สุดท้ายเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่เผยความจริงของตงฟู่หนานให้หลัวหลานรู้ เขาคิดว่าปล่อยให้ผ่านเส้นตายเจ็ดวันก่อนถึงค่อยพูดอะไรกับหลัวหลานจะดีกว่า ถ้าเกิดหลัวหลานเห็นสภาพเลือดกำเดาไหลใบหน้าบวมช้ำของตงฟู่หนานแล้วสร้างปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร
ตอนนี้ตงฟู่หนานที่ถูกขังอยู่ในห้องไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าแต่งงานกับหลัวหลานตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยถ้าเขายอมพาเธอไปจากที่นี่ แต่รอบนี้เฉินอู๋ตี๋มัดเธออย่างแน่นหนา แถมหวังฟู่กุ้ยยังเอาสมุนไพรอะไรบางอย่างมายัดปากเธออีก ทำเอาเธอปากชาจนส่งเสียงอะไรไม่ได้เลย
ในร้านมียาสมุนไพรเยอะมาก แต่ที่ตงฟู่หนานไม่เข้าใจคือ ทำไมสมาชิกบ้านนี้ถึงเชี่ยวชาญการกักขังหน่วงเหนี่ยวคนนัก!
ถึงหวังฟู่กู้ยจะเป็นคนใจอ่อน แต่เขาใช้ชีวิตเป็นผู้อพยพมานานปี เขาย่อมมีของกับตัวอยู่แล้ว
ผู้อพยพต่างจากคนในป้อมปราการตรงที่พวกเขาเผชิญกับอันตรายมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ
หลัวหลานคุยกับตงฟู่หนานผ่านประตูอยู่สักพัก แต่พอเห็นว่าคุยไปก็ไร้ค่าจึงเบื่อไป
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “หิวน้ำก็ดื่มน้ำได้นะ”
หลัวหลานนั่งอยู่บนเก้าอี้ในลานบ้านแล้วพูดว่า “หลี่เสินถานออกจากโรงพยาบาลจิตเวชมาได้แล้วนี่น่าตกใจอยู่นะเนี่ย ตอนไปที่นั่นฉันระวังมากเพราะกลัวว่าจะปล่อยเขาออกมาสร้างปัญหา”
“มีเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจอยู่” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “พวกนายรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมมาเขามาจากสมาคมตระกูลหลี่”
ทันใดนั้นหลัวหลานก็ค่อยๆ นึกย้อนไปในบันทึกที่เคยอ่านเกี่ยวกับหลี่เสินถานมา เขามั่นใจมากว่าไม่มีข้อมูลพูดถึงสมาคมตระกูลหลี่เลย แต่ตอนนั้นเองก็จำคลิปวิดีโอทั้งสามได้ ตอนนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความเงียบเหงาเดียวดายผ่านหน้าจอ
หลัวหลานพูด “เห็นเขาเรียกตัวเองว่าเป็นบุตรที่ถูกทิ้ง หรือเขาโดนสมาคมตระกูลหลี่ขังไว้?”
“สมาคมตระกูลหลี่จะขังคนของตัวเองทำไม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ฉันจะไปรู้ไหม” หลัวหลานเบ้หน้าพูด “การทำงานภายในองค์กรไม่ได้สวยงามอย่างที่นายคิดหรอกนะ จะสู้กันเองหรือวางแผนลับหลังมีเต็มไปหมด ถ้าอยากจะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของ ‘ตระกูล’ นายต้องเหยียบพี่น้องขึ้นไป”
“แล้วมีพี่น้องมากมายขนาดไหนแล้วที่นายเหยียบขึ้นไปน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม
หลัวหลานตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ชิ่งเจิ่นกับฉันไม่มีทางเลือก เขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ งั้นเขาก็ควรขึ้นไปชนทิวทัศน์เหนือยอดเขา”
“แล้วนายล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไปเล็กน้อย หลัวหลานปกป้องน้องตัวเองมากดีเดียว
ตอนที่หวังฟู่กุ้ยขอของรางวัลที่ช่วยชีวิตเขาไปนั้น หลัวหลานพูดว่าชีวิตตัวเองไม่มีค่า แต่พอพูดชื่อของชิ่งเจิ่น หลัวหลานก็ใจกว้างขึ้นมาทันควัน
“ฉันน่ะนะ?” หลัวหลานยิ้ม “ที่ฉันมีก็แค่ชีวิตไร้ค่าชีวิตนี้เท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะรอดไปให้ได้” หลัวหลานไม่ได้ดูขุ่นเคืองใจอะไรแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาทำเช่นนี้นั้นทั้งถูกทั้งควรอยู่แล้ว น้องชายของเขาควรสูงส่งยิ่งใหญ่ ส่วนเขาคือคนไร้ค่าผู้หนึ่ง
“อ้อใช่” หลัวหลานหันมองเริ่นเสี่ยวซู่ “ช่วงนี้เก็บตัวหน่อย ขนาดสมาคมตระกูลหยางยังมาถึงป้อมนี้แล้วเลย แถมยังมีคนของบริษัทหัวจ่งซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้พรายกระซิบออกมาก่อการอีก ไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
เริ่นเสี่ยวซู่จ้องเขาด้วยสายตาว่างเปล่า “คิดว่าคำพูดพวกนั้นควรพูดกับฉันเหรอ ตอนนี้นายเป็นคนที่ไม่เก็บตัวที่สุดในป้อมปราการแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ อย่างงั้นหรอกเหรอ” หลัวหลานหัวเราะ “ฉันเด่นขนาดนั้นเลย?”
เริ่นเสี่ยวผงะ ไหงเอ็งดูภาคภูมิใจจังล่ะเฟ้ย!
“แล้วคนจากผู้ก่อจลาจลก็มาเหมือนกัน” หลัวหลานโมโห “มีคนเล็งทำลายรถของฉันมาสองรอบแล้ว ต้องเป็นคนของผู้ก่อจลาจลแน่ มีแต่พวกเขาเท่านั้นแหละที่ทำเรื่องแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล!”
ตอนนี้เองเริ่นเสี่ยวซู่ถึงได้รู้ว่าหยางเสียวจิ่นอาจจะเป็นสมาชิกองค์กรผู้ก่อจลาจล แต่เขายังมีคำถามอยู่ ก่อนหน้านี้หลัวหลานบอกมีคนจากสมาคมตระกูลหยางมาที่ป้อมปราการด้วย แล้วหยางเสียวจิ่นเกี่ยวอะไรกับตระกูลหยางหรือเปล่านะ?
“แล้วตระกูลชิ่งของนายล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่มองหลัวหลาน “สมาคมตระกูลชิ่งส่งนายมาคนเดียวเหรอไง”
“ดูถูกฉันอยู่เหรอ” หลัวหลานไม่พอใจ “ฉันคนเดียวแล้วไง ฉันคนเดียวปราบคนได้เป็นพันโว้ย”
“จ้าๆ ฉันแค่ต้องการจะสื่อว่า สมาคมตระกูลชิ่งไม่ส่งคนมาสนับสนุนนายหน่อยเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ไม่มี พวกเขากำลังวุ่นๆ อยู่กับเรื่องป้อมปราการ 113 กับเขาจิ้งซาน”
…
สภาพภูมิประเทศของป้อมปรากร 111 ไม่ได้เป็นพื้นที่ราบ ตะวันตกสูงตะวันออกเตี้ย ทั้งป้อมปราการสร้างติดภูเขา
ภูเขาที่ป้อมปราการ 111 อยู่ชื่อว่าเขาแปะก๊วย เมื่อต้นแปะก๊วยกลายเป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง ทั่วทั้งภูเขาจะกลายเป็นสีทองอร่าม ศูนย์บัญชาการของสมาคมตระกูลชิ่งก็ตั้งอยู่ที่ไหล่เขาเขานี้นี่เอง
เวลานี้มีรถขบวนใหญ่ขับออกจากตัวเมืองมายังเขาแปะก๊วย คนเดินถนนต่างดันตัวเองออกมาข้างหน้าเพื่อชมดู พวกเขารู้ว่าคนใหญ่คนโตพวกนี้คือสมาชิกสภาบริหาร
ปกติช่วงนี้ของเดือน เหล่าผู้บริหารของสมาคมตระกูลชิ่งจะขับรถไปประชุมกันที่เขาแปะก๊วย คุยเรื่องความเป็นไปของสมาคม
ตอนเย็น คฤหาสน์หลังโตบนเขาแปะก๊วยสว่างโรจน์ ที่ประชุมประกอบไปด้วยสมาชิกสิบสามคน ทั้งคนหนุ่มสาว วัยกลางคน และเฒ่าชราต่างนั่งอยู่ในห้องอย่างเงียบงัน
หัวเสือขนาดมโหฬารถูกสตาฟแขวนไว้เหนือกำแพงของห้องประชุม มนุษย์มักรื่นเริงกับงานอดิเรกอันน่ารังเกียจ ก่อนมันตาย เสือตัวนี้ถึงเป็นราชาแห่งสัตว์ร้าย แต่สุดท้ายก็ยังกลายเป็นเพียงของเล่นของมนุษย์ไป นี่แหละคืออำนาจของมนุษย์
ห้องประชุมยิ่งใหญ่อลังการราวกับไม่เคยเผชิญกับภัยพิบัติมาก่อนและทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็กุมอำนาจอยู่เสมอมา
ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ “งานของชิ่งไหว่ไปถึงไหนแล้ว”
“สองวันก่อนกำลังอ้อมเขาจิ้งซาน น่าจะถึงป้อม 113 วันนี้” ชายวัยกลางคนพูด “เดี๋ยวพอกองกำลังบูรณะก่อสร้างหลังภัยพิบัติมาถึง ก็จะรวมกลุ่มกับพวกชิ่งไหว่ไประบุพิกัดที่อยู่ของสัตว์ประหลาดที่อยู่ในปล่องภูเขา ตอนนี้เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นกลับไปจำศีลอีกครั้งแล้ว ดูเหมือนว่ามันไม่คิดจะออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ พวกเราสงสัยว่ามันอาจจะเกี่ยวเนื่องกับอุณหภูมิในภูเขาไฟ”
“ชิ่งไหว่รับมือไหวหรือเปล่า” ผู้อาวุโสในที่นั่งประธานกล่าวอย่างสงบนิ่ง “เหมืองถ่านหินใกล้ป้อม 113 สำคัญมาก พวกเราต้องสร้างใหม่ให้เร็วที่สุด”
“ชิ่งไหวไปที่นั่นพร้อมกองพลรบแล้ว จัดการกับตัวทดลองไม่กี่ร้อยไม่น่ามีปัญหาอะไร” ชายวัยกลางคนตอบ
“ทรัพยากรแถวป้อมปราการ 113 สำคัญมาก งานของกองกำลังบูรณะก่อสร้างหลังภัยพิบัติต้องเสร็จให้ไวที่สุด ชิ่งอวิ่น ติดต่อกับพวกเขาแล้วพาพวกผู้อพยพไปทำงานที่นั่น” ผู้อาวุโสกล่าว
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะยิ้มและพูด “ได้ครับ” ผมของชายหนุ่มเรียบแปล้ไปข้างหลัง เส้นผมเรียบลื่นของเขาเป็นเป็นประกายดูสง่าใต้แสงไฟ
“ดำเนินการเรื่องนี้ต้องระวังให้มาก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ที่นั่งนี่จะไม่ใช่ของเธออีก” ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มก้มหัว “รับทราบครับ”
ข้างๆ เขามีคนหัวเราะเขา “ไม่เห็นต้องโหดร้ายกับคนหนุ่มขนาดนั้นก็ได้”
ผู้อาวุโสไม่ตอบ และเปลี่ยนเรื่อง “ชิ่งเจิ่นทำอะไรอยู่”
“นอกจากไปฟังเพลงที่โรงละครทุกวันแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีก” มีคนตอบ “ฟังเพลงไปเรื่อยไม่ได้เจาะจงอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีนักร้องที่ฟังเป็นประจำด้วย”
“อืม” ผู้อาวุโสพยักหน้า “ปล่อยเขาว่างๆ แบบนั้นไป เจ้าหนุ่มนั่นนับวันยิ่งหยิ่งผยอง ต้องทำการสะกดเสียบ้าง เขาต้องเรียนรู้ได้แล้วว่าเงินทองอาจจะได้มาจากระบบซื้อขาย แต่อำนาจสั่งการล้วนเป็นสมาคมให้ไป ไม่มีบ้าน ก็ไม่มีกฎ ทั้งไม่มีอำนาจให้ใช้งานด้วย”
คนอื่นๆ ไม่ได้ออกความเห็นเรื่องนี้ ทว่าตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
ผู้อาวุโสเอ่ยเสียงนิ่ง “เข้ามา”
คนที่เดินเข้ามาคือเลขา เขากระซิบอะไรบางอย่างกับผู้อาวุโสจนเขาขมวดคิ้วมุ่น ผู้อาวุโสเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนในห้องประชุม “กองพลที่เจ็ดที่นำโดยชิ่งไหว่ถูกตัวทดลองโจมตี ตอนนี้กำลังถอยหนี มีผู้บาดเจ็บล้มตายกว่าครึ่ง”