the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 161 บุตรที่ถูกทิ้งแห่งสมาคมตระกูลหลี่ หลี่เสินถาน

บรรยากาศในห้องดูกระอักกระอ่วนไปพักหนึ่ง พูดตามตรง ขนาดเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ ผู้ป่วยจิตเวชสองคนปรับคลื่นความถี่คุยกันได้เสียอย่างนั้น

นี่มัน…เกินความคาดหมาย

พูดไปแล้ว…นับวันกลุ่มอัญเชิญพระไตรปิฎกก็ยิ่งครบองค์ประชุม เฉินอู๋ตี๋ไม่คิดเผื่อว่าต้องการแค่ศิษย์สามคน เขายังคิดเผื่อไปถึงว่าพวกเขาต้องการไม้หาบด้วย

เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดว่า ตอนนี้หากมีตะกร้าอีกสองใบกับม้ามังกรขาวมาร่วมกลุ่มก็ครบแล้ว

ตอนนั้นเองเหยียนลิ่วหยวนก็มองเด็กหญิงแล้วยิ้ม “น้องสาว ชาตินี้ชื่ออะไรเหรอ”

“ฉันชื่อซือหลีเหริน” เธอตอบ

“เธอมีพลังพิเศษอะไรเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนถามต่อ

“ฉันแรงเยอะมากๆ เลยล่ะ” ซือหลีเหรินพูดอย่างภาคภูมิใจ

เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย คนที่พูดอย่างนั้นรอบล่าสุดตอนนี้ยังโดนจับมัดในห้องนอนอยู่เลย…

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ อย่างไรเสียเธอก็คุยกับเฉินอู๋ตี๋ได้…

เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม แล้วว่า “แรงเยอะขนาดไหนเหรอ แสดงให้พวกเราดูหน่อยได้ไหม”

ซือหลีเหรินส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะยกหวังต้าหลงขึ้นอย่างไม่เปลืองแรงทำเอาเขาร้องโวยวายตกใจ

เหยียนลิ่วหยวนพ่นลมหายใจ “ดูเหมือนว่าชาตินี้จะเป็นซัวเจ๋งที่ถูกไม้หาบแบกแทนนะเนี่ย”

เสี่ยวอวี้ที่อยู่ข้างกันยิ้ม “หลีเหรินหิวหรือยังจ๊ะ ให้พี่สาวทำอะไรให้กินไหม”

“หนูยังไม่หิว” ซือหลีเหรินกล่าวได้อย่างน่ารักน่าชัง

หลัวหลานรับไม่ไหวแล้ว ไม่เข้าใจเลยคนที่เขาพยายามช่วยชีวิตมาแทบตายทำไมถึงไปร่วมคณะเดินทางอัญเชิญพระไตรปิฎกเสียหมด

อุตส่าห์วางแผนมาหลายวัน เริ่นเสี่ยวซู่กลับเป็นคนคาบไปกินเสียได้ ทำไมผู้มีพลังพิเศษทุกคนถึงไปวนอยู่รอบตัวเริ่นเสี่ยวซู่กันหมดเลยฟะ!

“ฉันไม่เชื่อหรอก เด็กคนนี้อาจจะเดาชื่อมั่วๆ ก็ได้!” หลัวหลานคำราม

“แต่ใช่ว่ามีคนเตี๊ยมกับเธอก่อนเสียหน่อย…” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างกระอักกระอ่วน “นายเป็นคนพาเธอมานะ แถมยังอยู่ในสายตานายตลอดเวลาด้วย”

“ก่อนหน้านี้เฉินอู๋ตี๋พูดถึงม้ามังกรขาวไง” หลัวหลานเอ่ย “เธออาจจะเดาจากตรงนั้นก็ได้”

จากที่หลัวหลานมอง โลกนี้ไม่น่าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ นายตะโกน ‘เจ้าไม้หาบ’ นะ แล้วฉันจะตะโกนตอบว่า ‘ศิษย์พี่?’ ใครแม่*จะไปเชื่อเรื่องแบบนี้ลงฟะ! แสดงตลกกันอยู่เหรอไง!

หลัวหลานมองไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ แต่เขาก็รีบตอบ “มองฉันทำไม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเฟ้ย”

คนหนึ่งเป็นบ้ายังพอเข้าใจ แต่ให้สองคนแสดงอาการวิกลจริตเหมือนกันเนี่ยนะ? นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่อดรู้สึกว่าเขาอาจเป็นพระถัมซัมจั๋งกลับชาติมาเกิดจริงๆ ก็ได้

แน่ล่ะ เขามั่นใจมากว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้น

จู่ๆ เหยียนลิ่วหยวนก็ชี้ไปที่หลัวหลานแล้วถามเด็กหญิงว่า “นี่ใคร”

เด็กหญิงมองหลัวหลานแล้วว่า “เปินปัวเอ๋อร์ป้า”

หลัวหลาน “???”

หลัวหลานแทบสติแตกแล้ว เปินป้าเธอสิ มาถึงขนาดนี้ได้ยังไงกันเนี่ย

เหยียนลิ่วหยวนชี้ไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ “แล้วนี่ใคร”

“ท่านอาจารย์!” เด็กน้อยยิ้มหวาน

“แล้วฉันล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนถามต่อขณะพิจารณาอย่างใกล้ชิด

“อ้อ นายคือม้ามังกรขาว” เด็กหญิงพูดออกอย่างชัดถ้อยชัดคำ

เหยียนลิ่วหยวนหัวเราะ “โทษทีนะ แต่ฉันไม่ใช่หรอก”

เด็กหญิงเงียบไป สีหน้าสับสน ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงตบมือดังมาจากนอกร้าน ก่อนที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจะเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ก็คงงั้นแหละ พวกเราหลอกทุกคนไม่ได้แล้ว หลีเหรินมานี่เร็ว”

พริบตานั้น บรรยากาศในห้องพลันตึงเครียดขึ้นมา เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มผู้นี้เข้ามาตอนไหน

หลัวหลาน ถังโจว และคนของเขาควักปืนเล็งไปที่ชายหนุ่มคนนั้นราวกับเจอศัตรูอันตรายยากตอแยก็มิปาน

ไม่ใช่เพราะหลัวหลานตกใจกลัว แต่เป็นเพราะว่าเขารู้ว่าคนผู้นี้คือพรายกระซิบต่างหาก!

หลัวหลานไม่กล้าช่วยชายหนุ่มผู้นี้ออกมาชัดๆ แล้วเขาออกมาจากห้องนั้นได้อย่างไร หรือว่า…

ทันใดนั้นหลัวหลานก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของโรงพยาบาลจิตเวช เขาควบคุมทุกคนในนั้นมาตั้งแต่แรก

พลังสะกดจิตสุดอัศจรรย์ที่ควบคุมผู้อื่นอย่างเงียบงัน ถึงพนักงานของโรงพยาบาลจะระวังเขาอยู่ตลอด แต่ก็คงตกอยู่ในอำนาจสะกดจิตอย่างไม่รู้ตัวไปแล้ว

ไม่ใช่หลัวหลานปลดปล่อยพรายกระซิบผู้นี้ แต่เป็นเขาเข้าออกโรงพยาบาลได้ตามใจมาตั้งนานแล้ว

พลังสะกดจิตเช่นนี้มากพอให้อำนาจทุกฝ่ายเกรงกลัว

ต่อไปป้อมปราการ 109 มีแต่จะวุ่นวายยิ่งขึ้น

พวกเขาเห็นชายหนุ่มยังยิ้มได้แม้ถูกปืนเล็งใส่ เขาพูด “ขอแนะนำตัวเองก่อนนะ ฉันชื่อว่าหลี่เสินถาน บุตรผู้ถูกทิ้งแห่งสมาคมตระกูลหลี่ และฉันมาอย่างเป็นมิตร”

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลัวหลาน คนผู้นี้เป็นคนของสมาคมตระกูลหลี่จริงๆ? เริ่นเสี่ยวซู่รู้แล้วว่าเขาคือใคร คนผู้นี้น่าจะเป็นตัวอันตรายที่หยางเสียวจิ่นพูดถึง แต่ไม่เห็นเธอจะพูดเลยว่าเขามาจากสมาคมตระกูลหลี่

หลัวหลานกระซิบ “เขาคือพรายกระซิบ อันตรายมาก”

หลัวหลานเองก็กำลังสับสุนงุนงงไม่ต่างกัน เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหลี่เสินถานนั้นมาจากสมาคมตระกูลหลี่ แต่ทำใมคนของสมาคมตระกูลหลี่ถึงถูกขังอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชได้ล่ะ ที่นี่เป็นอาณาเขตของสมาคมตระกูลหลี่ไม่ใช่เหรอ

ดูเหมือนว่า ‘บุตรผู้ถูกทิ้ง’ ที่ว่าจะมีความหมายมากกว่านั้น

เด็กหญิงนามซือหลีเหรินกลับไปอยู่ข้างกายหลี่เสินถามแล้ว ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจให้เด็กหญิงคนนี้ถูกหลัวหลานช่วยไว้ แต่ทำไมเขาต้องทำเช่นนี้ด้วย หรือเพราะอยากรู้ว่าฐานของพวกตนอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ

เริ่นเสี่ยวซู่พลันเกิดความรู้สึกว่าตนเองถูกเปิดโปง หลี่เสินถานรู้เรื่องเฉินอู๋ตี๋ ทั้งยังรู้ด้วยว่าเขาเคยพูดอะไรมาบ้าง เขาถึงกับรู้ว่าเฉินอู๋ตี๋เรียกหลัวหลานว่าเปินปัวเอ๋อร์ป้าด้วยซ้ำ!

ความรู้สึกเช่นนี้แย่มาก ราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของหลี่เสินถานหมดแล้ว

แต่เขาไปรู้เรื่องพวกนั้นได้ยังไง มีสายลับอยู่ในสมาคมตระกูลชิ่งอย่างงั้นเหรอ แต่ด้วยพลังของเขาจะหาข้อมูลจากคนของสมาคมตระกูลชิ่งไม่น่าเป็นเรื่องยาก

เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเรียบ “นายต้องการอะไร”

หลี่เสินถานมองเริ่นเสี่ยวซู่ ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเราอยู่กันเองในป้อมสองคนแล้วมันเหงาๆ น่ะ ไหนๆ เพื่อนๆ ก็มาอยู่ที่นี่กันหมด ฉันเลยรู้สึกว่าตัวเองสมควรออกมาทักทายทุกคนเสียหน่อย”

“งั้นก็แนะนำตัวกันเสร็จแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะไล่พวกเขาออกไป เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพรายกระซิบผู้นี้

ไม่รู้ทำไม เริ่นเสี่ยวซู่ที่เห็นว่าซือหลีเหรินไม่ใช่ ‘ไม้หาบ’ จริงๆ ก็โล่งอกยกใหญ่ เขาไม่อยากเป็นพระถังซัมจั๋งหรอกนะ

หลี่เสินถานดูประหลาดใจกับท่าทางของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่น้อย แต่เขาไม่สนใจอะไรนัก

เขาพลันพูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ไม่รู้สินะ แต่ฉันว่านายมีอะไรพิเศษมาก”

เป็นคราวของเริ่นเสี่ยวซู่ต้องแปลกใจบ้างแล้ว “ฉันหล่อมากงั้นสิ?”

“เปล่าๆ ไม่ใช่เลย” หลี่เสินถานชี้ไปที่ศีรษะตัวเองแล้วหัวเราะ “ตรงนี้ของนายพิเศษมาก งั้น…ถ้าโชคชะตานำพา พวกเราคงได้พบกันอีกครั้ง อ้อแล้วก็เถ้าแก่หลัว ฉันไม่ได้สะกดจิตลูกน้องนายของนายหรอกนะ ไม่ต้องเป็นกังวลมากไป”

เริ่นเสี่ยวซู่ที่ยังไม่หายสงสัยถามขึ้น “แล้วทำไมถึงเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลจิตเวชล่ะ”

หลี่เสินถามคิดพักหนึ่งกล่าวว่า “เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ใช่เวลาน่ะสิ” จากนั้นหลี่เสินถานก็นำซือหลีเหรินเดินหายเข้าไปในความมืด

ก่อนที่พวกเขาจะหายลับไป ซือหลีเหรินก็หันมาโบกมือให้ทุกคน “ทุกคนบ๊ายบาย ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเลยนะคะ!”

เริ่นเสี่ยวซู่วิเคราะห์จากคำพูดของหลี่เสินถานได้ว่าเขามีธุระต้องจัดการเลยออกจากโรงพยาบาลมา มันเกี่ยวข้องอะไรกับผลงานวิจัยของสมาคมตระกูลหลี่หรือเปล่านะ?

หลัวหลานถอนหายใจออกมายกใหญ่ “ทุกอย่างสูญเปล่าแล้ว ฉันไปคุยกับตงฟู่หนานต่อดีกว่า อย่างน้อยเธอก็ยังน่าเชื่อถือมากกว่า”

เริ่นเสี่ยวซู่เหม่อมองหลัวหลาน…

ในใจหันรีหันขวาง ไม่รู้จะบอกหลัวหลานดีไหมว่าตงฟู่หนานเองก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเหมือนกัน…

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset