วิลล่าตระกูลฉู่ เหลิ่งรั่วปิงลงจากรถก่อน เธอยังไม่ทันได้ปิดประตูรถ ฉู่เทียนรุ่ยก็ยิ้มร่าวิ่งเข้ามา “หนิงซยา กลับมาแล้วเหรอ” รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหยุดชะงักทันทีที่เห็นไซ่หย่าเซวียน “วันนี้พี่ไม่มีเวลาเล่นกับเรานะ พี่ยุ่งมาก”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไซ่หย่าเซวียนคงรีบวิ่งไปเอาอกเอาใจเขา วิ่งไปคล้องแขนฉู่เทียนรุ่ยพร้อมกับทำตัวน่ารัก คลอเคลียดกับเขาไม่หยุด แต่วันนี้เธอกลับเชิดหน้าขึ้น ยิ้มพราวเสน่ห์ “พี่ฉู่เทียนรุ่ย พี่คิดมากเกินไปแล้วค่ะ ฉันมาเรียนทำอาหารกับหนิงซยา”
“?” ฉู่เทียนรุ่ยขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ วันนี้เขารู้สึกว่าไซ่หย่าเซวียนไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่เพียงแค่สไตล์การแต่งตัวที่เปลี่ยนไป ท่าทีของเธอก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อกี้เธอเรียกเขาว่า “พี่ฉู่เทียนรุ่ย” ไม่ได้เรียกว่า “พี่เทียนรุ่ย” เหมือนว่าเธอโตขึ้นในชั่วข้ามคืนวัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองไซ่หย่าเซวียนอีกครั้ง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอสวยกว่าเมื่อก่อน
ทว่าทางด้านไซ่หย่าเซวียน หลังจากที่พูดประโยคแรกกับเขาจบ เธอก็ไม่มองเขาอีก เธอเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วเดินไปช่วยเหลิ่งรั่วปิงถือของที่ซื้อมาวันนี้ ผมยาวสลวยต้องแดดยามเย็น ลมในต้นฤดูหนาวพัดชายกระโปรงของเธอพลิ้ริ้วไสว ทำให้เธอดูมีเสน่ห์
เวลาแค่หนึ่งวัน ไซ่หย่าเซวียนก็ไม่ใช่เด็กน้อยเอาแต่ใจ คอยวิ่งตามผู้ชายหญิงอีกแล้ว!
เหลิ่งรั่วปิงถือวัตถุดิบที่ซื้อมา ส่งยิ้มให้กับฉู่เทียนรุ่ยอย่างมีเลศนัย “ก่อนหน้านี้ฉันรับปากว่าจะทำอาหารให้พี่กิน วันนี้ฉันมีเวลาพอดีก็เลยกลับบ้านมาทำบะหมี่ไก่ตุ๋นให้พี่” ขณะที่พูดเหลิ่งรั่วปิงก็ยื่นวัตถุดิบให้เขาดู “อาหารชาวบ้านแบบนี้ พี่คงไม่ถือสาใช่ไหมคะ”
“…ไม่” ฉู่เทียนรุ่ยส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ดึงสติตนเองกลับมาจากไซ่หย่าเซวียนไม่ได้
ไซ่หย่าเซวียนทำได้ดีมาก หลังจากที่เหลิ่งรั่วปิงให้คำแนะนำเล็กน้อย เธอก็สามารถทำออกมาได้ดี หางตาของเธอเหลือบมองเห็นท่าทีตกตะลึงของฉู่เทียนรุ่ย รู้สึกภูมิใจมาก แต่ว่าสีหน้าของเธอยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เธอทำหน้านิ่งแล้วเดินตามเหลิ่งรั่วปิงเข้าไปในวิลล่า
ฉู่เทียนรุ่ยเดินตามหลังผู้หญิงทั้งสองคนเข้าไป เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างบินออกมาไปจากปลายนิ้วของเขาด้วยความรัก บินวนไปมาจนเขาจั๊กจี้หัวใจ ถูกไซ่หย่าเซวียนวิ่งไล่ตามมานานกว่าสิบปี รำคาญเธอมานานกว่าสิบปี วันนี้พอเธอไม่สนใจเขา เขากลับไม่ได้รู้สึกโล่ง ในทางกลับกันเขารู้สึกว่างเปล่า นี่มันเห็นผีชัดๆ!
ถ้าเป็นปกติเวลาไซ่หย่าเซวียนมาที่บ้าน เขาจะหมกตัวอยู่ในห้องทำงานไม่ยอมออกมา โดยเอาเรื่องงานมาเป็นข้ออ้างในการหลบหน้า แต่วันนี้เขากลับเดินตามเข้าไปในห้องครัว มองดูผู้หญิงทั้งสองคนที่กำลังพูดคุยหยอกล้อ พร้อมกับเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำบะหมี่ไก่ตุ๋น จู่ๆ ฉู่เทียนรุ่ยก็ทำตัวไม่ปถูก
เดิมทีเขาคิดว่าวันนี้ไซ่หย่าเซวียนจะแกล้งทำเป็นเมินเขา เพื่อที่เรียกร้องความสนใจ เขาคิดว่าเธอคงทำได้ไม่นานก็คงกลับมาตามตื๊อเขาเหมือนที่ผ่านมา แต่ฉู่เทียนรุ่ยยืนอยู่นานก็ไม่เห็นเธอสนใจเขา ไซ่หย่าเซวียนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกทำอาหารกับเหลิ่งรั่วปิง
เธอไม่คิดจะยุ่งกับเขาแล้วจริงๆ?
หรือว่าเสน่ห์ของเขาลดลง?
ฉู่เทียนรุ่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เหลิ่งรั่วปิงปิดฝาหม้อดิน เธอหันมาส่งยิ้มหวาน “พี่คะ พี่ยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว มีอะไรอยากจะพูดเหรอคะ หรือว่าอยากฝึกทำอาหาร?”
“แค่ฮ่กๆ!” ฉู่เทียนรุ่ยไอแห้งสองที เขากลอกตาไปมาด้วยความเลิ่กลั่ก เหมือนว่าถูกคนอื่นอ่านความคิด “พี่แค่มาคอยดูพวกเธอ ดูว่าอาหารที่พวกเธอทำนั้นถูกสุขอนามัยหรือรึเปล่า เท่าที่ดูก็ถือว่าทำได้ไม่เลว ทำกันต่อเถอะ พี่ไปทำงานก่อน”
ประตูห้องครัวปิดลง ไซ่หย่าเซวียนเปลี่ยนเป็นคนละคนทันที เธอกระโดดหอมแก้มเหลิ่งรั่วปิงด้วยความดีใจ “หนิงซยา วิธีของเธอดีมาก เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่าพี่เทียนรุ่ยเอาแต่แอบมองฉัน ฮ่าๆ”
นอกจากหนานกงเยี่ยแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เหลิ่งรั่วปิงไม่เคยถูกหอมแก้มแบบนี้มาก่อน เธอรู้สึกขนลุรุกไปทั้งตัว “อื้ม ทำต่อไปนะ”
*****
เวลาหัวค่ำ หนานกงเยี่ยลากร่างที่อ่อนเพลียของตนเองกลับไปยังวิลล่าหย่าเก๋อ
ตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงไปจากเมืองหลง เขาก็อยู่ที่วิลล่าหย่าเก๋อตามลำพังมาโดยตลอด อาศัยคลิปบันทึกเสียงและกลิ่นหอมของเธอที่เหลืออยู่ จึงจะทำให้เขากินข้าวกินปลาและนอนหลับได้บ้าง ถึงแม้จะทำแบบนี้ ในทุกคืนกว่าเขาจะนอนหลับก็ดึกมากแล้ว ช่วงหัวค่ำหนานกงเยี่ยเอาแต่เอนตัวลงบนเตียง นอนเหม่ออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งกลางดึก เขาจะรู้สึกปวดหัวเหมือนมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ กอดหมอนที่เธอเคยหนุนแล้วฝืนหลับไป
วิลล่าหย่าเก๋อเป็นที่เดียวที่สามารถปลอบประโลมเขาได้ ถ้าไม่มีที่นี่ จิตวิญญาณที่คอยเหนี่ยวรั้งเป็นฟางเส้นสุดท้ายก็คงจะขาดลง
วันนี้ หลังจากที่เขาได้รู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงอยู่ที่ไหน ใจของเขาได้ไปอยู่ที่ประเทศเอ้าตูแล้ว วิลล่าหย่าเก๋อเป็นแค่ภาพความทรงจำเท่านั้น วิลล่าหย่าเก๋อเป็นแค่เครื่องมืออย่างหนึ่ง เวลาที่อยู่ที่นี่ เขาก็จะหวนนึกถึงภาพวันเก่าๆ ทุกครั้งเวลาคิดถึงเธอ จึงจะทำให้เขารู้ว่าตัวนเองยังมีความรู้สึก
เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยกลับมา พ่อบ้านรีบเข้ามาช่วยถอดเสื้อโค้ทออก “คุณชายเยี่ย คืนนี้อยากรับประทานอะไรครับ”
“บอกให้คนงานออกไปให้หมด เดี๋ยวผมทำเอง ผมอยากอยู่เงียบๆ อย่าให้ใครมารับกวน” หนานกงเยี่ยถอดเสื้อโค้ท พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว พร้อมกับสวมผ้ากันเปื้อน
อยู่ดีๆ เขาก็อยากกินเส้นหมี่ขึ้นมา เขานึกถึงบะหมี่ไก่ตุ๋นที่เหลิ่งรั่วปิงเคยทำให้เขากิน
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ หนานกงเยี่ยไม่อยากอาหารมานานแล้ว ไม่มีความคิดอยากจะกินอาหาร ทว่าตั้งแต่รู้ข่าวคราวของเธอ เขาก็เริ่มคิดถึงอาหารแต่ละมื้อที่เหลิ่งรั่วปิงทำให้เขากิน
หนานกงเยี่ยทำอาหารอยู่ในห้องครัวตามลำพัง เขาอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว หวนนึกถึงเหลิ่งรั่วปิง นึกถึงตอนที่เธอหั่นไก่เป็นชิ้นๆ ใส่เข้าไปในหม้อดินเผา จากนั้นก็ปรุงเครื่องปรุงรสต่างๆ แล้วปิดฝาหม้อ หนานกงเยี่ยฟังเสียงน้ำเดือดที่ดังขึ้นจากหม้อดินเผา เขายืนเหม่อลอย
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง น้ำเดือดปะทุล้นออกมาจากหม้อ ไอน้ำพุ่งขึ้นมา ค่อยๆ กระจายตัวไปทั่ว หน้าของหนานกงเยี่ยชุ่มไปด้วยไอน้ำ ทันใดนั้นเอง เขาเห็นภาพตอนที่เหลิ่งรั่วปิงทำบะหมี่ไก่ตุ๋น ไอน้ำเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอ หน้าตาของเธอสวยราวกับเป็นภาพวาด แก้มแดงระเรื่อ
“อีกไม่กี่วัน ผมจะไปรับคุณกลับมานะครับ หื้ม?” ยกมือขึ้นเบาๆ ลูบจับใบหน้าของเธอ แต่หน้าที่คิดถึงทุกคืนวันกลับลอยฟุ้งหายไป มือของเขาหยุดชะงักกลางอากาศ มีแค่ไอน้ำสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาเท่านั้น
มือของเขาหยุดชะงักกลางอากาศอยู่นาน รอยยิ้มบนใบหน้าเหือดแห้ง หนานกงเยี่ยเดินไปหยิบเนื้อสัตว์และผักที่ตู้เย็น
หลังจากตุ๋นซุปไก่จนได้ที่ เขาก็นำเนื้อสัตว์และผักที่ล้างเสร็จใส่เข้าไป หนานกงเยี่ยทำตามที่เหลิ่งรั่วปิงเคยทำ ใช้ตะเกียบเคี่ยวเบาๆ จนเนื้อสัตว์สุกพอดี แล้วค่อยปิดไฟ
เขายกหม้อดินเผาขึ้นไปวางบนโต๊ะ หยิบถ้วยออกมาสองใบ ตักบะหมี่ออกมาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งเขากินเอง ส่วนอีกถ้วยวางไว้ด้านข้าง
กินไปสองคำ เหมือนว่าเขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเดินไปหยิบพริกและน้ำส้มสายชู เขาปรุงพริกและน้ำส้มสายชูลงในถ้วยที่วางอยู่ด้านข้าง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วปรุงถ้วยของตนเองด้วยเล็กน้อย
กินเข้าปากอีกครั้ง รสชาติเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ ทำให้เขารู้สึกดี ตอนที่เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาบนหน้าผาก เขาคลี่ยิ้มบางๆ อย่างมีความสุข มองดูถ้วยที่วางไว้ข้างๆ แล้วพูด “คุณพูดถูก เติมพริกและน้ำส้มสายชูลงไปจึงจะมีรสชาติมากขึ้น หลังจากนี้ผมจะเชื่อฟังคุณทุกอย่างนะครับ หื้ม? ขอแค่คุณพูด ผมจะทำทุกอย่าง ทุกอย่างที่คุณชอบ ทุกอย่างที่คุณเกลียด ผมจะเชื่อฟังคุณแค่คนเดียว มองแค่รอยยิ้มของคุณเพียงคนเดียวและจะดีกับคุณแค่คนเดียว”
ก่วนอวี้เดินเข้ามาในห้องครัวเงียบๆ มองดูคุณชายเยี่ยที่เคยเป็นผู้ชายเย็นชามีสง่า เวลานี้กลับเหมือนคนบ้าที่เอาแต่นั่งพูดคนเดียว ความรู้สึกมากมายพุ่งพล่านเข้ามาในใจของก่วนอวี้ ทั้งดีใจ เสียใจ เจ็บปวดและทุกข์ล้วนเข้ามาพร้อมกัน ดวงตาสีนิลมีน้ำตาคลอเล็กน้อย เขากับหนานกงเยี่ยโตมาด้วยกัน เห็นหนานกงเยี่ยอยู่ในสภาพนี้ทำให้เขาปวดใจมาก
เวลานี้ เขาอยากจะคุกเข่าต่อหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมพร้อมกับจุดธูป ภาวนาขอให้เหลิ่งรั่วปิงรีบกลับมา
“คุณชายเยี่ย?” เขามีเรื่องสำคัญต้องรายงาน จึงจำเป็นต้องทำลายความคิดถึงของหนานกงเยี่ย
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองก่วนอวี้ด้วยแววตานิ่งเฉย จากนั้นหยิบถ้วยที่วางเอาไว้ข้างๆ เข้ามาใกล้ แล้วพูด “ว่าไง”
ก่วนอวี้มองดูพริกในถ้วย เขาลืมสิ่งที่จะรายงานไปครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็รีบพูด “คุณชายเยี่ยครับ ตอนนี้กระเพาะของคุณไม่ดีเท่าไหร่ อย่ากินพริกเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไร เติมพริกลงไปนิดหน่อย ถึงจะมีรสชาติ” อารมณ์ของหนานกงเยี่ยนิ่งเหมือนน้ำ เขาพูดเสียงเบา “ว่ามา มีเรื่องอะไร”
ด้วยนิสัยของหนานกงเยี่ย เขาเป็นคนพูดแค่รอบเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าก่วนอวี้ไม่กล้าทำให้เขาโมโห จึงไม่ดึงดันต่อ “ผมสืบเรื่องของคุณไซ่ตี้จวิ้นและคุณเหลิ่งอย่างละเอียดแล้วครับ”
มือที่กำลังตักเส้นหมี่ของหนานกงเยี่ยหยุดชะงัก จากนั้นเขาก็ตั้งใจฟังสิ่งที่ก่วนอวี้กำลังจะพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อื้ม พูดมาสิ”
แต่ก่วนอวี้เห็นอย่างชัดเจนว่ามือของเขากำลังสั่นเทา หนานกงเยี่ยกำลังกังวลว่าจะเกิดเรื่องที่เขาไม่อยากให้เกิด
“ตอนนี้คุณเหลิ่งพักอยู่ที่คอนโดซึ่งเป็นของคุณไซ่ตี้จวิ้น แต่เธออยู่คนเดียวครับ คุณไซ่ตี้จวิ้นไม่เคยไปนอนค้างที่นั่น”
ใบหน้านิ่งเฉยของหนานกงเยี่ยแสดงความรู้สึกออกมาเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น แต่ก่วนอวี้ที่รู้จักหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี รู้สึกได้ว่าหนานกงเยี่ยกำลังดีใจ
“ช่วงนี้เธอทำอะไรอยู่” หนานกงเยี่ยพูดเสียงเรียบ เสียงของเขาเหมือนลมที่พัดมาจากบนท้องฟ้า ถึงแม้จะแผ่วเบา แต่ทุกคำล้วนมีน้ำหนัก
“ตอนนี้คุณเหลิ่งเป็นสถาปนิกของบริษัทจั๋วเจวี๋ยที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ของคุณไซ่ตี้จวิ้นครับ โปรเจคแรกที่เธอรับผิดชอบคืออาคารอัจฉริยะ 5A ที่สร้างขึ้นใจกลางเมือง”
หน้าตาของเธอเปลี่ยนไป สถานะและตัวตนของเธอเปลี่ยนไป แต่ความฝันของเธอยังไม่เปลี่ยน
ผู้หญิงของเขา เขาควรเป็นคนทำฝันของเธอให้สำเร็จ ไม่ควรจะเป็นไซ่ตี้จวิ้น
เงียบอยู่นาน ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็เงยหน้าขึ้น เขามองไปที่ก่วนอวี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายไปจัดการให้เรียบร้อย กว้านซื้อที่ดินสำหรับโปรเจคไฮคลาศเมืองหลวงของประเทศเอ้าตูทั้งหมดมาให้ฉัน”
คนฉลาดอย่างก่วนอวี้ เข้าใจหนานกงเยี่ยทันที ถึงแม้การตัดสินใจในครั้งนี้จะน่าตกใจ แต่ถ้ารู้ว่าหนานกงเยี่ยรักเหลิ่งรั่วปิงแค่ไหน ก็จะเข้าใจทันที หนานกงเยี่ยสามารถทำมันได้และเขายังมีสินทรัพย์มากพอในการทำ เขาผูกขาดทรัพยากรทางการค้าทั้งหมด เพื่อสานฝันผู้หญิงที่เขารัก ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
ดังนั้น ก่วนอวี้จึงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ครับ คุณชายเยี่ย”
หนานกงเยี่ยก้มหน้าก้มตากินต่อ “นายเตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะบินไปประเทศเอ้าตูเร็วๆ นี้”
“ครับ” ก่วนอวี้เจ้าของดวงตาสีดำเข้มกระพริบปริบๆ “คุณชายเยี่ยครับ อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ในประเทศเอ้าตูจะมีการจัดประชุมนานาชาติด้านการออกแบบ ผมคิดว่าคนที่รักการออกแบบอย่างคุณเหลิ่ง ต้องเข้าร่วมงานนี้แน่นอนครับ”
เวลานี้เหลิ่งรั่วปิงปลอมตัวเป็นคนอื่น ถ้าหนานกงเยี่ยอยากเอาชนะใจเธอ เขาห้ามเปิดเผยความจริงเด็ดขาด เขาจำเป็นต้องหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อ “เจอ” เธอโดยบังเอิญ
“อืม นายจัดการตารางงานให้เรียบร้อย ฉันจะไปล่วงหน้า”