ตอนที่ 299 โดนวางแผนการ
ตอนที่ 299 โดนวางแผนการ
การกระทำของซูหวานหว่านหยุดชะงัก หากแต่ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้นมาจากด้านนอก หญิงสาวชะโงกตัวออกไปดูทางหน้าตาก็เห็นข้าหลวงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินผ่านมาทางถนน แล้วก็มีคนถือฆ้องตีส่งเสียงออกมา พร้อมกับถือเอากระดาษอะไรบางอย่างเอาไว้ในมือและกำลังจะเดินจากไป
ข้าหลวงเดินไปติดประกาศลงบนกระดานประกาศอย่างรวดเร็วและเดินจากไปทันที
ซูหวานหว่านหันตัวกลับมาทันที และชายคนที่ตีฆ้องก็ป่าวประกาศออกมาว่า “ทุกคน รีบอ่านประกาศเร็วเข้า! เนื้อหากล่าวว่าเกลือของตระกูลจ้าวไม่สามารถนำไปกินได้ ให้ทุกคนรีบเปลี่ยนไปใช้เกลือจากตระกูลเฉียน!”
ว่าอย่างไรนะ?
ซูหวานหว่านรู้สึกตกใจ และรีบลงไปดูประกาศที่ติดเอาไว้ในทันที ซึ่งเนื้อหาภายในกระดาษเขียนเอาไว้ว่า ‘เกลือของตระกูลจ้าวมีสารเจือปนบางอย่าง หลังจากที่หมอหลวงได้ตรวจสอบแล้ว ไม่สามารถนำมารับประทานได้ วันพรุ่งนี้เกลือในเมืองหลวงจะถูกแทนที่ด้วยเกลือของตระกูลเฉียน โปรดนำเกลือที่ซื้อมาจากตระกูลจ้าวทิ้งไปให้หมด’
เกิดอะไรขึ้นกับเกลือของตระกูลนางกัน?
ซูหวานหว่านได้ใช้เกลือของตระกูลตัวเองในการปรุงอาหาร หากแต่ก็ไม่มีสารเจื้อปนใด แล้วเรื่องสารปนเปื้อนผู้ใดเป็นคนทำ? หญิงสาวคิดไปถึงเรื่องคนที่อยู่เบื้องหลังของซู่ฉิงฉิง เขาคนนั้นจะต้อเป็นคนบงการเรื่องนี้อย่างแน่นอน
หญิงสาวคิดเรื่องราวนี้อย่างละเอียดรอบคอบ ค่อย ๆ คิดไปทีละขึ้น ขบคิดไปถึงแม่จ้าวที่อยู่ที่บ้าน ยิ่งนางคิดมากเท่าไรนางก็ยิ่งหวาดกลัวมากเท่านั้น และอยากกลับบ้านทันที หากแต่ทางฝั่งของฉีเฉิงเฟิงเองก็กำลังเกิดเรื่อง คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องการให้พวกเขาทั้งสองแยกจากกัน
ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงต่างมองหน้ากัน และพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ฉีเฉิงเฟิง หากเจ้ากลับไปที่ตำหนักของเจ้า ข้าว่ามันจะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ซูหวานหว่านกำลังบังคับให้ฉีเฉิงเฟิงกลับไปที่ตระกูลจ้าวพร้อมตนเอง!
ในเวลานี้ตระกูลจ้าวกำลังถูกทางการตรวจสอบ ซูหวานหว่านเองก็ไม่ได้มีฐานะใดมากมาย ยังจะกล้าพูดจาเช่นนี้กับฉีเฉิงเฟิงอีก ในสายตาของทุกคนซูหวานหว่านไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียเลย!
เมื่อเห็นใบหน้าอันนิ่งเฉยของฉีเฉิงเฟิง เหล่าขันทีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ต้องปาดเหงื่อทันที และเห็นฉีเฉิงเฟิงตอบกลับมาด้วยท่าทางเย็นชา “ข้าจะกลับไปที่ตำหนักของข้า”
หลังจากกล่าวจบฉีเฉิงเฟิงก็ก้าวขาเดินจากไปทันที
ซูหวานหว่านกำหมัดแน่น ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา เมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ เหล่าขันทีก็คิดว่าหญิงสาวถูกทอดทิ้งแล้ว และพวกเขาแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ พร้อมกับกระจายข่าวเรื่องนี้ออกไป
เมื่อกลับมาถึงตระกูลจ้าวนางก็ไม่พบเจอผู้ใด ภายในบ้านมีเพียงซูหวานหว่านและพ่อบ้านเท่านั้น ซูหวานหว่านปรับสีหน้ากลับมาเป็นดั่งเดิม แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาพร้อมกับส่งให้พ่อบ้าน “ไปรอฮูหยินที่นั่น ตกกลางคืนค่อยออกเดินทาง”
หลังจากพูดจบซูหวานหว่านก็หมุนตัวเดินออกไป ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนออกมาว่า “ดูสิ! นี่คือลูกสาวคนโตของตระกูลจ้าว!”
เมื่อหลายคนได้ยินเช่นนั้น ก็รีบวิ่งเข้ามามองหน้าค่าตาของซูวานหว่าน
สายตาที่มองมาราวกับต้องการฉีกนางออกเป็นชิ้น ๆ
ซูหวานหว่านยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย นางยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ แต่นางก็ถูกขวางทางโดยคำพูดของชาวบ้าน “คุณหนูจ้าว นั่นเจ้าจะไปที่ใด เมื่อวานนี้ครอบครัวของพวกเราได้ซื้อมาจากตระกูลจ้าวหนึ่งชั่ง! มันแพงมาก! เจ้าควรที่จะหารือกับเราเรื่องค่าชดเชย!”
“ใช่แล้ว! ต้องจ่ายเงินชดเชย! ครอบครัวของข้านั้นยิ่งกว่า! พวกเราซื้อมันมาสองชั่ง!”
“…”
เกลือนั่นมันสามารถกินได้! เหตุใดจะต้องจ่ายชดเชยด้วย? นางไม่ได้มีเงินเพื่อเอาไว้ชดใช้สิ่งเหล่านี้ ซูหวานหว่านคิดในใจแต่ก็พูดออกมาว่า “ถ้าเป็นเรื่องที่สมควรจะชดใช้ ข้าก็จะจ่ายให้”
เมื่อพูดจบนางก็เดินออกไปทันที หากแต่นางก็โดนกลุ่มชาวบ้านขวางทางเอาไว้อีกครั้ง ทำให้เดินไปไหนไม่ได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มือที่ซุกไว้ใต้เสื้อก็หยิบเงินที่หนึ่งกำมือออกมาจากในมิติฟาร์ม หญิงสาวเขย่ามันต่อหน้าทุกคน และมันก็สามารถดึงดูดความสนใจจากคนเหล่าได้ ซูหวานหว่านจึงพูดออกมาว่า “ทุกคนเห็นนี่แล้วหรือยัง!”
หลังจากพูดออกมาอย่างนั้น ซูหวานหว่านก็ขว้างเงินออกไปไกล ทำให้กลุ่มชาวบ้านรีบวิ่งไปัยงทิศทางที่หญิงสาวขว้างเงินไปทันที และซูหวานหว่านก็ใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีกลับไปในบ้านตระกูลจ้าว
เวลานี้ ที่หน้าประตูลานของตระกูลจ้าว ได้มีประกาศติดเอาไว้เรียบร้อย และยังมีพลลาดตระเวนจากทางการยืนอยู่เต็มไปหมด!
ซูหวานหว่านเห็นแบบนี้จึงแอบหลบไปเข้าทางประตูด้านหลัง ระหว่างนั้นนางก็พลันได้ยินเสียงของพลลาดตระเวนเอ่ยขึ้นมาว่า “ทำไมคุณหนูจ้าวยังไม่กลับมาอีก! พวกเราจะต้องไปพาคุณหนูจ้าวไปเที่ยวห้องขัง!”
ห้องขัง? พลลาดตระเวนเหล่านี้มาเพื่อมาจับตัวนางใช่หรือไม่ ซูหวานหว่านกำลังจะรีบออกไปจากที่นี่ แต่นางก็ได้ยินพลลาดตระเวนพูดออกมาอีกว่า “ฮูหยินจ้าวคงจะต้องนั่งหนาวอยู่ในห้องแข็งต่อไป แต่มันก็สมควรแล้ว ใครกันให้ตระกูลจ้าวผลิตเกลือที่มีสารเจือปนแบบนั้นออกมา พอมาถึงตอนนี้นางก็ไร้ซึ่งเครื่องนุ่มห่มให้ความอบอุ่น และไม่มีอาหารดี ๆ กิน ที่มีอยู่ตอนนี้ก็มีเพียงห้องขังอันว่างเปล่า!”
เมื่อได้ยินแบบนี้นางก็เข้าใจได้ในทันทีว่าแม่จ้าวถูกจับตัวไปแล้ว ซูหวานหว่านคิดว่านางจะมาช่วยแม่จ้าวได้อย่างรวดเร็ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…
ซูหวานหว่านถอนหายใจออกมา ทำให้เหล่าพลลาดตระเวนเห็นการปรากฏตัวของนาง ทำให้นางถูกจับตัวไปอย่างที่คาดเดา
เมื่อมาถึงห้องขัง ซูหวานหว่านก็ได้พบกับแม่จ้าวจริง ๆ เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นผู้เป็นลูกสาวก็รีบลุกขึ้นมาทันที “ลูกแม่ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นอะไร” ซูหวานหว่านส่ายหัวไปมา และเมื่อเห็นกลุ่มพลลาดตระเวนออกไปแล้ว นางก็สอบถามเรื่องสารเจือปนในเกลือ แม่จ้าวจึงกล่าวว่า “ในเมืองหลวงแห่งนี้มีสถานที่แห่งนึงเคยดูควบคุมด้วยเฉียวฝู่ ข้าเพิ่งจะได้มาดูแลกิจการของตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ แต่หลังจากที่ตรวจสอบดูแล้วเกลือของเราไม่มีสารเจือปนแต่อย่างใด แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านวันนี้ก็เกิดเรื่องขึ้น พวกเขาบอกว่าหมอหลวงเป็นคนตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ว่าข้าไม่เคยรู้เรื่งนี้มาก่อน”
พอคิดให้ละเอียด เรื่องนี้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จงใจทำให้พวกนางไม่สามารถหาวิธีตั้งรับได้ทัน อีกทั้งยังบอกว่าเรื่องนี้ถูกตรวจสอบด้วยหมอหลวงจากในวัง แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ฉีเฉิง!
