Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 89

ตอนที่ 88 สิ่งที่อยู่ภายในฟันเฟือง

 

ฟันเฟืองนี้เป็นของจริง เมื่อฟาร์มามองเข้าไปในกลไกของมัน มันมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและขนาดใหญ่ เมื่อพิจารณาจากการเห็นก้อนกรวดกำลังล่องลอยอยู่ภายในอากาศ ทำให้ทราบว่าอีกด้านหนึ่งของกระจกสะท้อนนี้ไร้แรงโน้มถ่วง นั่นก็หมายความว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจริงๆ แม้กระทั่งออกแบบยังทำไม่ได้เลย

 

คำพูดของปิอุสจึงดูน่าเชื่อถือขึ้นบางส่วน

 

“ในเมื่อท่านเห็นการทำงานของมันแล้ว ข้าอยากจะถามอีกครั้ง ท่านคิดจะทำเช่นไรกับอุปกรณ์นี้ที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งเทพนับแต่นี้ตลอดไป”

 

พอปิอุสถามถึงการตัดสินใจของฟาร์มาอย่างเคร่งขรึม พอได้ยินแบบนั้นเขาก็รู้สึกเอือมจนพูดไม่ออก

 

“ทำไมเชื่อแบบนั้นกันล่ะครับ ก็รู้อยู่แล้วนี่ไม่ว่าผมจะทำอะไรไปตอนนี้ มันก็แค่เป็นการยืดปัญหาออกไปอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้าใช่ไหมล่ะครับ ทางที่ดีเราควรมาสังเกตมันว่าจากนี้ไปมันจะเป็นอย่างไรน่าจะดีกว่านะครับ”

 

“เพราะเราไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าจะมีเทพผู้พิทักษ์องค์ต่อไปจุติลงมา หากเป็นไปได้ข้าก็อยากจะหาวิธีการแก้ไขเรื่องนี้อย่างถาวรไปเลย ไม่เช่นนั้น ข้าก็คงได้กลายเป็นวิญญาณร้ายเป็นแน่”

 

คำว่า “วิญญาณร้าย” หลุดออกมาจากปากของปิอุส จักรพรรดินีที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ถามเขาด้วยความสงสัย

 

“ถ้าพระสันตะปาปากลายเป็นวิญญาณร้ายแบบนี้ คนที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังจะเดือนร้อนเอานะ นี่เจ้าจะหนีปัญหาที่ก่องั้นหรือ”

ส่วนทางฟาร์มาที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแล้วคิดว่าตนได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า ส่วนปิอุสก็มองไปยังโพรงบริเวณชั้นใต้ดิน ซึ่งมีอากาศเย็นลอยเข้ามา สีหน้าที่ว่างเปล่าของเขาทำให้รู้ว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้

 

“ไม่หรอก…ข้าไม่ได้คิดจะหนีไปไหน แต่ในนครศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้มีสิ่งหนึ่งที่คนส่วนมากไม่ทราบ ท่านหรือรู้ไม่ว่าทำไมทุกๆ 12ปีถึงต้องมีการเปลี่ยนตัวพระสันตะปาปา”

ปิอุสค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมและเปิดแผ่นหลังให้ฟาร์มาและคนอื่นๆ ดูก็พบว่าผิวของเขานั้นที่ซีดเซียวและผอมแห้ง โดยแผ่นหลังของเขานั้นก็มีตราสัญลักษณ์บางอย่างสลักเอาไว้อยู่ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของรอยสักนั้นกลายเป็นสีดำไปแล้ว ส่วนอีกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นสีน้ำเงิน ฟาร์มาเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพที่แปลกตาเช่นนี้ เพราะลักษณะของมันช่างคล้ายกับตราแห่งเทพโอสถหรือตราเทพอัคคีของจักรพรรดินี ทั้งสองที่เห็นเช่นนั้นก็ถามปีอุส

 

“มันไม่ใช่ตราแห่งเทพหรอกแต่มันคือสิ่งที่ผู้แบกรับตำแหน่งพระสันตะปาปาต้องรับไว้ มันถูกเรียกว่า ตราหลอมละลาย และในวันที่เกิดสุริยุปราคา ตราสัญลักษณ์นี้ก็จะเริ่มมีการเคลื่อนไหว”

 

“มันจะเกิดอะไรขึ้นครับ การเคลื่อนไหวที่ว่าคืออะไรกันแน่”

 

ฟาร์มาถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“พลังแห่งเทพอย่างเดียวมันไม่เพียงพอหรอก มันจำเป็นต้องมีน้ำมันหล่อลื่นด้วย ไม่งั้นฟันเฟืองมันก็จะสึกหรอ ฟันเฟืองนี้ก็เช่นเดียวกัน”

 

 

ฟาร์มารู้ถึงสิ่งที่ปิอุสต้องการจะสื่อ

 

“ตราสัญลักษณ์นี้มันมีไว้เพื่อเลือกมนุษย์ไว้สำหรับเป็นน้ำมันหล่อลื่นให้กับฟันเฟืองยังไงล่ะ ตัวข้าจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งนั้นอยู่ภายในห้องนี้แหละ ถึงมันจะมองไม่เห็นก็ตามและพอข้าหายไปแล้ว ก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนต่อไปจะเป็นใคร แต่หากคนผู้นั้นมีตรานั้นขึ้นที่ร่างของตน เขาคนนั้นก็จะกลายเป็นพระสันตะปาปาคนถัดไป…..แน่นอนว่าตามประวัติศาสตร์แล้วไม่มีพระสันตะปาปาคนไหนรอดชีวิตไปได้เลย”

 

 

 

ฟาร์มาตกตะลึงแต่พวกคาร์ดินัลที่อยู่รายรอบกลับเพิกเฉยต่อคำพูดของปิอุสราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ปิอุสกำลังจะเสียชีวิตด้วยกลไกลึกลับนี้

 

ฟาร์มารู้สึกเหมือนร่างกายของเขาถูกแช่แข็ง

 

ปิอุสถามฟาร์มาที่กำลังตะลึงอยู่เหมือนต้องการยืนยันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

 

 

“ฟันเฟืองนั้นมันมีอยู่จริงสินะ ท่านเห็นมันแล้วใช่ไหมล่ะ”

 

(ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ…)

 

 

นับตั้งแต่ที่ฟาร์มาได้พบกับปิอุส เขาก็สงสัยมาโดยตลอดว่าปิอุสก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับนักบวชในนครศักดิ์สิทธิ์

 

เพราะโดยปกติแล้วในโลกใบนี้หากพลังแห่งเทพยิ่งแข็งแกร่ง ก็หมายความว่าได้รับการปกป้องจากเทพพิทักษ์มากเป็นพิเศษ

 

และหากปริมาณของพลังแห่งเทพเป็นคุณสมบัติของการเป็นพระสันตะปาปา ก็ควรจะมองว่าตำแหน่งนั้นต้องเป็นผู้ที่มีพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในนครศักดิ์สิทธิ์เป็นธรรมดา

 

แต่เห็นได้ชัดว่าปิอุสนั้นเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกเลือกโดยตราหลอมละลาย

 

มันเป็นสถานการณ์เดียวกับที่จักรพรรดินีได้รับตราแห่งเทพอัคคี แต่ความต่างของมันอยู่ตรงที่เกียรติยศที่ได้รับมาจากนั้น

 

ชะตากรรมที่รอคอยปิอุสอยู่ช่างแตกต่างจากจักรพรรดินี

 

 

“เอาเป็นว่าที่นี่คือหลุมศพของข้า ไม่ว่าท่านจะทำเช่นไรมันก็ไม่มีทางออกแล้ว แต่ก็ไม่เลวนะที่ก่อนตายได้พูดคุยกับคนมากมายเช่นนี้”

 

 

จำนวนผู้ตายที่ฟาร์มาพบในห้องใต้ดินแห่งนี้

 

บางทีน่าจะเป็นดวงวิญญาณของเหล่าพระสันตะปาปารุ่นก่อนๆ ที่ต้องทำหน้าที่ปกป้องโลกใบนี้

 

 

 

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเหล่าเทพผู้พิทักษ์จึงต้องสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาด้วย”

 

 

 

เขาถอนหายใจก่อนจะพึมพำออกมาโดยไม่ต้องการคำตอบ

 

 

ในนครศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งเป็นนักบวชระดับสูงเท่าใด ความศรัทธาในเทพผู้พิทักษ์ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น การได้เห็นตราหลอมละลายซึ่งปราศจากความเมตตาและสังเวยให้กับความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย่อมไม่มีทางที่ศรัทธาจะเกิดขึ้นในหมู่นักบวชระดับสูง

 

“ข้ารู้สึกผิดหวังจริงๆ ท่านแพทย์โอสถฟาร์มา ถึงท่านจะมีพลังแห่งเทพจำนวนมากอย่างที่โลกนี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่ท่านกลับบอกว่าตนไม่ใช่เทพผู้พิทักษ์แถมยังไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับฟันเฟืองนี้อีก จะให้ข้าเชื่อเรื่องไร้สาระเช่นนั้นได้จริงๆ หรือ”

 

 

ฟาร์มาไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหน้าฟังปิอุสที่ผิดหวังในเรื่องนี้อยู่

 

 

 

“แล้วเมื่อไรเราจะได้พบกับเทพผู้พิทักษ์ที่รู้ความจริงของอุปกรณ์นี้ได้กันเล่า ทำไมข้าถึงต้องถูกสาปโดยเทพผู้พิทักษ์กัน ข้าอยากจะเห็นจริงๆ วันที่เหล่ามนุษยชาติจะเป็นอิสระจากเกมของพวกเทพผู้พิทักษ์”

 

 

ก่อนที่จะได้พบกับปิอุส ฟาร์มาเคยจินตนาการว่าปิอุสได้ใช้จูเลียน่าเป็นตัวประกันเพื่อหมายเอาชีวิตของฟาร์มาหลายต่อหลายครั้ง เป็นคนที่เลือดเย็นและเจ้าเล่ห์

 

นอกจากนี้ยังสงสัยว่านครศศักดิ์สิทธิ์ที่มีปิอุสเป็นพระสันตะปาปา จะเน่าเฟะเพียงใดหากมองถึงศีลธรรมในใจเขา

 

แต่ความเลือดเย็นนั้นกลับไม่ได้มุ่งไปหาเพียงแค่ผู้อื่นเท่านั้น มันยังมุ่งมาที่ตัวเขาเองด้วย เขายอมรับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของตนในการเป็นเครื่องสังเวยให้กับบางสิ่ง

