หลัวหลานตอนอยู่ในป้อมปราการ 113 นั้นมีชื่อเสียงไม่น้อย ทั้งเขามักจะออกไปตามงานต่างๆ อย่างงานเฉลิมฉลองหรืองานเลี้ยงอยู่ตลอด และทหารจากกองกำลังส่วนตัวมีหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในงานพวกนั้น สูเสี่ยนฉู่จึงเคยเห็นหลัวหลานมาก่อน
สูเสี่ยนฉู่ตกใจไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมาเจอเข้ากับหลัวหลานเสียได้! ทว่าเขาตระหนักได้ถึงเหตุปัจจัยที่ไม่อาจเลี่ยงบางอย่างเบื้องหลังเหตุที่เหมือนจะบังเอิญนี้
ช่วงเวลาที่สูเสี่ยนฉู่ใช้ลอบเข้าป้อมปราการ 109 นั้นเป็นช่วงเวลาที่กองกำลังส่วนตัวหย่อนยานที่สุดในการตรวจตรา และคนส่วนใหญ่ก็ใช้เวลานี้ในการลักลอบของเถื่อนเข้าป้อมปราการมาด้วย
ตอนนี้สมาคมตระกูลชิ่งได้แต่ใช้วิธีลักลอบของเถื่อนขนยุทโธปกรณ์เข้าป้อมปราการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสมาคมตระกูลหลี่ แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ลอบเข้ารถลักลอบของเถื่อนเพื่อโผล่มาเจอหน้าหลัวหลานที่กำลังรับปืนเถื่อนอยู่เสียได้
แต่อาวุธปืนเต็มรถบรรทุกคันนี้ก็มากพอจะเปิดสงครามขนาดย่อม สมาคมตระกูลชิ่งคิดจะโจมตีป้อมปราการ 109 อย่างงั้นเหรอ?!
และที่ทำให้สูเสี่ยนฉู่รู้สึกยากรับได้คือ ใบหน้าเขาสกปรกขนาดนี้ทำไมคนมองแวบเดียวก็จำได้แล้วล่ะ!
สูเสี่ยนฉู่กระโดดออกจากตู้คอนเทนเนอร์ทันที เขาถีบไปที่อกของหลัวหลาน ก่อนจะวิ่งหนีออกไปตรงถนน ตอนนี้ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ถ้าไม่หนีเดี๋ยวนี้เลย ก็คงจะไม่มีโอกาสให้หนีแล้ว
หลัวหลานที่โดนถีบร้องโอ้ยลงไปนอนกองกับพื้น ตอนที่อยู่บนพื้นก็ไม่ลืมตะโกนว่า “รีบจับเขาเร็ว! ไม่ว่ายังไงก็ต้องจับให้ได้ เขาคือสูเสี่ยนฉู่!”
ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งควักปืนที่ใส่ที่เก็บเสียงเรียบร้อยแล้วออกมา ก่อนจะตามสูเสี่ยนฉู่ไปราวกับหมาล่าเนื้อฝูงหนึ่ง!
สูเสี่ยนฉู่ที่กำลังหนีหันมามองแวบหนึ่งก็ผวา ถึงเขาจะมีร่างแยกเงาไว้กันกระสุน แต่ถ้าโดนกระสุนสาดเยอะๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน!
สูเสี่ยนฉู่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เขาแค่ลอบเข้ามาอยากรู้ความลับของเขาจิ้งซานเอง จะข้ามผ่านแนวอาณาเขตที่สมาคมตระกูลชิ่งตั้งไว้ยังข้ามไปไม่ได้เลย ทำไมใจแคบกันจัง!
พวกเขาไล่ล่าไปตามท้องถนนอย่างดุเดือด คนของสมาคมตระกูลชิ่งไม่กล้ายิงออกไปตามใจ ต่อให้ปืนพวกเขามีที่เก็บเสียง แต่ถ้ากระสุนกระทบวัตถุก็เกิดเสียงไม่เบาเลย ถ้าสมาคมตระกูลหลี่รู้เรื่อง พวกเขาอาจต้องกลับเข้าท่อน้ำอีกครั้ง
จุดที่พวกหลัวหลานประจำการณ์กันนั้นอยู่ไม่ไกลจากร้านของเริ่นเสี่ยวซู่นัก หลังจากวิ่งไล่ล่ากันไม่กี่กิโลเมตร ก็โผล่มาอยู่ที่หน้าประตูร้านของเริ่นเสี่ยวซู่
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงโหวกเหวกจากข้างนอกก็สะดุ้ง เขาลอบยกประตูม้วนขึ้นมาเล็กน้อยดูว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ทว่าทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งผ่านประตูไป เริ่นหันมองไปทางที่ร่างนั้นวิ่งมา ก่อนจะต้องแปลกใจที่เห็นทหารในเครื่องแบบสีดำสี่นายกำลังไล่ล่าคนที่เพิ่งผ่านหน้าเขาไป
เดี๋ยวนะ นี่มันทหารของสมาคมตระกูลชิ่งนี่
หลังจากพวกทหารวิ่งผ่านไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยกประตูม้วนขึ้นก่อนจะเห็นคนสุดท้ายวิ่งไล่หลังมาคือหลัวหลานซึ่งวิ่งไปหอบแฮกๆ ไป เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ตามล่าใครกันอยู่น่ะ”
“สู สูเสี่ยนฉู่!” หลัวหลานหอบ “เริ่นเสี่ยวซู่ ถ้านายให้เฉินอู๋ตี๋ช่วยฉันจับสูเสี่ยนฉู่ ฉันให้แสนหยวนเลย!”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งอึ้งไป ก่อนหน้านี้แม่*คือสูเสี่ยวฉู่เหรอวะ เขามาป้อม 109 ทำไม!
เริ่นเสี่ยวซู่ถามด้วยสีหน้าแปลกๆ “เป็นสูเสี่ยนฉู่แน่นะ”
“ใช่ เป็นเขาแน่นอน!” หลัวหลานยืนกราน
เริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้ว เขาอยากช่วยนะ แต่ที่อยากช่วยไม่ใช่สมาคมตระกูลชิ่ง แต่เป็นสูเสี่ยนฉู่ที่กำลังหนีต่างหาก! เพราะถ้าสูเสี่ยนฉู่ถูกสมาคมตระกูลชิ่งจับได้ขึ้นมา เริ่นเสี่ยวซู่ได้จบเห่แน่!
เขาต้องช่วยสูเสี่ยนฉู่ให้ได้…
[ภารกิจ จงช่วยเหลือผู้ทุกข์ตรมที่กำลังหลบหนี]
เริ่นเสี่ยวซู่ล่ะสงสัยนักว่าพระราชวังเอาอะไรเป็นเกณฑ์ในการเรียกสูเสี่ยนฉู่ว่าเป็นผู้ทุกข์ตรม ฟังๆ แล้วทำให้เขาดูน่าสังเวชชอบกล
เขาพูดกับหลัวหลาน “จะล่าสูเสี่ยนฉู่ต่อก็ตามใจ ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องพวกนายสองคน” จากนั้นก็เลื่อนประตูม้วนลงโดยไม่สนใจเสียงก่นด่าที่ดังเข้ามา เริ่นเสี่ยวซู่ออกไปหลังบ้าน ปีนกำแพงขึ้นไป ก่อนจะวิ่งไปบนหลังคาตามทิศที่สูเสี่ยนฉู่วิ่งหนีก่อนหน้า
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเริ่นเสี่ยวซู่คือห้ามไม่ให้สูเสี่ยนฉู่ตกอยู่ในเงื้อมมือของสมาคมตระกูลชิ่งเด็ดขาด…
เฉินอู๋ตี๋ก็อยากไปข้างนอกด้วย แต่โดนเหยียนลิ่วหยวนหันมาส่งสายตาห้ามก่อน “อาจารย์ของนายขอให้นายเฝ้าระวังปีศาจกระดูกขาวอย่างห้ามคลาดสายตา ถ้านายทำให้เธอหนีไปได้ ฉันว่าพอเขากลับมาคงได้ร่ายคาถาบีบมงคลสามวันสามคืนแหง…”
เฉินอู๋ตี๋ได้ยินแบบนั้นก็สงบเสงี่ยมในบัดดล ความหวังของตงฟู่หนานที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาหายวับไปทันที ที่จริงเธอจะหนีก็หนีได้อยู่ ถึงจะโดนเชือกมัดอย่างแน่นหนา ถ้าพยายามหน่อยก็หลุดออกได้แล้ว แต่หลุดจากเชือกได้แล้วอย่างไรล่ะ เธอยังสู้เฉินอู๋ตี๋ไม่ได้อยู่ดี! ตงฟู่หนานคิดว่าเฉินอู๋ตี๋เป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดของแถวนี้แล้ว
เธออยากได้อิสรภาพกลับคืนนัก ไม่ดงไม่ดูดเลือดคนอีกต่อไป ถ้าได้รับอิสรภาพ เธอยอมกินมังสวิรัติตลอดชาติ
ช่วงฟ้ามืดก่อนหน้านี้ เริ่นเสี่ยวซู่ได้มาคุยดีๆ กับเธอพักใหญ่ เขาบอกว่ายาดำที่ใช้รักษาเธอนั้นไม่ใช่ให้เปล่า เธอต้องทำงานจ่ายค่ายา
แต่เธอจะจ่ายค่ายาอย่างไร ให้ล้างจานโดยมีเฉินอู๋ตี๋คุมกำกับเหรอ…
ตงฟู่หนานสิ้นหวังแล้วจริงๆ ความโหดร้ายของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต่างกับตอนที่สมาคมเอารัดเอาเปรียบผู้อพยพเลย! เธอล่ะอยากถามนักว่าเงินที่หลัวหลานจ่ายเขานั้นเขาเอาไปทำอะไรหมด แต่ปากเธอยังชาไม่หายจนเปล่งเสียงอะไรไม่ได้ เริ่นเสี่ยวซู่ยังพูดด้วยว่า ถ้าเธอไม่เอ่ยอะไรแสดงว่าเธอยอมรับตามนั้นแล้ว
ตอนนี้ตงฟู่หนานโหยหาอิสรภาพเสียยิ่งกว่าอะไร ต่อให้เผชิญกับเฉินอู๋ตี๋เธอยังรับไหว ทว่าที่เธอกังวลที่สุดคือเหยียนลิ่วหยวนต่างหาก
จะหลอกล่อเฉินอู๋ตี๋ที่ซื่อๆ นั้นไม่ยากเลย ถ้าเธออยู่กับเฉินอู๋ตี๋แบบสองต่อสอง เธอคงโน้มน้าวให้เขาปล่อยเธอไปได้แล้ว แต่เหยียนลิ่วหยวนนั้นจับตามองเธอตลอดเวลา แถมเขายังฉลาดมาก บวกระมัดระวังตัวแจอีก เธอหลอกเขาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังเร่งความเร็วจนสุดฝีเท้า กระโดดไปตามหลังคาบ้านเรือน เพียงไม่กี่นาที เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของสมาคมตระกูลชิ่ง
เขาหันไปหาสูเสี่ยนฉู่ที่นำอยู่ข้างหน้า ก่อนจะต้องประหลาดใจที่เห็นเขาวิ่งสุดชีวิตโดยมีหลัวหลานและคนของเขาตามหลังไปติดๆ ที่เริ่นเสี่ยวซู่งุนงงคือสมรรถภาพร่างกายของสูเสี่ยนฉู่น่าจะเหนือกว่าคนธรรมดาไปแล้ว ทำไมเขาถึงได้วิ่งช้านักล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้สูเสี่ยนฉู่หิวท้องกิ่วสุดๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่วิ่งช้าขนาดนี้
เริ่นเสี่ยวซู่ตามพวกเขาทันแล้ว แต่ในใจกำลังคิดวิธีอยู่ว่าจะช่วยสูเสี่ยนฉู่อย่างไรให้ไม่ผิดใจกับหลัวหลาน เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าฉันมีพลังสุดเทพไว้ลอบตีคนหรอกเหรอ
วินาทีต่อมา หลัวหลานก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากชายคาข้างหน้า ก่อนจะตบหน้าผากจนเขาจนลงไปนอนกองกับพื้น
หลัวหลานรู้จักพลังเปิดประตูเงาอยู่แล้ว นี่มันพลังของลั่วซินอวี่นี่ เขาคำรามอย่างหัวร้อน “ลั่วซินอวี่ ปู่เอ็งสิ! ผู้ก่อจลาจลอย่างพวกแกนี่ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ โว้ย!”