หลังจากที่แม่จ้าวคิดอย่างถี่ถ้วน ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉีเฉิง “หลังจากที่ เฉียวฝู่นั้นได้เข้ามาแทรกแซงดูแลกิจการค้าเกลือของตระกูลจ้าว เงินจำนวนบางส่วนได้ถูกส่งเข้าไปในวังหลวง และแม้แต่การดูแลกิจการเกลือบางส่วนก็ถูกคนในวังเข้าแทรกแซง”
คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือฉีเฉิง ซูหวานหว่านจึงเอ่ยออกมาสองพยางค์ว่า “ฉีเฉิง!”
ทันทีที่พูดจบก็ได้ยินเสียงปลดกลอนดังขึ้นจากด้านนอกประตู จากนั้นพลลาดตระเวนก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหยิบขนมปังนึ่งสองอันแล้วโยนเข้าไปในห้องขังและพูดว่า “พวกเจ้ารีบกินซะ! พรุ่งนี้บ่ายสามโมงพวกเจ้าจะถูกตัดหัว รีบกินซะก่อนจะตายเป็นผีหิวโซ”
พรุ่งนี้จะถูกตัดหัว? เหตุใดถึงรวดเร็วเช่นนี้ ซูหวานหว่านที่กำลังคิดหาทางหนีอยู่ก็เห็นว่าแม่จ้าวกำลังจะเป็นลม นางรีบพยุงแม่ของตนเองเอาไว้ “ท่านแม่ ข้าจะพาท่านออกไป ท่านไม่ต้องกลัว”
“ห้องขังแห่งนี้อยู่ลึกมาก อีกทั้งยังมียามเฝ้าเราอยู่ตลอดเวลา พวกเราจะหนีออกไปได้อย่างไรกัน!” แม่จ้าวพูดออกมาด้วยร่างกายอันสั่นสะท้าน
ซูหวานหว่านกำลังคิดหาวิธีปลอบแม่จ้าว แต่นางก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาไกล ๆ “คุณหนูจ้าว แม่ของเจ้านางรู้ดีแก่ใจ แล้วเจ้าจะไม่เรียนรู้การเป็นลูกสาวที่ดีหรอกหรือ?”
ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคลืนคลานเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วกลอนประตูก็ถูกปลดอีกครั้ง ใบหน้าแก่ชราของชายคนนั้นก็ปรากฏขึ้น เขาสวมใสชุดมังกรสีเหลืองสดใส เดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง!
เขาคือฮ่องเต้ฉีเฉิง!
ขันทีไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยเย้ยหยันว่า “ตระกูลจ้าวได้ทำความผิดมหันต์ แต่ว่าเมื่อก่อนตระกูลจ้าวก็ได้ทำคุณประโยชน์ไว้ไม่น้อย ตอนนี้ร่างกายของฝ่าบาทยังคงไม่ดีขึ้นแต่ก็ยังต้องการมาเยี่ยมพวกเจ้าสองคน เหตุใดพวกเจ้าถึงยังไม่ขอบคุณฝ่าบาทอีก?”
“ขอบคุณ?” ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาอย่างประชดประชัน จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉีเฉิง และพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “หม่อมฉันคนนี้อยากจะทูลถามฝ่าบาท ฝ่าบาททรงทำเรื่องอะไรข้านั้นถึงจะต้องขอบคุณ?”
“ซูหวานหว่าน! เจ้ามันไม่รู้สำนึกเสีย!” ฉีเฉิงพูดพร้อมกับยกมือขึ้นบีบคางของซูหวานหว่านและกล่าวออกมาว่า “ซูหวานหว่าน ที่ข้านั้นมาที่นี่ก็เพื่อช่วยเจ้า ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะเข้ามาอยู่ที่วังเคียงข้างข้า ข้าจะปล่อยตระกูลจ้าวของเจ้าไป ปล่อยแม่ของเจ้าไป! แม้แต่…ให้ตระกูลจ้าวของเจ้าขายเกลือต่อ!”
ซูหวานหว่านก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฉีเฉิงไม่เพียงแค่สนใจนาง! และเขาต้องการให้นางเข้าไปในวังเพื่อเป็นนางสนมของตัวเอง!