยู่เหนือกระจก พุ่งเข้าไปภายในกระจกบนเพดานที่ยังมืดมิดอยู่
ฟาร์มาที่ยืนอยู่หน้าแท่นนั้นก็อาศัยแสงสว่าง มองเข้าไปภายในความมืดมิดนั้น
แต่แทนที่จะเห็นร่างสะท้อนของตัวเองในกระจกนั้น ฟาร์มากลับเห็นบางอย่างอยู่อีกด้านหนึ่งของกระจก….มันคือกลไกของฟันเฟืองขนาดใหญ่ พื้นที่ภายในนั้นมันใหญ่มากจนเขาคิดว่ามันเป็นการหมุนวนของหลุมดำ
เขารู้สึกเหมือนกำลังจะถูกฟันเฟืองที่หมุนไปราวกับไม่เห็นจุดสิ้นสุดนี้ดูดเข้าไป เขาเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเห็นที่ประตูทางออกของห้องเพาะเลี้ยง เมื่อรู้แล้วว่าฟาร์มาสามารถมองเห็น “อีกฝั่ง” ได้อย่างชัดเจน ปิอุสก็บอกข้อมูลอีกอย่างกับฟาร์มา
“ว่ากันว่าเมื่อส่งพลังแห่งเทพเข้าไปที่แท่น ตะขอและฟันเฟืองก็จะเริ่มขยับ ทีนี้ท่านจะทำเช่นไรต่อก็ตามใจท่านเถิด”
“เข้าใจแล้วครับ”
ฟาร์มาวางมือลงบนแท่นและเทพลังแห่งเทพลง โครงสร้างภายในสว่างไสว จากนั้น แสงสว่างจ้าก็ฉายออกมาจากแท่น และเลเซอร์เส้นบาง ๆ ก็กลายเป็นลำแสงเส้นหนาที่ตัดผ่านความมืดมิด และฟาร์มาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงนั้นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อีกฝั่งหนึ่งของโครงสร้างภายในของฟันเฟือง
เขารีบหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็พบว่าจุดนี้เป็นจุดที่สัญญาณไวไฟแรงที่สุด บางทีของที่ปล่อยมันออกมาอาจจะเป็นตะขอที่เชื่อมระหว่างโลกเอาไว้ก็ได้
เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็มีบางสิ่งที่สะดุดตาเขาที่สุด…
(ฟันเฟืองที่ว่านั่นมันโมเบียสไม่ใช่เหรอ…)
ดูเหมือนว่าฟันเฟืองขนาดมหึมานี้จะมีรูปลักษณ์ของกลไกราวกับการจำลองทฤษฎีโมเบียสของเอกภพที่ประสานเข้าด้วยกัน วัสดุของพื้นผิวเป็นสีเจ็ทแบล็กที่มีพื้นผิวเรียบเหมือนหินตรงกลางของฟันเฟืองมีลวดลายคล้ายค้อนที่ถักทอด้วยรังสีโพลาไรซ์เป็นภาพโฮโลแกรมขึ้นมา
ฟาร์มาเคยเห็นอุปกรณ์ที่มีลวดลายคล้ายกันซึ่งผลิตขึ้นบนโลกของเขาซึ่งมันมีความซับซ้อนมาก และเพราะเขาจำมันได้จึงทราบว่าหากไม่ใช้เครื่องพิมพ์สามมิติสร้างขึ้นมาก็ไม่สามารถทำมันออกมาแบบนี้ได้
(อุปกรณ์ขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสร้างขึ้นได้…)
เมื่อฟันเฟืองเริ่มหมุน ด้านหลังและด้านหน้าของฟันเฟืองก็ถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขาไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยซ้ำว่ามันหมายถึงอะไรและเชื่อมโยงกับอะไร
จักรพรรดินีกำลังเรียกฟาร์มาอยู่ทางด้านหลัง ดูเหมือนว่าเธอจะมองไม่เห็นตะขอและฟันเฟืองภายในนั้น
“เจ้ากำลังเห็นอะไรอยู่ ฟาร์มาช่วยบอกพวกเราด้วย”
“กระหม่อมเห็นอะไรบางอย่างภายในนั้น….แต่ไม่ยากเกินกว่าจะอธิบายได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฟาร์มาลั่นชัตเตอร์ของกล้องรัวๆ แต่ภาพมันก็มืดเกินกว่าจะมองเห็นอะไร เขาต้องการแสดงให้จักรพรรดินีเห็นเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าศูนย์กลางของโลกจะไม่ถูกเปิดเผยได้คนอื่นได้รู้ง่ายนัก จากนั้นเขาได้รู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าเดจาวูที่คนมักกล่าวกัน
(….มันเป็นพื้นที่ที่เรามองเห็นออกไปจากอีกฝั่งของหน้าต่างห้องเพาะเลี้ยงสินะ?)
ฟาร์มาไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดีกับสิ่งที่เขาเจอ มันเหมือนกับจักรวาลที่กำลังเคลื่อนตัวไปมาอย่างลื่นไหลโดยมีฟันเฟืองเป็นตัวขับเคลื่อน
บางทีโลกที่อยู่หลังฟันเฟืองกระจกสะท้อนนี้อาจเชื่อมต่อกับเวลาและพื้นที่ดั้งโลกของเขาก็ได้ เพราะเมื่อฟาร์มามาถึงอีกโลกใบนี้ เขาจำได้ว่าความถนัดของเขาเปลี่ยนไปจากตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นเชิง และบันทึกที่เขาเขียนในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็จำเป็นต้องใช้กระจกสะท้อนในการอ่าน
(นั่นก็หมายความว่าโลกใบนี้คือโลกคู่ขนานกับโลกของเราหรือเปล่านะ หากเรากระโดดเข้าไปภายในนั้นเราจะกลับโลกเดิมได้ไหมนะ)
พื้นที่ตรงนั้นมันทั้งน่ากลัวและน่าดึงดูดใจ จนฟาร์มาคิดว่าอยากจะกระโจนเข้าไปสำรวจภายในนั้น แต่แล้วเขาก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงและมือของจักรพรรดินีเข้ามาแตะที่ไหล่ของเขา เธอค่อนข้างจะเรียกด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียด จากนั้นก็มีซาโลม่อนเดินตามมา เพื่อดึงสติของฟาร์มาด้วยใช้ศาสตร์แห่งเทพ ปิอุสจึงสังเกตถึงตัวตนของซาโลม่อนได้
“เกิดอะไรขึ้นกันฟาร์มา เราเห็นเจ้ายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวไปไหนมาสักพักแล้วนะ จนเรานึกว่าเจ้าจะตายไปทั้งยืนแล้วเสียอีก”
จากความรู้สึกของเขา เวลามันผ่านไปเพียงครู่เดียว แต่พอดูสมาร์ตโฟนก็ทำให้ทราบว่ามันผ่านมาได้พักใหญ่แล้ว ตัวเขาก่อนหน้านี้รู้สึกเหมือนเวลากำลังหยุดนิ่งอยู่เลย
(สติของเรา…กำลังถูกดึงไปอีกฝั่ง…!)
หรือนี่จะเป็นอุปกรณ์ที่มีไว้เพื่อจัดการกับเทพผู้พิทักษ์แต่ละองค์ในอดีต พวกเขาจะทำการล่อเทพผู้พิทักษ์เข้ามาแล้วทำการจัดการอย่างเงียบๆ ฟาร์มาเริ่มรู้สึกตัวทันในวินาทีสุดท้าย
ถ้าเขามาที่นี่คนเดียว เขาจะต้องหลงกลและไปอีกฝั่งอย่างแน่นอน ฟาร์มารู้สึกขอบคุณเหล่าผู้ที่คอยดูแลฟาร์มาและติดตามเขามาจนถึงจุดนี้ ก่อนจะทำให้เขารู้สึกตัวอีกครั้ง
เขาจำเป็นต้องไขปริศนาของอุปกรณ์นี้ พร้อมกับรวบรวมข้อมูลของสมบัติลับที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ไขปริศนาของเหล่าเทพผู้พิทักษ์ในอดีตเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง นั่นเป็นเหตุผลที่เขามายืนตรงนี้ไม่ใช่หรือ
“เหมือนตอนนี้ผมจะยังทำอะไรกับมันไม่ได้ ไว้ครั้งหน้าผมขอกลับมาอีกทีได้ไหมครับ”
ตามที่ท่านประสงค์ ปิอุสพยักหน้าราวกับต้องการตอบเช่นนั้น ถ้าเกิดเขามีที่นี่สองต่อสองกับปิอุสบางทีเขาอาจจะถูกผลักเข้าไปภายในฟันเฟืองแล้วก็ได้ ฟาร์มายังไม่คลายความสงสัยในเรื่องนี้
เอาเป็นว่าตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าฟันเฟืองและตะขอนี้มีอยู่จริง
แต่นั่นมันก็กลายเป็นเรื่องที่ชวนให้ฟาร์มาปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องแทน
———–
Note 1 : ยังไม่จบบบบบบบ ค้างอีกละ // เอาเรื่องโมเบียส รูหนอนมาเล่นแบบชัดเจนละ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code