 

 

“คุณปิอุส…ทำหน้าที่เป็นพระสันตะปาปามากี่ปีแล้วครับ? หรือว่าใกล้จะครบกำหนดแล้ว”

 

 

พอฟาร์มาถามปิอุสเช่นนั้น เขาก็ยิ้มออกมา

 

“ถึงจะเป็นการแสดง แต่ก็ช่างน่าแปลกใจที่ท่านสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วย ช่างขัดแย้งกับตัวตนของเทพผู้พิทักษ์ที่สร้างเครื่องจักรสังหารนี้ขึ้นมาด้วยความเลือดเย็นเลยนะ ข้าละถูกใจจริงๆ”

 

 

จักรพรรดินีนั้นครองราชย์มาเป็นปีที่สิบแล้ว และเธอบอกว่าเธอได้พบกับปิอุสครั้งแรกในวันที่ครองราชย์ นั่นก็หมายความว่าเวลาผ่านไปแล้วอย่างต่ำสิบปี

 

 

และพระสันตะปาปาจะเปลี่ยนทุกๆ สิบสองปี

 

หากคำพูดเหล่านั้นเป็นความจริง ปิอุสก็ใกล้จะถึงเวลาจากไปแล้ว

 

ปิอุสยังคงยิ้มออกมา

 

 

“ตัวข้ามันก็เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะของแบบนี้มันก็เหมือนกับข้าอยู่ในโลกแห่งความตายแล้วยังไงล่ะ”

 

“โปรดบอกเรามาเถอะครับ ว่าคุณยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่! จนกว่าจะถึงตอนนั้นเราจะต้องหาทางไขปริศนาของฟันเฟืองนี้แล้วพยายามหยุดห่วงโซ่แห่งโศกนาฏกรรมและความเกลียดชังนี้ให้ได้ในรุ่นเรา…!”

 

 

 

ฟาร์มาพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับสุริยุปราคาครั้งต่อไปจากปิอุส แต่ปิอุสไม่ยอมพูดออกมา

 

 

“อย่ามาทำตัวมีเมตตาหน่อยเลย”

 

“ผมไม่ได้เสแสร้งนะครับ! สุริยุปราคาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ!”

 

 

หลังจากปิอุสตายไป ก็จะมีผู้ถูกเลือกคนถัดไป ห่วงโซ่แห่งฝันร้ายยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิม ฟาร์มารู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องปกป้องไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีก

 

ทันใดนั้น ฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็ถูกแรงกระแทกอย่างมหาศาลพุ่งเข้าโจมตีจากทางพื้นดินจนเสียการทรงตัว

 

 

(แผ่นดินไหว!? ทำไมมันรุนแรงได้ขนาดนี้กัน!)

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณมองดูรอบๆ อย่างใกล้ชิด โครงสร้างทั้งหมดจะไม่สั่นไหว มันไม่ใช่แผ่นดินไหว ในขณะที่ลังเล รอยแตกก็ปรากฏขึ้นบนพื้นทั้งหมด และหลังจากนั้นไม่กี่วินาที พื้นกระจกก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และทรุดตัวลงไป ปิอุสและจักรพรรดินีซึ่งอยู่ใจกลางของการสั่นไหว

 

แต่พอมองไปรอบๆ ให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าโครงสร้างของตัวอาคารไม่ได้สั่นไหว นั่นหมายความว่ามันไม่ใช่แผ่นดินไหว ขณะที่กำลังสับสน รอยแตกก็ปรากฏขึ้นที่พื้น ไม่นานนักคริสทัลซึ่งทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนที่พื้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ปิอุสและจักรพรรดินีที่อยู่บริเวณใจกลางของการสั่นไหว ก็ถูกฟันเฟืองนั้นดูดเข้าไป

 

 

(แย่แล้ว……ไม่นะ!)

 

 

อากาศถูกดูดเข้าไปภายในห้วงสุญญากาศนั้น มันได้คว้าเอาร่างทั้งสองเข้าไปด้วยแรงดูดอันมหาศาล

 

หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พื้นที่เหลืออยู่ก็จะพังทลายไปจนหมดและทำให้ทุกคนโดนดูดเข้าไปสุญญากาศจนเสียชีวิตในทันทีจากการโดนฟันเฟืองนั้นบดขยี้

 

 

ฟาร์มาตัดสินใจอย่างรวดเร็วก่อนจะดึงบัตรประจำตัวออกมาแล้วเสริมพลังไปที่เท้าของเขา เขารีบสร้างพื้นขึ้นมาใหม่เพื่อไม่ให้นักบวชล้มลง ก่อนจะทำการพาร่างของตนทะยานไปในสุญญากาศ หลบหลีกเศษไม้ที่แตกหักออกมา จนไปถึงยังฟันเฟือง

 

ปีอุสที่ถูกดูดเข้าไปก่อนได้ถูกใบมีดอันใหญ่ยักษ์ของฟันเฟืองกระแทกเข้าอย่างรุนแรงจนกลายเป็นเนื้อบดไป ส่วนจักรพรรดินีถึงตอนนี้จะไม่รอดพ้นจากความตาย แต่ร่างของเธอก็เข้าใกล้ศูนย์กลางของฟันเฟืองเข้าไปทุกที

 

ดวงตาของเธอเบิกกว้างและพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่ ร่างของเธอลอยอยู่ในอากาศและหมุนไปมา ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามเหวี่ยงคทาของตนและใช้ศาสตร์แห่งเทพมากเท่าใด แต่ในสภาวะสุญญากาศเช่นนี้ก็คงจะสร้างไฟขึ้นมาไม่ได้

 

ในขณะที่ร่างของเขาจะแข็งทื่อไปจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลงจนแทบจะทำให้ร่างแหลกสลายได้ เขาได้เร่งพลังของบัตรประจำตัวอย่างสุดแรง เพื่อเอื้อมมือไปคว้าข้อมือบางๆ ของจักรพรรดินี

 

แต่ขณะที่ฟาร์มาพยายามบินขึ้นไป จนเกือบจะถึงใจกลางของมัน สมบัติลับของเขากลับสูญเสียพลังไป

 

 

(เดี๋ยวนะ…พลังของเรา…มันหายไป!?)

 

อีกทั้งร่างกายของเขายังถูกดูดพลังแห่งเทพออกไปจากร่างอีกด้วย

 

เขาไม่รู้สึกถึงพลังที่มีเหมือนเมื่อก่อน

 

ความรู้สึกที่เหมือนได้รับพลังมาจากตราแห่งเทพโอสถก็ไม่มีอยู่เช่นกัน

 

ตอนนี้มันเหมือนกับว่าตัวเองถูกฟันเฟืองดูดเข้าไปด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้ร่างของเขาพุ่งเข้าไปตรงใจกลางเช่นเดียวกัน ฟาร์มารู้สึกขนลุกเพราะกลไกของฟันเฟืองนั้นมันคล้ายกับขากรรไกรของนักล่าเลย

 

 

 

(แบบนี้แย่แน่…โดนกินไปทั้งแบบนี้แน่เลย!)

 

 

ฟาร์มาไม่สามารถต้านแรงดึงดูดนั้นได้อีกต่อไป ทันใดนั้นทั้งฟาร์มาและจักรพรรดินี ก็เหมือนถูกห่อหุ้มด้วยแผ่นฟิล์มบางๆ คล้ายกับฟองน้ำ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ภายในนั้นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและมีอากาศไหลผ่าน อาการขาดอากาศหายใจของจักรพรรดินีก็หยุดลง

 

 

ในขณะที่ฟาร์มากำลังสับสน เขาก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่ดูเหมือนจะดังก้องขึ้น

 

 

 

“สวัสดี คุณมาถึงที่แห่งนี้แล้ว”

 

“ใครกัน……?”

 

“ดูเหมือนว่าฟันเฟืองแห่งค้อนเหล็กต้องการการสังเวยใหม่แล้วสินะ แต่ตอนนี้คุณยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันหรอกนะ”

 

“คุณเป็นใครกันแล้วกำลังทำอะไรอยู่”

 

 

พอฟาร์มามองไปรอบๆ เพื่อค้นหาตัวเจ้าของเสียงดังกล่าว กลับไม่พบใครเลย

 

ราวกับเป็นเพียงเจตจำนง

 

“ฉันก็เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายกับคุณ และฉันเป็นคนล่าสุดที่ถูกจับไปในที่แห่งนี้….ขอโทษนะ ถึงอยากจะแนะนำตัว แต่ก็ลืมชื่อของตัวเองไปซะแล้วสิ”

 

(เป็นไปไม่ได้…)

 

สัญชาตญาณของฟาร์มาบอกได้ทันทีว่าเธอคือสิ่งที่เรียกกันว่าเทพผู้พิทักษ์ ฟาร์มาจำสิ่งที่ซาโลม่อนเคยบอกเขาได้ว่าเทพผู้พิทักษ์องค์ก่อนที่จุติลงมานั้นคือเทพแห่งการเกษตร เธอเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับฟาร์มาและได้รับการปฏิบัติตัวในฐานะเทพผู้พิทักษ์….จะบอกว่าเธอคนนี้ก็เป็นคนของโลกเรางั้นเหรอ?

 

 

 

“เทพแห่งการเกษตร….สินะ… เธอก็มาจากโลกเดียวกันกับผมใช่ไหม”

 

“เทพแห่งการเกษตร ก็เหมือนจะเคยถูกเรียกแบบนั้นนะ แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าโลกที่เธอพูดหมายถึงอะไร ฉันก็เพียงแค่ถูกอัญเชิญมายังโลกใบนี้ในฐานะเทพแห่งการเกษตร ด้วยอุปกรณ์ชิ้นนั้น….ทำให้ฉันหายไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงอัตตาของฉันในตอนนี้ที่อีกไม่นานก็คงจะสลายไปเหมือนกับคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้”

 

เสียงนั้นไม่ได้รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาเลย มันคล้ายกับความรู้สึกที่แสนขนลุกของการพูดคุยกับคนที่ตายไปแล้ว

 

“แปลว่าผู้ดูแลสุสาน ส่งเสามนุษย์มาจากโลกภายนอกอีกแล้วสินะ…แต่เมื่อมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะสามารถหยุดมันได้ อุปกรณ์ชิ้นนี้จะยังคงใช้พลังแห่งเทพของเทพผู้พิทักษ์และดวงวิญญาณมนุษย์ ดูท่ามันอยากจะได้ตัวคุณมากเลยนะ”

 

 

เรื่องราวที่เธอเล่าออกมาเต็มไปด้วยความไร้เหตุผลที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ซึ่งฟาร์มาก็ไม่อยากจะยอมรับมันด้วย

 

 

ฟาร์มาและจักรพรรดินีได้รับการช่วยเหลือจากเธอ แต่ปิอุสกลับเสียชีวิตในทันที ฟาร์มาคิดก่อนจะถามกับเธอว่าเธอทำพลาดไปในส่วนนั้นหรือเปล่า

 

“ทำไมเธอถึงช่วยผมกันล่ะ? แล้วใครคือผู้ดูแลสุสานที่ว่ากัน”

 

 

“สิ่งที่สร้างโลกใบนี้ สิ่งที่ทำลายโลกใบนี้ สิ่งที่ซ่อมแซมส่วนที่ถูกทำลาย….คุณจำไม่ได้เลยสินะ ผู้ถูกทอดทิ้งเอ๋ย?”

 

 

ฟาร์มาพยายามย้อนรอยวามทรงจำของเขา ก่อนที่เขาจะถูกปลุกด้วยสายฟ้า เขารู้สึกเหมือนอยู่ภายในความมืดมิด ก่อนจะถูกโอบอยู่ภายในมือของใครบางคน แต่ทว่ายิ่งนึกเท่าไร ความทรงจำตอนอยู่ภายในความมืดมิดนั้นกลับคลุมเครืออย่างมาก ฉากต่างๆ เหมือนถูกตัดแยกออกจากกัน ฟาร์มาส่ายหัวไปมาราวกับพยายามนึกถึงความทรงจำที่พร่ามัวนั้น และพูดกับสิ่งมีชีวิตที่เขามองไม่เห็น

 

“ไม่มีทางหยุดเครื่องนี้ได้เลยเหรอ!”

 

“เราสามารถต่อต้านผู้ดูแลสุสานได้ แต่วิธีการนั้นก็คือการทำลายโลกใบนี้เท่านั้น ว่ากันว่าในจักรวาลนี้ก็มีดวงดาวที่ถูกตะขอเกี่ยวเข้าไว้ด้วยกันนับไม่ถ้วน เป็นเหตุและผลที่ซับซ้อน นึกดูสิจะเกิดอะไรขึ้นหากหนึ่งในนั้นพังทลายลงในขณะที่ทั้งหมดยังเชื่อมต่อกันอยู่”

 

 

“ไม่นะ…กระทั่งโลกของเรา”

 

“ก็คงได้รับผลกระทบ ที่ที่คุณอาศัยอยู่เรียกมันว่าดาวโลกสินะ ที่แห่งนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าศาสตร์แห่งเทพหรือเปล่า”

 

“ไม่มี”

 

“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น ศาสตร์แห่งเทพเป็นสิ่งที่สะดวกสบาย แต่ก็ใช้จนเป็นนิสัยก็…อา ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้ว กลับไปยังที่ที่คุณควรอยู่เถอะ ฉันจะคอยมองสิ่งที่คุณจะทำให้กับดาวดวงนี้จากตรงนี้เอง คุณยังไม่พร้อม ถึงผู้ดูแลสุสานอาจจะโกรธฉันที่ทำแบบนี้ แต่ครั้งนี้ฉันจะช่วยคุณเอง”

 

“ขอบคุณนะ…!”

 

 

หลังจากนั้นไม่ว่าฟาร์มาจะส่งเสียงเรียกออกไปอีกสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากเธอ

 

ฟองน้ำพาฟาร์มาและจักรพรรดินีร่อนลงไปที่พื้นราวกับกำลังไถลอากาศ

 

 

“ท่านฟาร์มา!”

 

 

 

ซาโลม่อนปลุกฟาร์มาให้ตื่นขึ้น ทางด้านจักรพรรดินีที่หมดเรี่ยวแรงเหมือนจะยังไม่รู้สึกตัว เขาจึงให้เธอนอนตรงนั้นไปก่อน ส่วนนักบวชที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นโลหะที่ฟาร์มาสร้างขึ้นก็หนีไปหลบอยู่ตรงบันไดวนในสภาพโกลาหล

 

 

“ทำไมพื้นมันถึงถล่มลงมาได้กัน…! ไม่เคยจะได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย”

 

“หรือเพราะใช้ศาสตร์แห่งเทพรุนแรงเกินไปงั้นหรือ! ว่าแต่ฝ่าบาทล่ะเป็นเช่นไรบ้าง…!”

 

 

“ส่วนทางท่านสันตะปาปาปิอุส….เสียชีวิตแล้วสินะ”

 

 

ฟาร์มาเดินไปบอกความจริงกับพวกคาร์ดินัลที่กำลังสับสนอยู่ ถึงฟาร์มาอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่ฆ่าปิอุส แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้

 

ปิอุสเสียชีวิตทันทีหลังจากชนเข้ากับฟันเฟือง

 

 

เขาไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพในอีกด้านหนึ่งของห้วงอวกาศได้ ถึงเขาจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยจักรพรรดินีที่กำลังจะตามปิอุสไปในไม่ช้า แต่บทสรุปที่ได้ก็คือเขาช่วยปิอุสเอาไว้ไม่ได้

 

เหล่าคาร์ดินัลที่ไม่สามารถทำอะไรได้กับการพังทลายของพื้นได้ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฟังเรื่องราวจากฟาร์มา ถ้าฟาร์มาไม่สร้างพื้นพวกนี้ทัน พวกเขาทั้งหมดก็อาจตายไปแล้ว และเป็นความจริงที่ว่าพวกเขาเองก็ไม่สามารถช่วยปิอุสได้ ฟาร์มามองดูทุกคนแล้วพูดต่อ

 

 

“รีบกลับขึ้นไปข้างบนกันเถอะครับ ที่นี่อันตรายเกินไป ผมว่าเราควรจะปิดผนึกที่นี่เอาไว้ก่อนจะดีกว่า”

 

 

ฟาร์มายืนยันถึงอาการของจักรพรรดินีที่ยังไม่ได้สติว่าเธอยังคงหายใจอยู่ ก่อนจะพาเธอขึ้นไปข้างบน ขณะที่ฟาร์มากำลังพาเธอขึ้นไป สายตาของเขาก็สังเกตเห็นรอยแผลมันเป็นรอยไหม้สีแดงอยู่ที่บริเวณแผ่นหลังของเธอ

 

 

 

 

(มันไม่ใช่ของเทพอัคคีนี่นา…ถ้าอย่างงั้น?!)

 

 

ฟาร์มารีบใช้ดวงตาวินิจฉัยส่องเข้าไปในร่างของเธอทันทีแล้วก็พบว่า…มันคือตราหลอมละลายเหมือนกับของปิอุส

 

ตราหลอมละลายที่ปิอุสเป็นคนแบกรับไว้ได้หายไปและจักรพรรดินีก็คือผู้ถูกเลือกคนถัดไป

วงกลมหลอมละลายที่ปิอุสแบกไว้หายไป และเขาได้ครอบครองจักรพรรดินี

 

“ฝ่าบาท…!ไม่จริงน่า เธอคือผู้ถูกเลือกในการสังเวยรอบหน้าเหรอ!”

 

 

 

ฟาร์มายังจดจำการตายของปิอุสได้เป็นอย่างดี ร่างของเขาถูกบดขยี้จนตายลงไป หาใช่ถูกหลอมละลายจนตายจากตราหลอมละลายนี้

 

 

เธอจะปลอดภัยจนกว่าจะถึงสุริยุปราคาครั้งต่อไปหรือเปล่านะ?

 

 

 

…━━…━━…━━…

 

“รู้สึกวันนี้พวกวิญญาณร้ายโผล่มาเยอะเลยนะ..”

 

 

“นานๆ ทีได้มาเห็นแบบนี้ก็แปลกดีนะคะ”

 

 

บลานช์ที่กำลังไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่อาศัยของเอเลนในแถมชานเมืองจักรวรรดิพูดกับเอเลนระหว่างขี่ม้า นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เอเลนได้เห็นอะไรแบบนี้

 

มันคือวิญญาณร้ายของจริง เอเลนที่มองเห็นมันได้ก็ทำการขับไล่มันออกไปจากตัวของผู้ป่วยอยู่ทุกครั้ง ศาสตร์แห่งเทพของเธอได้ทำการจัดการมันจนมันหนีเข้าไปในความมืดของป่า แต่ในครั้งนี้ปริมาณของมันมากจนทำให้พลังแห่งเทพของเธอหมดลงเธอจึงกลับมาพักเอาแรงที่คฤหาสน์

 

แต่ระหว่างทางกลับ เธอก็ดันมาพบกับวิญญาณร้ายที่ติดตามหญิงชราคนหนึ่งมาระหว่างที่หญิงชราออกไปทำไร่ ราวกับต้องการสิงสู่ เอเลนจึงได้ดึงคทาออกมา

 

 

 

“”น้ำมันหายไป?! “”

 

 

หยดน้ำที่ปล่อยออกมาจากคทาของเอเลนได้เข้าไปล้อมวิญญาณร้ายเอาไว้ ก่อนที่มันจะสลายไปเพราะพลังแห่งเทพของเอเลนไม่เหลือแล้ว แต่ก็น่าจะเป็นเพราะสามารถทำให้มันตกใจได้ วิญญาณร้ายก็เลยหนีไปเช่นกัน

 

เอเลนที่ไม่ใช่นักบวชนั้นย่อมไม่สามารถใช้มนตร์ชำระล้างได้ ที่เธอทำได้มีเพียงแค่การขับไล่มันออกไปเท่านั้น

 

 

 

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นแบบนี้…ยังฝึกฝนไม่พอสินะ…”

 

“อาจารย์เอเลโอนอร์คะ หนูจะทำยังไงดี รู้สึกกลัวไปหมดเลยค่ะ”

 

“บลานช์จังก็ต้องสู้เหมือนกันนะ”

 

“ตะ…แต่ว่า-“

 

 

น่าแปลกที่ว่าช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เมืองหลวงของจักรวรรดิได้มีการเพิ่มขึ้นของพวกปีศาจและการปรากฏตัวของวิญญาณร้ายที่มากกว่าเดิม

 

เหล่านักบวชของเมืองหลวงก็ได้พยายามเร่งฝีเท้าออกไปลาดตระเวนทำการชำระล้างพวกมันให้หมด แต่ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ เธอที่เห็นแบบนั้นจึงได้ทำการส่งบลานช์กลับไปที่บ้าน ก่อนจะตรงไปยังร้านขายยาแทน ตอนนี้ประตูของร้านนั้นยังคงปิดอยู่ แต่ก็มีเหล่าอัศวินของตระกูลเดอ เมดิซิสหลายคนเฝ้ารักษาความปลอดภัยเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

 

 

“ปิดชั่วคราวงั้นเหรอ?”

 

 

เอเลนเดินผ่านพวกเขาเข้าไปภายในร้าน

 

ภายในนั้นก็มีเซดริก เซเลส และพนักงานทำความสะอาดกำลังจัดการเศษแก้วและขวดยาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร้าน ภายในร้านตอนนี้ไม่เหลือลูกค้าอยู่แม้แต่คนเดียว เซเลสที่สังเกตเห็นเธอก็ออกมาทักทาย

 

 

“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณเอเลโอนอร์ ถ้าเป็นคุณชาร์ล็อตละก็ อยู่ที่ชั้นสองนะคะ!”

 

“เกิดอะไรขึ้นกับลอตเต้จังเหรอ!?”

 

 

เอเลนรีบวิ่งขึ้นไปดูที่ชั้นสอง ก่อนจะเห็นลอตเต้กำลังนอนหลับอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย โดยมีโรเจอร์และรีเบคก้านั่งเฝ้าเธออยู่ เอเลนที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปดู

 

 

 

“ลอตเต้จัง หน้าซีดเชียว เป็นไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

พอเอเลนถามแพทย์โอสถทั้งสองก็มองหน้ากัน

 

 

จากนั้นโรเจอร์ผู้มีสีหน้าที่สดใสอยู่เสมอก็เปิดปากของเขาอย่างเจ็บปวด

 

 

 

“มีคนถูกวิญญาณร้ายสิงได้เข้ามาภายในร้านแล้วก็โจมตีลอตเต้ เธอที่ถูกมันกัดเข้าจนได้รับบาดเจ็บครับ”

 

“ทำไมกัน……!”

 

 

ทั้งอัศวินที่เฝ้าประตู โรเจอร์ และเซดริกต่างก็ช่วยกันต่อสู้กับวิญญาณร้าย ด้วยศาสตร์แห่งเทพ ในขณะเดียวกันก็ขอให้ทอมไปที่โบสถ์เพื่อขอกำลังเสริม นักบวชที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินทางมาที่ร้านขายยาทันที ซึ่งก็พอดีกับตอนที่เหล่าอัศวิน โรเจอร์และเซดริกกำลังจนมุมอยู่ ทำให้สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ทันโชคดีที่ผู้ถูกเข้าสิงนั้นปลอดภัยดีและจำเรื่องอะไรไม่ได้เลย

 

ช่วงที่ผ่านมานี้ได้มีการเรียกตัวเหล่านักบวชให้เดินทางไปทั่วทุกมุมของเมืองหลวงอย่างไม่หยุดหย่อน เนื่องจากหัวหน้านักบวชได้เป็นผู้นำทางจักรพรรดินีไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้เหลือนักบวชเพียงห้าคนเท่านั้นในเมืองหลวง แน่นอนว่าพวกเขาก็ขอกำลังเสริมอย่างเร่งด่วนจากทางนครศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว

 

เอเลนที่เห็นลอตเต้สีหน้าซีดลงไปก็รู้สึกใจหาย เธอถูกวิญญาณร้ายกัดเข้าไปที่ท้ายทอยของเธอ ซึ่งบาดแผลภายนอกก็คงถูกรักษาอย่างเหมาะสมแล้ว

 

 

 

“คุณร่ายมนตร์ชำระล้างบาดแผลของลอตเต้จังแล้วหรือยัง”

 

“ฉันใช้ศาสตร์แห่งเทพในการจัดการแล้วค่ะ! ตามดุลยพินิจของคุณโรเจอร์ฉันก็ได้ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการอักเสบเนื่องจากเธอเริ่มมีไข้แล้ว ทางคุณเซเลสก็กำลังผสมยาแก้คำสาปอยู่ค่ะ”

 

 

รีเบคก้าพยักหน้าอย่างแรง เมื่อมีคนได้รับอันตรายจากวิญญาณร้ายโจมตี วิธีปฏิบัติก็คือให้ดื่มโอสถแห่งการชำระล้างและปล่อยให้มันหลุดออกมาจากร่าง ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จากคำสาปที่ฝังบนร่างกายของพวกเขา

 

เอเลนเชื่อว่าคำสาปดังกล่าวอาจจะเกิดจากการติดเชื้อก็เป็นได้

 

เหล่าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ได้กลับมาทำงานในฐานะผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพควบคู่กับแพทย์โอสถ ซึ่งได้ละทิ้งไปเป็นเวลานานแล้ว

 

ผู้ที่เป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่งและสองนั้นต่างก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพและแพทย์โอสถกันทั้งสิ้น พวกเขาสามารถทำในเรื่องที่นอกเหนือจากการรักษาผู้ป่วยได้ เช่นการต่อสู้ การปัดเป่าและช่วยเหลือผู้ป่วยจากวิญญาณร้าย ที่อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าป่วยเป็นโรคในตอนแรก

 

 

 

“ลอตเต้จัง จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?”

 

“ถ้าพรุ่งนี้เธอยังไม่ตื่น เราจะให้นักบวชมาช่วยด้วยอีกแรงค่ะ จากวันนี้ที่ฉันคอยดูอาการมาทั้งวัน ก็ดูเหมือนว่ายาแก้คำสาปจะยังใช้ได้ผลดีอยู่ค่ะ”

 

 

รีเบคก้าบอกว่าเธอจะเป็นคนดูแลลอตเต้เอง ถึงแม้ทางโบสถ์จะคอยมาก่อกวนฟาร์มาอยู่บ่อยครั้ง แต่ในยามฉุกเฉินเช่นนี้ โบสถ์ของเมืองหลวงก็พร้อมจะออกมาปกป้องพลเมืองของจักรวรรดิเช่นกัน

 

 

“คุณเอเลโอนอร์ก็เห็นสภาพชั้นหนึ่งแล้วใช่ไหมคะ”

 

 

“เห็นแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากน่าดูเลยนะ”

 

“ถึงของในตู้ยาจะยังปลอดภัยอยู่ แต่สภาพของร้านก็เป็นอย่างที่เห็นค่ะ หากวิญญาณร้ายเข้ามาแบบนี้ ของภายในร้านอาจจะปนเปื้อนด้วยก็ได้ ทำไมคุณเจ้าของร้านถึงไม่อยู่ในตอนนี้กันคะ?”

 

 

“ไม่ใช่แค่ฟาร์มาคุงหรอก จะฝ่าบาทหรือหัวหน้านักบวชก็ไม่อยู่เหมือนกัน ภาพเหมือนย้อนกลับไปเมื่อก่อนเลยนะ”

 

 

“หรือว่า…” เอเลนพูดขึ้นมา

 

 

 

 

(จะเป็นเพราะฟาร์มาคุงไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง?)

 

 

แต่นั่นไม่น่าจะใช่สาเหตุทั้งหมด เพราะฟาร์มาก็มักจะเดินทางไปมาร์เชลและสถานที่อื่นนอกเมืองหลวงอยู่เสมอ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ได้ แต่ก็ไม่เห็นจะมีความผิดปกติเช่นนี้มาก่อนเลย ถึงจะไม่เคยไปที่ไหนไกลเท่านครศักดิ์สิทธิ์มาก่อนก็เถอะ…..แต่การเปลี่ยนแปลงมันก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว เธออดกังวลเรื่องที่ฟาร์มาเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับจักรพรรดินีไม่ได้เลย

 

 

 

(จนถึงตอนนี้ วิญญาณร้ายของเมืองหลวงจักรวรรดิ ซึ่งถูกบดขยี้ด้วยพลังแห่งเทพอันยิ่งใหญ่ของฟาร์มาคุงที่มีอิทธิพลทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิจะดับสูญไปแล้ว …… สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงกัน?)

 

 

วิญญาณร้ายพวกนี้มันไม่ได้สลายหายไปไหนเพราะฟาร์มาอยู่ที่นี่ แต่เพียงแค่มันไม่สามารถออกมาได้เท่านั้น

 

 

“แต่ไม่ใช่ว่าเรายังมีสมบัติลับอยู่ที่โบสถ์เหรอ..”

 

 

สมบัติลับของศาสนจักรจะทำการสร้างอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ป้องกันวิญญาณร้าย หรือว่าอาณาเขตนั้นจะพังทลายลงกันนะ? โรเจอร์ที่นึกอะไรออกก็ปรบมือขึ้นมา

 

 

 

“นักบวชเคยบอกพวกเราว่า สมบัติลับถูกขโมยไปครับ ว่ากันว่าตอนนี้ก็กำลังขอให้เอาอันใหม่มาจากนครศักดิ์สิทธิ์อยู่”

 

“เอ๊ะ!? ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ!”

 

เอเลนอยากจะกรีดร้องออกมา โบสถ์ถูกปล้นในจังหวะที่การรักษาความปลอดภัยอ่อนแอ

 

 

มีรอยเท้าหลายจุดในห้องเก็บสมบัติ ดังนั้นมันจึงน่าจะเป็นการปล้น

 

 

 

“ฟาร์มาคุง จูเลียน่าจัง และท่านซาโลม่อนจะไปที่นครศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับฝ่าบาท ตอนนี้จึงมีนักบวชเพียงห้าคนในเมืองหลวง ก็คงไม่แปลกที่จะโดน…”

 

 

นั่นหมายความว่าตอนนี้ก็มีเพียงนักบวชห้าคนเท่านั้นที่สามารถใช้มนตร์ชำระล้างได้

 

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้บังเกิดขึ้นแล้ว เอเลนจ้องมองไปข้างนอกและคาดว่ามันจะต้องโผล่ขึ้นมาอีกมากอย่างแน่นอน

 

 

“ฝันร้ายในอดีตได้กลับมาแล้ว”

 

 

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนในเมืองหลวงอาจจะต้องใช้เวลาทั้งวันอยู่ในความหวาดกลัวต่อวิญญาณร้ายกันอีกครั้ง

 

แค่คิดเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นไปถึงกระดูกสันหลังแล้ว

——-

Note 1 : มันเอาจัดเลยครับ บทนี้

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset