the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 165 เริ่นเสี่ยวซู่ นายเป็นคนดีจัง

ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้คิดจะตบหน้าผากของหลัวหลานหรอก ความตั้งใจเดิมคือกะจะเปิดประตูแล้วดึงตัวหลัวหลานไว้ อย่างไรพวกเขามีสายสัมพันธ์ไม่เลว ทั้งเริ่นเสี่ยวซู่มีความรู้สึกนับถือหลัวหลานกับพวกทหารอยู่ส่วนหนึ่งด้วย ต่อให้เขาอยากช่วยสูเสี่ยนฉู่ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้พวกเขานัก

ที่ตบหน้าผากหลัวหลานนั้นถือว่าพลาดล้วนๆ เป็นเพราะเขายังควบคุมประตูเงาไม่ได้อย่างเต็มที่

ในเมื่อหลัวหลานเข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือของลั่วซินอวี่ก็เยี่ยมเลย ก่อนหน้านี้เธอกับหยางเสียวจิ่นขัดขวางเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าสามารถทำให้สมาคมตระกูลชิ่งเบี่ยงความสนใจไปที่พวกเธอได้ เขายอมตบหน้าผากหลัวหลานอีกสักสองสามที

เริ่นเสี่ยวซู่ปิดประตูเงาและเปิดอีกครั้ง ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยทันที พวกเขาต่างกลัวว่าประตูเงาจะผลุบมาเปิดข้างกายตน

ประตูเงาลึกลับทำให้สมาคมตระกูลชิ่งเสียขบวนไปในชั่วพริบตา ไม่รู้ว่ามือข้างนั้นจะไปโผล่อยู่กับใคร!

ทว่าไม่ใช่แค่พวกเขาหรอกที่คิดแบบนั้น เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าประตูเงาจะไปโผล่ที่ไหน

เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ ไม่รู้กระทั่งว่าประตูเงาจะไปโผล่ที่ไหน เขาบรรลุวิถีสูงสุดแห่งแดนที่ไม่รู้แล้ว!

พลังประตูเงานั้นใช้การได้ดีมากเพราะยากป้องกัน

พูดตามตรง ต่อให้เป็นลั่วซินอวี่ที่เป็นเจ้าของดั้งเดิมของประตูเงาเองก็ยังไม่สามารถใช้มันได้มีประสิทธิภาพเท่าเริ่นเสี่ยวซู่เพราะจำนวนการเปิดประตูเงาของเธอนั้นไม่มากเท่าเริ่นเสี่ยวซู่ เพราะอย่างนี้ เธอถึงใช้ประตูเงาเท่าที่จำเป็น

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เรื่องนั้น เขานึกว่าประตูเงาไม่ได้ใช้พลังจิตใจอะไร

ถังโจวหันไปมองหลัวหลานแล้วถาม “เจ้านาย เอายังไงดีครับ”

หลัวหลานพูดอย่างขุ่นเคือง “นายเห็นยัง ฝ่ายเราไม่มีผู้มีพลังพิเศษเลยโคตรเสียเปรียบ ทำไมพวกนายอ่อนแอจังเนี่ย อย่างน้อยก็ควรปลุกพลังพิเศษขึ้นมาสักคนไหม”

ถังโจวตอบ “ครับๆ พวกเราจะพยายามปลุกพลังครับ…”

แม้จะโดนหลัวหลานบ่น แต่พวกเขาไม่ใส่ใจ อย่างไรเถ้าแก่หลัวก็ปากเสียอยู่แล้ว

หลัวหลานถอนหายใจ “ถอยกันก่อนแล้วกัน ถ้าตามต่อ อาจจะมีปีศาจโผล่มาต่อก็ได้”

“เจ้านาย” ถังโจวสงสัย “สูเสี่ยนฉู่เป็นสมาชิกของผู้ก่อจลาจลอย่างงั้นเหรอ ทำไมจู่ๆ ลั่วซินอวี่ออกมาตอนเราตามล่าเขาล่ะ”

“ไม่หรอก” หลัวหลานปฏิเสธ “ดูจากสภาพน่าสมเพชของสูเสี่ยนฉู่แล้ว เขาไม่มีทางเป็นสมาชิกของผู้ก่อจลาจลแน่”

“ก็จริง” ถังโจวพยักหน้า

พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกหลัวหลานล่าถอยไปแล้วก็โล่งอก ตราบใดที่สูเสี่ยนฉู่ไม่โดนพวกเขาจับไปทุกอย่างก็ง่ายแล้ว เขามองไปทางทิศที่สูเสี่ยนฉู่หนี หลังจากคิดคำนวณพักหนึ่ง ก็ตัดสินใจไล่ตามเขาไป

สูเสี่ยนฉู่ต้องมาเป็นแพะรับบาปเรื่องเขาจิ้งซานแบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ สูเสี่ยนฉู่กลายมาเป็นอาชญากรที่สมาคมชิ่งต้องการตัวมากที่สุดทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงแม้เริ่นเสี่ยวซู่จะทำลงไปเพราะหมดทางเลือก แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนี้หรอก

สูเสี่ยนฉู่ยังต้องเป็นแพะรับบาปต่อไป แต่เริ่นเสี่ยวฉู่ต้องมีอะไรชดเชยการเป็นแพะของเขาเสียหน่อย

เริ่นเสี่ยวซู่มองหาสูเสี่ยนฉู่ระหว่างกระโจนไปตามหลังคาบ้านต่างๆ พอเขาเห็นสูเสี่ยนฉู่ ก็ต้องเลิกคิ้วสูง สูเสี่ยนฉู่หลบพักหายใจอยู่บนหลังคาบ้านชั้นเดียวแห่งหนึ่ง เขาดูเหนื่อยมาก

เขาตะโกนเรียกเสียงต่ำ “สูเสี่ยนฉู่!”

สูเสี่ยนฉู่สะดุ้งตัวขึ้นมาเตรียมรับมือทันที เริ่นเสี่ยวซู่รีบพูด “ฉันเอง เริ่นเสี่ยวซู่!”

สูเสี่ยนฉู่นิ่งไป จากนั้นเขาก็เหมือนได้พบหน้าครอบครัวอีกครั้ง “เริ่นเสี่ยวซู่ นายมาทำอะไรที่นี่!”

“อืม คือเรื่องมันยาวอยู่ ฉันกลับป้อม 113 ไปแปปเดียวป้อมก็ถล่มน่ะ เลยได้แต่หนีมาอยู่ที่นี่” เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดขึ้นมาบนหลังคาที่สูเสี่ยนฉู่อยู่ ถาม “แล้วทำไมนายถึงมาที่นี่ล่ะ”

“พูดแล้วเศร้า” สูเสี่ยนฉู่พูดด้วยสีหน้าอึมครึม “ตอนแรกกะไปป้อม 112 แต่ที่นั่นก็ถล่มลงมาแล้วเหมือนกัน เลยมุ่งหน้าไปทางป้อมปราการ 111 แล้วก็พบว่าฉันกลายเป้าหมายสูงสุดของสมาคมตระกูลชิ่งเสียแล้ว”

ตอนเห็นหน้าสูเสี่ยนฉู่ เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรสหายสายหนึ่ง อย่างไรพวกเขาก็เดินทางร่วมกันอยู่พักหนึ่งตอนอยู่ในเขาจิ้งซาน ถึงระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันจะไม่นานนัก แต่เรื่องที่เผชิญด้วยกันมากมายก็ทำให้พวกเขารู้จักกันมากขึ้น มีสายสัมพันธ์แนบแน่นขึ้น

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “นายหนีมาที่นี่จากป้อม 111? แล้วทำยังไงถึงไปเจอหน้าหลัวหลานได้ล่ะ”

สูเสี่ยนฉู่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ฉันซ่อนอยู่ในรถขนของเถื่อนที่บังเอิญเป็นรถที่เจ้าอ้วนหลัวใช้ลักลอบปืนเถื่อนเข้ามาน่ะสิ เอ๋ ปืนพวกนั้นคงไม่ได้เอามาจัดการนายหรอกนะ! ไม่นึกเลยว่าหลัวหลานจะมาที่นี่จับนายจริงๆ นายต้องระวังตัวนะ เขาเอาอาวุธเข้ามาเยอะเลย!”

จากมุมมองของสูเสี่ยนฉู่ เขาไม่รู้เลยว่าหลัวหลานจะขนอาวุธมากมายเข้าป้อมปราการมาทำไม ในเมื่อป้อมปราการ 113 พังลงไปแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกของสมาคมตระกูลชิ่ง เขาก็สมควรกลับป้อมปราการ 111 สิ

สูเสี่ยนฉู่ไม่รู้เลยว่าหลัวหลานกลับไปยังสมาคมตระกูลชิ่งไม่ได้ เพราะถ้ากลับไป เขาคงถูกคุมขังในบ้านเหมือนชิ่งเจิ่น

สูเสี่ยนฉู่ไม่รู้เสียแล้วว่าหลัวหลานไปทิ้งระเบิดลูกใหญ่ขนาดไหนในป้อมปราการ 109 ไหนจะที่เขากำลังเตรียมตัวสู้รบกับคนของบริษัทหัวจ่งที่ยังซ่อนตัวอยู่ในป้อมปราการอีก

เขาได้ยินเสียงหลัวหลานก่นด่าลั่วซินอวี่อยู่ไกลๆ จึงพอเดาได้ว่าที่เขาหนีมาอย่างง่ายดายนั้นน่าจะเป็นเพราะฝีมือของลั่วซินอวี่ ก่อนหน้านี้สูเสี่ยนฉู่ไม่รู้มาก่อนว่าลั่วซินอวี่เป็นผู้มีพลังพิเศษด้วย อย่างไรตอนอยู่เขาจิ้งซานเขาก็ไม่ได้เข้าไปในอาณาเขตของสมาคมตระกูลชิ่งด้วย แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าลั่วซินอวี่ไม่น่าจะเป็นคนธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก

ว่าแล้วสูเสี่ยนฉู่ก็คิดว่าที่หลัวหลานลอบขนอาวุธปืนเข้ามานั้นเป็นเพราะจะจับเริ่นเสี่ยวซู่กับลั่วซินอวี่

สูเสี่ยนฉู่ที่กังวลไม่หายพูด “พวกนายหนีการตามล่าจากสมาคมตระกูลชิ่งอย่างยากลำบากมาตลอดเลยสินะ”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “อืม ลำบากจริง…”

“นายคิดว่าทำไมตระกูลชิ่งถึงทุ่มสุดตัวตามจับเราแบบนี้” สูเสี่ยนฉู่ถามคำถามที่เขาหนักใจที่สุดออกมา

เริ่นเสี่ยวซู่ตอบด้วยสีหน้าเหยเก “ไม่รู้เหมือนกัน…”

ตอนนี้สูเสี่ยนฉู่ควักวอโถว[1]ครึ่งลูกออกมาแล้วถาม “หิวไหม”

ไม่รู้ทำไมแต่อารมณ์ของเขาพลันจุกอยู่ที่คอ “ฉันไม่หิวหรอก สูเสี่ยนฉู่ นายเป็นคนดีมากเลย”

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ถึงกับคิดจะไปมอบตัวกับสมาคมตระกูลชิ่งด้วยซ้ำ…

เขาหยิบจดหมายกับเงินปึกหนึ่งจากกระเป๋า “เอานี่ไป”

สูเสี่ยนฉู่ผงะ “นี่คืออะไรน่ะ”

“เงินห้าพันหยวนกับจดหมาย” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “เอาจดหมายนี้ไปป้อมปราการ 178 แล้วหาคนที่ชื่อว่าจางจิ่งหลินนะ เขาจะจัดหาที่ทางให้นายเอง”

นี่เป็นเรื่องที่จางจิ่งหลินสัญญากับเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ ทว่าตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่จะนำมันมอบให้สูเสี่ยนฉู่

พอนึกไปถึงคุณจาง เริ่นเสี่ยวซู่มีความรู้สึกว่าคนอย่างสูเสี่ยนฉู่จะเฉิดฉายในนอกด่านแน่นอน

เดิมทีพวกเริ่นเสี่ยวซู่ก็มีเงินไม่มากอยู่แล้ว ถึงตอนนี้กิจการจะค่อยๆ เข้าร่องเข้ารอย แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้มีเงินมากมายอะไรอยู่ดี

แม้เขาจะหลอมทองไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่เอามามอบให้สูเสี่ยนฉู่ไม่ได้อยู่ดี ไม่อย่างนั้น…สูเสี่ยนฉู่คงอนุมานได้ว่าอะไรเป็นอะไร…

สูเสี่ยนฉู่ถาม “ป้อมปราการ 178 เหรอ ฉันคิดจะไปแสวงโชคอยู่ที่นั่นพอดีเลย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าจางจิ่งหลินคือใคร แต่ฉันขอขอบคุณนายไว้ก่อนเลยแล้วกัน! เริ่นเสี่ยวซู่ นายเป็นคนดีจัง!”

[ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากสูเสี่ยนฉู่ +1!]

พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นเหรียญคำขอบคุณ ใจพลันเกิดอารมณ์ซับซ้อน…

ตอนนั้นเอง เงาสีดำหลายร่างค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองรอบๆ แล้วต้องตะลึงไปที่ตนถูกคนพวกนั้นล้อมไว้แล้ว แต่ว่าเขาไม่เคยเจอคนพวกนี้มาก่อนนี่

ตอนที่พวกเขาเข้ามาใกล้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นโลโก้รูปเปลวเพลิงเล็กๆ บนอกเสื้อ

[1] วอโถว อาหารชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งข้าวโพด แป้งข้าวฟ่าง หรือธัญพืชอื่นๆ มีลักษณะเป็นโคน ตรงก้นเป็นหลุม เรียกว่า วอวอโถวได้เช่นกัน

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset