the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 160 พยัคฆ์และสุกร

วิดีโอบันทึกที่สามจบลงอย่างฉับพลัน ดูเหมือนว่าการวิจัยต่อมาจะไม่ได้ผลลัพธ์อะไรอีก หรือไม่ก็ทำการทดลองต่อไม่ได้แล้ว

หลังจากดูจบทั้งสามวิดีโอ หลัวหลานก็มีความรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้เก็บงำความลับสุดพรรณนาบางอย่างไว้ เขาถอนหายใจ “นี่ก็คือเสียงพรายกระซิบในตำนานสินะ เหมือนว่าพลังพิเศษของเขาจะตื่นขึ้นระหว่างการสะกดจิต”

ถังโจว “ให้พาเขามาด้วยไหมครับ”

“ให้เขามากับพวกเราอะนะ?” หลัวหลานส่ายหน้า “ฉันหลัวหลานรู้ดีว่าตัวเองควบคุมคนอย่างเขาไม่ได้หรอก ถ้าเขาออกมาได้ ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก นายไม่รู้หรอกว่าคนในโรงพยาบาลจิตเวชตายไปมากขนาดไหนเพราะเขา”

‘พรายกระซิบ’ เป็นฉายาที่องค์กรต่างๆ ตั้งให้กับผู้มีพลังพิเศษที่ครอบครองพลังสะกดจิตอันทรงอำนาจ

ไม่มีใครรู้หรอกว่าพลังสะกดจิตของพวกเขานั้นทรงพลังขนาดไหน แต่หลัวหลานดูวิดีโอแล้วถึงกับจิตสะท้าน ที่น่าพรั่นพรึงไปกว่านั้นคือ คนในวิดีโอพลังเพิ่งถูกปลุกตอนอัดคลิปที่สามเท่านั้น

ถังโจวพูด “ทำไมพวกเราไม่จับเขาแล้วส่งไปวิจัยของเราเองล่ะ”

“ฉันกับชิ่งเจิ่นไม่ทำเรื่องแบบนั้น” หลัวหลานร้องเฮอะ “ช่างหัวเขา พวกเราแค่พาผู้รับการทดลองหมายเลขสองไปก็พอ” จากนั้นหลัวหลานก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นต่อไป

ตอนนี้ทหารได้จัดการทั้งอาคารเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครรอดยกเว้นผู้รับการทดลองหมายเลขหนึ่งและสอง

กองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งลงมืออย่างสะอาดเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นบริษัทหัวจงคงไม่ถูกจัดการจนหัวหมุนหรอก แต่ก็แน่ล่ะ ครั้งนั้นเป็นเพราะบริษัทหัวจ่งไม่ทันคิดด้วยว่าอยู่ๆ พวกหลัวหลานจะโผล่ไปที่นั่น อีกอย่าง กองกำลังก่อนอรุณยังไม่ลงมือเลยด้วย

หลัวหลานเดินผ่านห้องเก็บเสียงที่ผู้รับการทดลองหมายเลขหนึ่งถูกขังเดี่ยวไว้ไป เขาเดินเลี่ยงออกมาตามจิตสำนึก เหมือนกลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายกระโจนออกมาอย่างไรอย่างนั้น

บิดาของหลัวหลานกับชิ่งเจิ่นเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว เขาตายเพราะมะเร็งปอด ไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้ ตอนนั้นตาแก่เรียกพวกตนไปแล้วพูดว่าที่เขาเป็นห่วงไม่ใช่หลัวหลานแต่เป็นชิ่งเจิ่นต่างหาก

ความหยิ่งผยองที่ฝังลึกลงไปในกระดูกของชิ่งเจิ่นจะทำให้เขาเด่นออกมาเหนือใคร ถ้าครึ่งชีวิตแรกไม่สะดวกราบรื่น ครึ่งหลังก็ไม่จบลงด้วยดี

แต่หลัวหลานไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในฐานะที่เป็นลูกนอกสมรส เขาย่อมปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างดี ต่อให้ถูกปาโคลนอัดหน้า ถ้าคนผู้นั้นไม่อาจยุ่งย่ามด้วยได้ เขาก็ไม่ยุ่ง

คนน้องคนพี่ ไม่ต่างกับพยัคฆ์และสุกร

คนน้องแม้ดูแล้วจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก่อนจะสิ้นลม ตาแก่ก็ยังบอกให้หลัวหลานคอยปกป้องน้องชายอยู่ดี ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าตาแก่คิดอะไรอยู่

ตอนนี้ทหารแบกร่างของผู้รับทดลองหมายเลขสองออกมาจากเตียงผ่าตัด หลัวหลานมองเธอแล้วเบ้ปาก “เด็กเกินไปแล้ว น่าจะอายุสิบเอ็ดสิบสองเองมั้ง เป็นลูกฉันยังได้เลย แบบนี้จะมาช่วยฉันสู้ได้ยังไง!”

“เจ้านายครับ กองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่ถูกส่งออกมาแล้ว พวกเราต้องรีบถอยเดี๋ยวนี้ครับ” ถังโจวพูด “รถเตรียมพร้อม”

พูดจบ หลัวหลานกับถังโจวก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องมาจากข้างนอก พวกเขาหันออกไปนอกหน้าต่างของห้องผ่าตัด ก่อนจะต้องเลิกคิ้วที่เห็นว่ารถที่จอดซ่อนไว้นั้นถูกระเบิดทิ้ง ปรากฏเป็นภาพดั่งพลุไฟเจิดจ้ายามค่ำคืน

หลัวหลานโกรธเกรี้ยว “ใครแม่*ระเบิดรถฉันทิ้งอยู่ได้ทุกวี่วันวะ! ขอสาปแช่งพวกแกไปจนตาย!”

“เจ้านายครับ เลิกตะโกนก่อน พวกเราต้องรีบลงท่อแล้ว” ถังโจวฉุดกระชากลากถูหลัวหลานให้วิ่ง

ช่วงฟ้ามืด เริ่นเสี่ยวซู่กลับมาถึงร้านก็เห็นว่าทุกคนยังตื่นอยู่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของตน ต่อให้อยากนอนแค่ไหนก็นอนไม่หลับ ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เป็นเสาหลักของบ้าน ถ้าเขาไม่กลับมาก็ไม่รู้สึกวางใจ

แต่ที่ทรมานสุดคือตงฟู่หนาน เธออยากจะนอนใจจะขาดแต่เฉินอู๋ตี๋ยืนกรานให้เธออธิษฐานให้เริ่นเสี่ยวซู่กลับมาอย่างปลอดภัยเป็นเพื่อนพวกเขาอยู่นั่นแหละ

ตงฟู่หนาน “…”

แค่พวกนายอธิษฐานให้เขากลับมาอย่างปลอดภัยกันเองก็พอแล้วไหม ทำไมฉันต้องไปร่วมวงด้วยล่ะ! พวกนายยังเป็นมนุษย์กันอยู่หรือเปล่า จับฉันมัด ทุบตีฉันยังพอทน แต่นี่ยังไม่ให้นอนด้วยเนี่ยนะ!

หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาแล้ว เขายังคงนั่งอยู่ในร้านและรอคอยอย่างเงียบงัน เพราะเขามีลางสังหรณ์ว่า…เดี๋ยวหลัวหลานต้องมาหาแน่

ตอนที่พวกหลัวหลานออกมาจากที่นั่น สู้รบกับสมาคมตระกูลหลี่อย่างไรก็ต้องมีคนบาดเจ็บ และถ้าต้องการการรักษา ตัวเลือกแรกของเขาคือการมาหาเริ่นเสี่ยวซู่แน่ๆ

หลัวหลานกับคนของเขาต้องปะทะกับสมาคมตระกูลหลี่เพราะหยางเสียวจิ่นเล่นไประเบิดรถเขาทิ้งอีกแล้ว เด็กสาวคนนี้นี่วางเพลิงคนเก่งจริงๆ ในสมองคงมีเล่ห์กลร้อยเล่มเกวียน

และแล้วก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ไม่นานนักเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้เสียงฝ่าท่อระบายน้ำเลื่อนออกนอกประตูม้วน

ว่ากันตามตรงเริ่นเสี่ยวซู่ยังสงสัยอยู่หน่อยๆ คนพวกนี้รู้ได้ยังไงว่าท่อไหนอยู่หน้าร้านเขาพอดี!

เริ่นเสี่ยวซู่ยกประตูม้วนและให้พวกเขาเข้ามา หลัวหลานกระซิบ “รีบรักษาพี่น้องสองคนนี้ฉันที เดี๋ยวจ่ายเงินให้!”

“อืม จ่ายมาก็งานไป” เริ่นเสี่ยวซู่พูดช้าๆ เขาดูอาการบาดเจ็บของทหารแล้วพูดกับเสี่ยวอวี้ว่า “พี่เสี่ยวอวี้ เอากระสุนออกก่อนแล้วเย็บแผล จากนั้นค่อยทายา”

จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็มองดูเด็กผู้หญิงในอ้อมแขนของถังโจว แล้วถาม “นี่ใครน่ะ”

พอเห็นว่าเธอยังไม่ได้สติ ถังโจวก็พูด “เป็นญาติผู้น้องของเถ้าแก่หลัวน่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่เกือบหลุดขำ โกหกแบบหน้าไม่อายจริงๆ เว้ย

เฉินอู๋ตี๋เข้ามาดูเช่นนั้น เขาสำรวจเธออยู่นานมาก จากนั้นก็โพล่งกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “อาจารย์ นางดูเหมือน…”

สรรพสิ่งเงียบกริบในบัดดล

หลัวหลานโกรธจนหัวเราะ “อะไร ทำไมทุกคนถึงกลายเป็นม้ามังกรขาวไปหมดเลยล่ะ”

“ไม่ใช่” เฉินอู๋ตี๋ส่ายหน้า “นางหาใช่ม้ามังกรขาวไม่แต่เป็นไม้หาบ[1]ต่างหาก”

หลัวหลาน “???”

เริ่นเสี่ยวซู่ “???”

รอบนี้หลัวหลานเดือดจริงๆ แล้ว “เด็กสาวหน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอมแบบนี้จะเป็นไม้หาบได้ยังไง แถมไม้หาบมีจิตสำนึกของตัวเองด้วยเหรอวะ!”

เด็กหญิงยังไม่ได้สติจากการรมยาสลบที่ได้รับจากผ่าตัดเมื่อคืน เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจเลย ผู้คนในป้อมปราการกล้าทำเรื่องแบบนี้กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ได้อย่างไร ต่อให้เธอเป็นผู้มีพลังพิเศษ พวกเขาก็ไม่ควรทำอะไรแบบนี้หรือเปล่า!

หลัวหลานจ้องเฉินอู๋ตี๋เขม็ง “จะไปอัญเชิญพระไตรปิฎกก็ทำไป แต่ทำไมต้องลากคนไปอัญเชิญด้วยหา”

เฉินอู๋ตี๋พูดอย่างเยือกเย็น “อย่างกับเจ้าจะเข้าใจอย่างนั้นแหละ เปินปัวเอ๋อร์ป้า!”

หลัวหลายยิ้มเย็น “ถ้าจะบอกว่าเธอเป็นไม้หาบ ทำไมเธอถึงเป็นไม้หาบ และเธอยอมรับว่าเป็นไม้หาบหรือไง”

ทันใดนั้นเด็กสาวก็ส่งเสียงและค่อยๆ ฟื้นคืนสติขึ้นมา เธอหันมองคนแปลกหน้ารอบกาย จากนั้นก็จับจ้องไปที่เริ่นเสี่ยวซู่กับเฉินอู๋ตี๋

เฉินอู๋ตี๋ลองทดสอบเธอด้วยการพูดว่า “เจ้าไม้หาบ”

เด็กหญิงเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์พี่?!”

หลัวหลาน “???”

เริ่นเสี่ยวซู่ “…”

ไม้หาบแบบเธอจะสุ่มๆ เรียกคนอื่นเป็นศิษย์พี่ทำไม!

หลัวหลานเหมือนสติปัญญาโดนดูแคลนอีกครั้ง แล้วทำไมเจ้าคนบ้าสองคนนี้ถึงเชื่อมกันติดได้ล่ะโว้ย แล้วสรุปใครกันแน่ที่บ้ากันวะ!

[1] ไม้หาบแบกของของซัวเจ๋ง

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset