พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นโลโก้ของบริษัทหัวจ่งปักบนเสื้อก็ตระหนกขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งได้รู้จักว่าบริษัทหัวจ่งเป็นอย่างไรคร่าวๆ ความกระหายอยากได้เลือดของผู้มีพลังพิเศษของพวกเขา ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ใส่พวกเขาไว้ในรายชื่อองค์กรที่ควรระวังที่สุด ตอนที่สมาคมตระกูลหลี่ไล่คนของบริษัทหัวจ่งออกไปนั้นเขาโล่งอกยกใหญ่ เพราะเขากลัวว่าตัวตนผู้มีพลังพิเศษของเฉินอู๋ตี๋จะถูกเปิดโปงแล้วไปดึงดูดความสนใจพวกเขาเข้า
ทว่าหลังจากนั้นทั้งหลัวหลานและหยางเสียวจิ่นต่างบอกว่ายังมีคนของบริษัทหัวจ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในป้อมปราการ
และเป้าหมายของพวกนั้นคืนนี้คือตัวเขาและสูเสี่ยนฉู่
สูเสี่ยนฉู่ถามเสียงเบา “พวกเขาคือคนของบริษัทหัวจ่ง?”
เรื่องโลกภายนอก สูเสี่ยนฉู่รู้น้อยกว่าเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเห็นได้ชัด เริ่นเสี่ยวซู่ยืนยัน “ระวังตัวด้วย พวกเขาไม่ได้มาดี พวกเขาชำนาญด้านการจับตัวผู้มีพลังพิเศษ”
สูเสี่ยนฉู่ผงะ ก่อนจะพูด “อย่างงี้นี่เอง” จากนั้นเขาก็ควักปืนที่นำมาจากป้อมปราการ 113 ตลอดการเดินทางออกมา เขาไม่ได้ใช้มันเท่าไรนัก
ยิงปืนออกไปมีแต่จะดึงดูดปัญหามามากกว่าเดิม แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ
เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจสภาพแวดล้อม แล้วเห็นว่าหลังคาบ้านเรือนแถวนี้ต่างสูงเท่ากันหมด คนของบริษัทหัวจ่งทั้งสี่ยืนคุมอยู่ทางทิศเหนือใต้ออกตกราวกับคิดจะล้อมตีเริ่นเสี่ยวซู่และสูเสี่ยนฉู่ และพวกเขาดูไม่คิดจะปล่อยพวกตนให้รอดไปได้แม้แต่น้อย คืนนี้คงต้องสู้ตายแล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากใช้พลังเรียกร่างแยกเงาตอนสูเสี่ยนฉู่อยู่ด้วย…
ชายหนุ่มคนหนึ่งหัวเราะ “พวกเราก่อนอรุณลงมือไม่เคยพลาด ทำไมพวกนายสองคนไม่ยอมๆ ไปซะจะได้ประหยัดเวลาพวกเราล่ะ”
สูเสี่ยนฉู่อึกอัก ก่อนพูด “ก่อนอรุณ? แต่นี่พระอาทิตย์ขึ้นแล้วนะ ดูเวลาผิดหรือเปล่า…”
ชายหนุ่มจากกองกำลังก่อนอรุณผงะ เขาพลันตระหนักได้ว่าสูเสี่ยนฉู่ไม่น่าเคยได้ยินเรื่องกองกำลังก่อนอรุณมาก่อน
เริ่นเสี่ยวซู่ล่ะสงสัยนักว่าเจ้าโง่นี่โผล่มาจากไหน อยากจะสู้กันก็ไสหน้าเข้ามา จะโม้ทำเพื่อ…
จากนั้นสูเสี่ยนฉู่กับเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยกปืนยิงทันทีอย่างพร้อมเพรียงเหมือนนัดกันไว้ก่อน!
เสียงปืนดังสนั่นไปทั่ว ราวกับคิดจะทำให้คนในป้อมปราการตกใจตื่นอย่างไรอย่างนั้น
การสู้สุดชีวิตไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ไม่ต้องสนแล้วว่าผลกระทบหลังจากนี้คืออะไร เพราะทันทีที่เริ่มต่อสู้ สิ่งที่ต้องคิดอย่างเดียวคือเอาชนะ!
เริ่นเสี่ยวซู่กับสูเสี่ยนฉู่ยกปืนยิง แต่เป้าหมายพวกเขาก็เอียงเขาหลบทันทีเช่นกัน พวกเขาคำนวนวิถีกระสุนของเริ่นเสี่ยวซู่แล้วสูเสี่ยนฉู่ได้ในชั่วพริบตา ร่างกายเกิดปฏิกิริยาโดยฉับพลัน
ไม่มีการเคลื่อนไหวที่เสียเปล่า แค่เอียงหัวเล็กน้อยก็หลบกระสุนได้หมด
เริ่นเสี่ยวซู่ใจตกอยู่ตาตุ่ม ถึงว่าทำไมพวกเขาถึงโม้ไม่หยุด พวกเขาเก่งกาจขนาดนี้เลย?
ที่จริงวิถีกระสุนระยะใกล้เช่นนี้เริ่นเสี่ยวซู่เองก็สามารถคำนวนหลบได้จากองศายิงของมือปืน แต่ถ้าคู่ต่อสู้ทุกคนอยู่ระดับนี้หมด เขากับสูเสี่ยนฉู่อาจจะต่อกรไม่ไหว
แม้สูเสี่ยนฉู่จะมีร่างแยกเงา แต่ตอนนี้พละกำลังเขาค่อนข้างอ่อนแอ และคงได้แต่กลายเป็นตัวถ่วงของกลุ่มในที่สุด
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองคนของก่อนอรุณ จำได้ว่าหยางเสียวจิ่นเคยพูดเรื่องที่แผนการของบริษัทหัวจ่งที่โดนหลัวหลานป่วนสำเร็จได้เพียงเพราะกองกำลังก่อนอรุณไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยตอนนั้น และเธอไม่ได้พูดล้อเล่นด้วย
ในใจลอบหาทางรับมือสถานการณ์ยากลำบากนี้ แต่สมาชิกบริษัทหัวจ่งทั้งสี่รอบเขาดูสงบนิ่งไม่รีบร้อน นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกกดดันนัก
ถ้าพวกเขาพยายามหนี เริ่นเสี่ยวซู่อาจจะหนีได้ก็ได้ แต่จะให้สูเสี่ยนฉู่หนีได้อย่างปลอดภัยนั้นไม่ง่ายเลย
อีกทั้งถ้าตอนนี้เขาเป็นเป้าหมายไปแล้ว ในอนาคตเขาจะหลบเลี่ยงปัญหาต่อได้จริงๆ หรือ
พวกเขาน่าจะไล่ตามสูเสี่ยนฉู่มาหลังจากดูการไล่ล่าของพวกหลัวหลาน พวกเขาเหมือนตั้งใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะจับสูเสี่ยนฉู่ให้ได้ ถึงเริ่นเสี่ยวซู่หนีไปตอนนี้ บริษัทหัวจ่งต้องพลิกป้อมปราการหาเขาอยู่ดี
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเรียบ “พวกนายคิดจะทำอะไรกับพวกเราหลังพาพวกเราไป”
“อุทิศเพื่อการอยู่รอดของมวลมนุษย์” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำของกลุ่มยิ้ม แล้วพูด “คิดดูนะ ถ้ายีนส์พวกนายได้กลายเป็นยีนส์บรรพบุรุษของมนุษยชาติที่ก้าวหน้าในด้านการปรับแต่งพันธุกรรมมันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน มนุษยชาติทุกคนจะจำชื่อพวกนายได้”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ส่วนพวกนายก็คือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการปรับแต่งพันธุกรรมงั้นสิ?”
“ใช่แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอ่ย “พวกนายจะได้จารึกไว้ในพงศาวดารแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และราคาที่พวกนายต้องจ่ายก็แค่การเสียอิสรภาพเท่านั้นเอง”
“แล้วถ้าฉันเลือกอิสรภาพแทนล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม จากนั้นก็ฉีกเสื้อชายเสื้อออก เขาคิดจะเอามาผูกกับมือปล่อยให้ถูกลมพัดปลิวไสว
ชายหนุ่มจ้องเริ่นเสี่ยวซู่ “ถ้านายเลือกอิสรภาพ ฉันกลัวว่านายต้องจ่ายสิ่งที่นายจ่ายไม่ไหวน่ะสิ”
ชาวป้อมปราการใกล้เคียงได้ยินเสียงปืนจนตื่นขึ้นมา ในช่วงเช้ามืดนั้น หลายครัวเรือนเปิดไฟบ้าน เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าพวกสมาคมตระกูลหลี่ไม่ก็อำนาจหลักฝ่ายอื่นๆ คงมาถึงในไม่ช้า
เริ่นเสี่ยวซู่สงบนิ่งอย่างที่สุด เขามองไปที่ชายหนุ่มแล้วเอ่ย “อิสรภาพมีราคา ยิ่งทำให้อิสรภาพมีคุณค่ายิ่งขึ้น”
เศษผ้าที่ตอนแรกกวัดแกว่งหยุดลง อากาศกลางฟ้าดินราวแข็งค้าง สายลมพลันมลายหาย
ในใจเริ่นเสี่ยวซู่พึมพำ ตอนนี้แหละ!
พริบตานั้นจิตสังหารก็พวยพุ่งเข้ามาราวอสนีบาต
ชายหนุ่มที่กำลังพูดเห็นโลหิตระเบิดออก เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วอากาศ สร้างเป็นรูปพัดขนาดมโหฬารกระจายไปทั่วหลังคา
กระสุนพุ่งมาหลายร้อยเมตร เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเลือดสาดกระเซ็นแล้วถึงค่อยได้ยินเสียงปืนดังมา
โลหิตสีแดงและความมืดขุ่นคลักเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ขอบคุณนะ
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มสดใส เขาพูดกับสูเสี่ยนฉู่ “ไปจัดการคนทางซ้าย”
พูดจบเริ่นเสี่ยวซู่ก็กระโดดจากหลังคาไปทางขวา แนวล้อมสี่คนมีช่องโหว่แล้ว เป็นทางออกที่หยางเสียวจิ่นสร้างให้!
ไม่มีทางที่จะมีกระสุนสไนเปอร์มาอีกนัด เริ่นเสี่ยวซู่รู้เรื่องนี้ดี ต่อให้มีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติ จะยิงปืนใส่ผู้มีพลังพิเศษที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในระยะหลายร้อยเมตรนั้นแทบเป็นไปไม่ได้…ยกเว้นแต่ว่าหยางเสียวจิ่นเป็นเทพล่ะนะ! เพราะอย่างนั้น เริ่นเสี่ยวซู่จึงได้แต่พึ่งตัวเอง
เพราะการกระทำของเริ่นเสี่ยวซู่ สนามรบจึงแบ่งเป็นสองส่วน คนของก่อนอรุณทั้งสาม หนึ่งอยู่กับสูเสี่ยนฉู่ ส่วนอีกสองไล่ตามเริ่นเสี่ยวซู่มา
ที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่บนหลังคาต่อเพราะเขาคิดจะทุ่มสุดตัว เขาต้องหาสถานที่ลับตาผู้คน ไพ่ไม้ตายทุกอย่างจะใช้ออกหมด!
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดลงไปที่ตรอกแห่งหนึ่งนั้น สมาชิกกองกำลังก่อนอรุณทั้งสองก็กระโดดลงมาเช่นกัน แต่ก่อนที่จะได้ไล่ล่าต่อนั้น พวกเขาก็เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่รั้งฝีเท้า ใช้หนึ่งร่างปิดกั้นพวกเขาไว้ในตรอก!
พวกเขามองหน้ากัน สงสัยนักว่าชายหนุ่มผู้นี้เอาความมั่นใจมาจากไหน กล้าสู้กับพวกเขาสองคนเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ!